บทที่ 89 พวกท่านไม่ทราบงั้นหรือ
“ท่านผู้นำตระกูล โปรดไตร่ตรองใหม่อีกครั้งเถิด!”
“ท่านผู้นำตระกูล ข้อยอมสู้กับพวกเขาจนตัวตาย!”
“ข้าเองก็เต็มใจจะต่อสู้จนตัวตายเช่นเดียวกัน!”
เมื่อได้ยินวาจาของหลินชางหลางที่ถูกลั่นออกมาด้วยสีหน้าระทมใจ พานให้เหล่าคนของตระกูลหลินเจ็บปวดเคล้าโกรธแค้นเป็นที่สุด
หลายคนในนั้นปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ของตนออกมา เพื่อต้องการนองเลือดกับตระกูลหลัวให้มันจบเสียตรงนี้!
“ข้าตัดสินใจเรื่องนี้ไปแล้ว กลับกันเถอะ!”
ใบหน้าหลินชางหลางขณะนี้เต็มไปด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส จากนั้นจึงหันหลังพาคนตระกูลหลินจากไปในทันที
ตระกูลหลินทำงานอย่างหนักในเมืองฉีซานมาหลายร้อยปี จึงสามารถสร้างรากฐานให้แข็งแกร่งได้ดั่งเช่นปัจจุบัน หลินชางหลางจะเต็มใจมอบมันให้ผู้อื่นได้อย่างไร
เพียงแต่ว่า ปรมาจารย์ส่วนใหญ่ของตระกูลหลินได้ล้มหายตายจากไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งจากกำลังคนในตอนนี้ไม่อาจต่อสู้กับตระกูลหลัวได้อย่างแน่นอน อีกทั้งทางฝั่งนั้นยังมีโม่หลินอีกต่างหาก
หากเริ่มสงครามในเมืองตอนนี้ ย่อมจะเป็นผลเสียต่อตระกูลหลินมากกว่า
แม้นทุกคนในตระกูลหลินจะมีสีหน้าไม่พอใจ แต่พวกเขาไร้ซึ่งหนทางอื่นจึงจำต้องเชื่อฟังผู้นำตระกูลหลินชางหลาง
“ขอแสดงความยินดีกับผู้นำตระกูลหลัว!”
หลังตระกูลหลินจากไป บุคคลสำคัญจากกองกำลังหลักต่างๆ ของเมืองฉีซาน ก็พากันออกมาแสดงความยินดีต่อหลัวหมิงซาน
ทุกคนล้วนรู้ดีว่า หลังจากวันนี้เป็นต้นไป ในเมืองฉีซานแห่งนี้ ตระกูลหลัวจะต้องอยู่บนจุดสูงสุดดั่งดวงสุริยันบนฟากฟ้า และจะกลายเป็นตระกูลอันดับหนึ่งอย่างแท้จริงแน่นอน!
หลังจากเอาชนะศัตรูเก่าของเขาที่สู้รบปรบมือกันมานานหลายทศวรรษ จนได้รับทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลหลินในเมืองฉีซานแล้ว หลัวหมิงซานก็กลายเป็นผู้มีจิตใจสูงส่ง เขายกมือประสานกำหมัดแน่นแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ทุกท่าน คืนนี้จะมีงานเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่ในตระกูลหลัว หากพวกท่านไม่รังเกียจก็เชิญมาร่วมงานของตระกูลหลัวเราได้”
“ข้าต้องไปร่วมแน่! แต่ข้าเกรงว่าผู้นำตระกูลหลัวจะลำบากใจเสียมากกว่า ฮ่าฮ่า”
“ฮ่าฮ่า!”
หลังจากหลัวหมิงซานทักทายบุคคลสำคัญของกองกำลังหลักเสร็จแล้ว เขาก็จัดกำลังคนเข้ายึดทรัพย์สินของตระกูลหลินทันที
หลัวเฉิงซึ่งตอนนี้ไม่รู้จะทำอะไร จึงกล่าวคำอำลาต่อทุกคน แล้วเขากับโม่หลินก็เดินทางออกจากเมืองหนานเฉิงฟางทันใด
“คุณชายหลัว รบกวนคุณชายสนทนากลับอาจารย์ของท่านช่วยข้าหลอมโอสถด้วยเถิด และข้าหวังว่าจะได้ฟังเรื่องดีๆ จากท่านนะ”
หลังกล่าวเช่นนั้น โม่หลินก็มอบกล่องหยกสามกล่องพร้อมกับบัตรทองสามใบให้กับหลัวเฉิง
เนื่องจากรับรู้อย่างแน่ชัดแล้วว่ามีราชาโอสถอยู่เบื้องหลังของหลัวเฉิงจริงๆ ทัศนคติของโม่หลินที่มีต่อหลัวเฉิงก็พลิกกลับด้านจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทั้งเขายังเรียกหลัวเชิงว่าคุณชายหลัวอีกด้วย
หลัวเฉิงพยักหน้า “ในเมื่อผู้อาวุโสช่วยข้าแล้ว ข้าจะต้องทำตามความคาดหวังของท่านให้สำเร็จอย่างแน่นอน”
โม่หลินสังเกตเห็นว่าหลัวเฉิงเหน็บกระบี่ยาวไว้ที่เอว เขาอดไม่ได้จึงเอ่ยถามว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่คุณชายหลัวใช้กระบี่ใช่หรือไม่”
“ก็คล้ายจะเป็นเช่นนั้น”
แม้หลัวเฉิงจะเคยสัมผัสกระบี่มาก่อน แต่เขาก็ไม่เคยใช้มันเลยสักครั้ง ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่เขาใช้ฟาดฟันศัตรูแม้แต่น้อย
หลังได้ฟังคำตอบเช่นนั้น ประกายแสงแวววาวก็ส่องสว่างในดวงตาของโม่หลิน เขาพยักหน้าเล็กน้อยขณะที่ในหัวกำลังขบคิดบางสิ่งอยู่
หลังจากแยกตัวจากโม่หลิน หลัวเฉิงก็มุ่งหน้ากลับไปยังตระกูลหลัวทันที
หลังจบศึกครั้งนี้ทำเอาเขาถึงกับหมดเรี่ยวแรง และยามนี้เขาต้องการพักผ่อนให้เต็มที่แล้วค่อยไปร่วมงานเฉลิมฉลองของตระกูลในตอนเย็น
ตลอดช่วงบ่ายของเมืองฉีซาน เต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวายยิ่ง
ตระกูลหลินตั้งรกรากในเมืองฉีซานมาหลายร้อยปี จึงมีทรัพย์สินมากมาย พร้อมด้วยจวนขนาดใหญ่หลายสิบหลัง
ตระกูลหลัวถึงกับต้องส่งกองกำลังทั้งหมดของตนออกไป จวบจนกระทั่งมืดค่ำ จึงสามารถยึดทรัพย์ของตระกูลหลินได้หมดสิ้น
เมื่อตกยามวิกาล ภายในตระกูลหลัวก็เต็มไปด้วยเสียงครึกครื้นรื่นเริง
หลัวหมิงซานจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองเอิกเกริกใหญ่โต โดยมีโต๊ะอาหารหลายร้อยโต๊ะในจัตุรัสของตระกูลหลัวเพื่อรองรับผู้มีอำนาจต่างๆ ของเมืองฉีซานในยามนี้
หลัวเฉิงเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สะอาด เมื่อถึงงานเลี้ยงเขาก็นั่งที่โต๊ะฝั่งซ้ายของหลัวหมิงซาน
ที่โต๊ะเดียวกันนี้ นอกจากหลัวหง และคนอื่นๆ แล้ว ยังมีเจ้าเมืองฉีซานอวิ๋นเต้าเจี้ยง ลั่วเหยาและ โม่หลินอีกด้วย
งานเฉลิมฉลองดำเนินไปอย่างครื้นเครงสนุกสนาน
คืนนี้ ลั่วเหยาสวมอาภรณ์สีม่วง ที่มีรอยปักเป็นลวดลายของหงส์เพลิง เมื่อรวมกับเรือนร่างอันมีเสน่ห์ ก็ยิ่งขับให้ทั้งอาภรณ์และนางดูมีสง่ายิ่งนัก
ในระหว่างงานเลี้ยงยามค่ำคืนนี้ ลั่วเหยามองยังหลัวเฉิง ดวงตาสดใสของนางช้อนขึ้นเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์ “คุณชายหลัวสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสองได้รวดเร็วเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมยิ่งนัก”
“ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสองงั้นรึ!”
หลัวหมิงซาน หลัวหง และคนอื่นๆ ถึงกับสะดุ้งทันทีที่ได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของพวกเขาโดยรอบต่างจับจ้องยังหลัวเฉิง
ตั้งแต่จบศึกในเมืองหนานเฉิงฟาง พวกเขามัวยุ่งอยู่กับการยึดทรัพย์ของตระกูลหลิน จึงยังไม่ทันได้ทราบข่าวนี้
“นี่พวกท่านยังไม่ทราบกันงั้นหรือ?”
ลั่วเหยายกนิ้วเรียวยาวราวแท่งเทียนปิดริมฝีปากแดงสดของนาง จากนั้นจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “วันนี้คุณชายหลัวได้แสดงฝีมือให้ผู้คนในเมืองหนานเฉิงฟางได้ประจักษ์ เขาสังหารผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ของตระกูลหลินไปร่วมกว่าสิบคน ทั้งหนึ่งในนั้นยังเป็นผู้แข็งแกร่งในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสามอีกด้วย ซึ่งคุณชายหลัวเฉิงใช้เพียงกระบี่เล่มเดียวเท่านั้น”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ หลัวหมิงซาน และคนอื่นๆ ก็สูตรหายใจลึกๆ ด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
หลัวหมิงซานเอ่ยถามทันทีด้วยความสงสัย “เฉิงเอ๋อร์ ที่นางกล่าวเมื่อครู่นั้นเป็นเรื่องจริงงั้นหรือ?”
หลัวเฉิงไม่ได้กล่าวสิ่งใดเขาเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อย
แต่ทว่า หลังเห็นท่าทางของหลัวเฉยเช่นนั้น หลัวหมิงซานและคนอื่นๆ ก็แสดงสีหน้าตกตะลึงทันใด
จากงานชุมนุมล่าสัตว์จนถึงวันนี้เพียงผ่านไปแค่สามวันเท่านั้น แต่หลัวเฉิงได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสองแล้ว ทั้งยังได้สังหารผู้แข็งแกร่งในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสามด้วยกระบี่เพียงเล่มเดียว!