บทที่ 78 ตกตะลึง
ขบวนรถม้าแล่นอย่างสง่างามผ่านบนถนนบนภูเขา ก่อนจะหยุดลงอย่างช้าๆ หน้าคฤหาสน์ตระกูลหลี่
"ท่านหลี่" ผู้ดูแลกล่าวทักทาย
พวกเขารับรองชายวัยกลางคนในชุดคลุมราคาแพงออกจากรถม้าคันแรก ชายผู้นั้นคือนายใหญ่ของตระกูลหลี่ผู้ลงมาจากรถด้วยรอยยิ้มที่ดูใจดี
"ไม่ห่วงข้า เราไปต้อนรับแม่นางซูกันเถอะ" คุณชายหลี่กล่าวพร้อมกับชี้มือไปที่รถม้าด้านหลังเขา
ภายใต้สายตาอันคาดหมายของผู้คนผ้าม่านปักก็ถูกดึงออกเผยให้เห็นใบหน้าที่มีสีระเรื่อพร้อมใบหน้าที่สงบและผ่อนคลาย
"แม่นางซู..."
ผู้ดูแลและเหล่าคนรับใช้ตระกูลหลี่ ซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่เมื่อเห็นผู้หญิงคนนี้ บางคนซึ่งอายุน้อยกว่าก็ยังมีแววตาเป็นประกาย
ตั้งแต่ยังเป็นสาวน้อย ซูหลิงเสวียก็มีผู้คนมากมายชื่นชอบและยกย่อง แค่ได้เห็นตัวจริงก็ถือเป็นเรื่องที่โชคดีและหายาก คนทั่วไปจะนำเรื่องนี้ไปโอ้อวดกันได้หลายปีเลยทีเดียว
“สวัสดีทุกคนเจ้าค่ะ”
แม้ว่าจะมีท่าทีเย็นชาเล็กน้อย หญิงสาวที่ลงจากรถก็ยังยิ้มทักทายฝูงชนที่เข้ามาหาอย่างสุภาพ
การยึดมั่นในมารยาทขั้นพื้นฐานกับผู้สนับสนุนเป็นส่วนสำคัญในการบ่มเพาะสำหรับเหล่าศิษย์ภายในของโรงเรียนดนตรีใต้
เธอสวมชุดกระโปรงฟ้าครามบางประดับด้วยเข็มขัดหยกที่เอวทำให้เห็นรูปร่างที่สูงและสง่างาม ผิวพรรณไร้ที่ติของเธอที่เกือบจะโปร่งใสเมื่อต้องแสงแดดแสดงให้เห็นความใสราวกับหยก
ชื่อของนางก้องกังวานด้วยภาพพจน์ธรรมชาติที่สื่อถึง หิมะที่โปรยปราย หิมะที่ปกคลุมไปทั้งดินแดนเจียงหนาน [1]
ในบรรดาศิษย์ร่วมรุ่นจากโรงเรียนดนตรีใต้ซูหลิงเซวี่ยได้รับการสรรเสริญให้เป็นนักดนตรียอดเยี่ยมผู้มาพร้อมกับความงามอันโดดเด่น ความงามของเธอไม่เคยล้มเหลวที่จะทำให้ผู้พบเห็นหลงใหล แต่ก็มีบรรยากาศของการสงวนระยะห่างที่แผ่ซ่านอยู่รอบตัวเธอ มันแผ่ความเย็นยะเยือกอันแยบยลที่ดูเหมือนจะทำให้แสงแดดโดยรอบมัวลง
เมื่อผู้โดยสารที่ตามมาหลังรถม้าของซูหลิงเสวี่ยลงมา ก็ปรากฏเป็นกลุ่มชายหนุ่มหญิงสาวซึ่งแต่ละคนสวมชุดเสื้อผ้าที่โดดเด่น พวกเขาก้าวลงมาทีละคน บางคนถือกล่องเครื่องดนตรีขณะที่บางคนถือกระเป๋าเดินทาง บุคคลเหล่านี้เป็นศิษย์นอกของโรงเรียนดนตรีใต้ซึ่งเต็มใจเลือกที่จะทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามให้กับศิษย์ในของโรงเรียน หน้าที่ของพวกเขานั้นรวมไปถึงการให้ความช่วยเหลือศิษย์ในสำนักหรือการปฏิบัติภารกิจสนับสนุน ในทางกลับกัน หากศิษย์ในสำนักได้รับผลประโยชน์ใดๆ ผู้ติดตามเหล่านี้ก็มีสิทธิ์ได้รับส่วนแบ่งด้วยเช่นกัน
อาจกล่าวได้ว่านี่คือคณะของซูหลิงเสวี่ยนั่นเอง
เมื่อทุกคนลงจากรถม้าแล้ว ท่านหลี่กล่าวทักทายอย่างอบอุ่น "ท่านหญิงซูและนักดนตรีจากโรงเรียนดนตรีใต้ทุกท่าน โปรดให้ข้าพเจ้าพาท่านเข้าไปในคฤหาสน์เพื่อให้ท่านพักผ่อนเถิด พวกเราจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้พวกท่านในไม่ช้า"
"ขอบพระคุณมากที่ท่านให้การต้อนรับอย่างดี ท่านหลี่"
ซูหลิงเสวี่ยไม่ว่างที่จะพูดจาให้ถูกใจผู้อื่น นักดนตรีคนหนึ่งจากด้านข้างก้าวออกมาเพื่อทักทายท่านหลี่ แล้วเดินตามหลังเขาอย่างเงียบๆ
กลุ่มคนจำนวนมากเดินเข้าไปอย่างสง่างาม
"สวนของตระกูลหลี่เราตั้งอยู่ในหุบเขาและริมน้ำ มีทัศนียภาพที่งดงาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องช่วงเวลา สถานที่ หรือบุคคล ทุกสิ่งล้วนสมบูรณ์แบบ การตัดสินใจร่วมมือของท่านซูหลิงเสวี่ยกับตระกูลหลี่ในครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วอย่างมิต้องสงสัย" คุณชายหลี่กล่าวพร้อมหัวเราะในขณะที่กำลังเดิน
นักดนตรีคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น "เราได้ยินมาว่าคฤหาสน์ตระกูลหลี่มีปีศาจเข้ามาสิงอยู่ มีการแก้ไขปัญหานี้แล้วหรือไม่ขอรับ ถ้ามันรบกวนการพักผ่อนของศิษย์พี่ซู มันคงไม่ดีเท่าใดนักขอรับ"
"โปรดวางใจเถิด" นายหลี่ตอบพลางตบหน้าอกของตน "ปีศาจอะไรกัน มันก็แค่คนที่คู่แข่งเราส่งมาเล่นตลกเท่านั้น มันเป็นแค่กลอุบายที่น่ารังเกียจ พวกเราได้ร้องขอให้ผู้บ่มเพาะผู้ทรงเกียรติจากนิกายฉูซานมาที่นี่ และเรื่องนี้ก็ได้คลี่คลายไปนานแล้ว ดังนั้นโปรดวางใจ พวกเรายังได้เตรียมการแสดงไว้ต้อนพวกรับท่านด้วย ข้าขอรับรองด้วยชีวิตของข้าว่าจะไม่มีปีศาจตนใดอีกแล้ว"
ทันทีที่เขาพูดจบ ก็มีเสียงดังสนั่นมาจากไม่ไกลนัก ขณะที่เสียงดังนั้นดังขึ้น เงาดำขนานใหญ่ก็ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน มันคือเต่าตัวมหึมา กระดองสีดำสูงเสียดฟ้า ขนาดอันยิ่งใหญ่ของเต่าบ่งบอกว่ามันบ่มเพาะมานานกว่าหลายร้อยปีแล้ว
เป็นเรื่องน่าตกใจที่เต่าตัวนี้กล้าที่จะเผยร่างจริงในดินแดนของมนุษย์ นี่นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากมาก
ในขณะนี้ ชี่แห่งปีศาจอบอวลไปทั่วบรรยากาศ
คิ้วของซูหลิงเซวียขมวดเข้าหากันและยกนิ้วขึ้นสองนิ้วอย่างแผ่วเบา นักดนตรีที่อยู่ใกล้เธอกระจายตัวออกไปเพื่อเตรียมรับมือทันที พวกเขามิใช่นักดนตรีที่บอบบาง พวกเขาเป็นผู้บ่มเพาะที่เชี่ยวชาญในดนตรี
ในขณะนั้น นายหลี่อึ้งไปชั่วครู่ เขาเอามือแตะที่หลังคอตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมกับมีแววของความกังวลออกมาเล็กน้อย
ขณะที่ทุกคนตกใจกันกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเต่าตัวมหึมา อีกด้านหนึ่งก็พลันมีพลังอันยิ่งใหญ่แผ่ซ่านออกมา
ขั้นแรกเต่าตนนี้ก็ได้เงยหัวขึ้นไปทางฟากฟ้า ปากของมันก็มีแสงสีดำออกมาเหมือนกับมันกำลังจะปลดปล่อยท่าโจมตีที่น่ากลัวออกมา แต่ทันใดนั้นก็มีพลังกระบี่กระบี่ที่งดงามพุ่งขึ้นไปบนฟ้าพร้อมกับพลังมังกรน้ำแข็งและพลังมังกรไฟที่หมุนวน พลังกระบี่นี้ช่างน่ากลัวนัก
"นั่นคือ..."
"นั่นคือการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ระหว่างผู้บ่มเพาะกับปีศาจงั้นหรือ"
"โอกาสแบบนี้ไม่ค่อยจะได้เห็นกันบ่อยๆ เรามาถึงคฤหาสน์นี้ ยังไม่ทันไร ก็เกิดเรื่องแบบนี้เสียแล้ว..."
"กระบี่ที่มีพลังรุนแรงเช่นนี้..."
ในขณะที่เหล่าศิษย์จากโรงเรียนดนตรีใต้คุยกระซิบกัน นายหลี่สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วสลับไปมาระหว่างความกลัวกับความอับอาย
นายหลี่โบกมือเรียก ซุย ผู้ดูแลของเขาอย่างรวดเร็วและซัก "เกิดอะไรขึ้น เรื่องปีศาจถูกจัดการไปแล้วมิใช่หรือ"
"ก่อนหน้านี้เราแก้ไขไปแล้วขอรับ แต่ครั้งนี้.. อาจจะเป็นเรื่องใหม่" ผู้ดูแลซุยตอบพร้อมกับสีหน้าฉงนสงสัย
"นี่มันเรื่องอะไรกัน.." นายหลี่ครางด้วยความขุ่นเคืองใจ
แต่พวกเขาไม่ได้รีบหนีด้วยเหตุผลสองประการ ประการแรก ศิษย์ผู้ทรงพลังจากนิกายเซียนอมตะทั้งเก้าและสิบกำลังอมตะแห่งโลกอยู่ใกล้ๆ ประการที่สอง พวกเขารับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าเกิดอะไรขึ้นอีกด้านหนึ่ง
ถึงแม้เต่าตัวมหึมาจะน่าสะพรึงกลัว แต่พลังกระบี่จากอีกด้านได้ทำลายมันเหมือนกับเป็นของที่เปราะบาง พลังกระบี่ทะลุกระดองและทำลายมันจากด้านนอกสู่ด้านในแทบจะในทันที
ผู้ที่ได้เห็นเหตุการณ์อดรู้สึกตกตะลึงในใจมิได้
"นั่น.. นั่นคือรอยกระบี่เวทมนตร์แห่งฉูซาน" ซูหลิงเสวี่ยกล่าวด้วยความเฉยเมย "ถึงแม้ว่าจะเป็นพลังกระบี่เบื้องต้นของน้ำแข็งและไฟ แต่คนผู้นั้นกลับแสดงพลังปราณพื้นฐานได้ทรงพลังอย่างน่าทึ่ง ความรุนแรงของการโจมตีนี้บ่งชี้ว่าผู้บ่มเพาะผู้นั้นอยู่ในขั้นสูงสุดของระดับที่ห้าหรืออาจเป็นผู้บ่มเพาะในระดับที่หก.. ผู้มีชื่อหรือปรมาจารย์จากนิกายฉูซานท่านใดกันที่ได้มาเยือนเราที่นี่"
เธอพยักหน้าเมื่อถามคำถามนั้นและหันหน้าไปทางนายใหญ่หลี่และผู้ดูแลซุยอย่างแนบเนียนราวกับต้องการข้อมูล
ถึงอย่างไรก็ตาม มันก็ช่างแปลกประหลาดที่ผู้ทรงพลังระดับนั้นจากฉูซานจะปรากฏตัวในสถานที่เล็กๆ อย่างสวนของตระกูลหลี่ที่ห่างไกล ด้วยเหตุนี้ ซูหลิงเสวี่ยจึงได้อยากรู้อยากเห็น
นายใหญ่หลี่เองก็สับสนไปด้วยจึงหันกลับมามองผู้ดูแลซุย
"มิได้มีชื่อขอรับ.." ผู้ดูแลซุยอธิบาย "แล้วก็มิใช่ปรมาจารย์ขอรับ มีพวกเขาเป็นศิษย์จากฉูซานสองคน แต่พวกเขายังเด็ก คนหนึ่งมีชื่อว่าชูเหลียง ส่วนอีกคนชื่อหลินเป่ย พวกเขาเป็นผู้บ่มเพาะที่ดูน่าทึ่ง.. แต่มิได้มีชื่ออย่างที่พวกท่านคิดกันอยู่แน่ๆ ขอรับ"
"ว่าอย่างไรนะ" ซูหลิงเซวี่ยเผยสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย นางหันสายตาไปมองชี่แห่งกระบี่ที่ยังคงล่องลอยอยู่บนฟ้าแล้วครุ่นคิด
นิกายเซียนอมตะทั้งเก้าและกำลังอมตะแห่งโลกทั้งสิบต่างก็คุ้นเคยกันดี แม้ว่าโรงเรียนดนตรีใต้จะเป็นกลุ่มที่ดูไม่เหมือนใคร แต่เหล่าศิษย์ของพวกเขาก็ยังคงเฝ้าจับตาดูกลุ่มนิกายและกองกำลังอื่นๆ อยู่อย่าสม่ำเสมอ
หากกล่าวว่าเป็นศิษย์แห่งฉูซานแห่งยุคสมัยนี้ ผู้ที่โด่งดังเป็นที่รู้จักกันดีคงหนีไม่พ้น ซูจื่อหยาง และ เจียงเยว่ไป๋ แต่ทั้งสองก็ยังอยู่เพียงแค่ระดับที่สี่แห่งการบ่มเพาะ จึงไม่น่าจะสามารถแสดงพลังกระบี่ที่น่าเกรงขามได้ถึงระดับนั้น
..อัจฉริยะที่สะพรึงกลัวอีกคนงั้นหรือ นี่คงเป็นข่าวสำคัญอย่างมากเป็นแน่
แม้ตัวบุคคลผู้มีสติปัญญาเลิศล้ำอาจไม่เปลี่ยนแปลงพลวัตของโลกได้ในทันที แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธศักยภาพที่จะส่งอิทธิพลต่อโลกในอนาคตได้ในสักวัน..
จากนั้นซูหลิงเสวี่ยยังคงนิ่งและครุ่นคิด ในขณะที่เธอกำลังต่อสู้กับความรู้สึกแปลกใจและสงสัยของตัวเอง เธอก็ได้ยินผู้ดูแลซุยพูดขึ้นว่า "คนที่ต่อสู้อยู่น่าจะเป็นท่านชูเหลียง เพราะท่านหลินเป่ยรับรู้ถึงการมาของท่านและยืนกรานที่จะเข้าร่วมงานต้อนรับเพื่อพบท่านซู.. เขาเป็นคนคิ้วหนาและดวงตาโตที่อยู่ด้านหลัง"
“ดังนั้นผู้ที่กำลังต่อสู้อยู่ตรงนั้นต้องเป็นท่านชูเหลียงของรับ..”
1. เป็นการเล่นคำกับชื่อของตัวละคร วลีแรก (น้ำค้างแข็ง) ขึ้นต้นด้วย ‘หลิง’ และวลีที่สอง (หิมะปกคลุมแผ่นดินเจียงหนาน) ขึ้นต้นด้วย ‘ซู’