บทที่ 26 ปกป้องสิทธิ์ในความเป็นเจ้าของ
"คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าการผลักดันไอ้ขยะอย่างจูอู๋หยางขึ้นเป็นองค์ชายรัชทายาทเพื่อเป็นแพะรับบาป กลับกลายเป็นว่าเพราะไอ้หมอนี่มันไร้ความสามารถเกินไป จนได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้สติเฟื่องขึ้นมาซะได้ งานนี้ยุ่งยากล่ะสิ"
"ว่ากันว่าแม้จูอู๋หยางจะขี้ขลาดตาขาว แต่ในเมื่อได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้สติเฟื่องแล้ว ก็น่าจะได้รับการสนับสนุนจากเหล่าขุนนางและเศรษฐีมากมาย ไม่แน่อาจมีโอกาสขึ้นครองราชบัลลังก์ก็ได้ เรานี่เล่นพลาดมหันต์เลย"
"คิดดูดี ๆ แล้ว ที่ฮ่องเต้สติเฟื่องให้ความสำคัญกับจูอู๋หยางก็น่าจะสมเหตุสมผลอยู่ เพราะหมอนี่มันไม่มีทั้งภูมิหลัง ความสามารถ พรสวรรค์ หรือแม้แต่อิทธิพล... พอได้เป็นองค์ชายรัชทายาทแล้ว ฮ่องเต้สติเฟื่องก็วางใจได้ ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกแย่งชิงบัลลังก์ แถมถ้าฮ่องเต้สติเฟื่องสวรรคตไป จูอู๋หยางก็อาจจะได้ผลประโยชน์ก้อนโตอีกด้วย"
"ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ เปลี่ยนตัวองค์ชายรัชทายาทคนใหม่ดีกว่าไหม ไม่แน่อาจจะเป็นประโยชน์กับเรามากกว่า ถึงยังไงต่อให้เลือกใครขึ้นมา ก็คงไม่ใช่ลูกของพวกเราอยู่แล้ว"
...
ด้วยความช่วยเหลือของเหล่าองค์ชาย องค์หญิง และสนมทั้งหลาย จูอู๋หยางยังไม่ทันจะโดนเล่นงาน ก็โดน "แทงข้างหลัง" จาก "นิ้วทองคำ" ของตัวเองซะก่อน
"ยินดีด้วย โฮสต์ถูกเกลียดชังเป็นครั้งแรกในชีวิต ได้รับ 800 จุดทะลวงขีดจำกัด..."
"ยินดีด้วย โฮสต์ถูกเกลียดชังเป็นครั้งที่สองในชีวิต ได้รับ 600 จุดทะลวงขีดจำกัด..."
"ยินดีด้วย โฮสต์ถูกเกลียดชังเป็นครั้งที่สามในชีวิต ได้รับ 400 จุดทะลวงขีดจำกัด..."
...
เมื่อตรวจดูข้อความเหล่านี้ จูอู๋หยางก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด เป็นเรื่องน่าเศร้าที่นั่งอยู่ดี ๆ ก็มีเรื่องมาถึงตัวอีกแล้ว
ทั้ง ๆ ที่เขาก็ทำตัวต้อยต่ำมากพอแล้ว ตั้งแต่ที่ทะลุมิติมา เขาก็มุดหัวอยู่ในตำหนัก ไม่เคยก้าวขาออกไปไหนเลยสักก้าว ทำไมเรื่องร้าย ๆ ถึงยังตามมาหาเขาได้อีกนะ
นี่มันไม่มีกฎหมายบ้านเมืองแล้วหรือไง!
ดวงตาทั้งสองข้างของจูอู๋หยางเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา แต่เขาก็ยังคงความดื้อรั้น ไม่ยอมปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมา เขาจมดิ่งลงไปในการฝึกฝนอย่างหนัก ความแข็งแกร่งของเขาทะยานขึ้นราวกับม้าป่าที่หลุดออกจากบังเหียน
แต่ในใจได้จดจำเหล่าองค์ชาย องค์หญิง และสนมเหล่านั้นไว้ในสมุดเล่มเล็ก ๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากมีโอกาส จูอู๋หยางจะไม่มีวันปล่อยพวกเขาไปแน่
พวกนี้มันช่างไร้ยางอายจริง ๆ เพื่อที่จะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น พวกมันทำได้ทุกอย่างจริง ๆ
บ้าเอ๊ย!
โชคดีที่หลังจากดูดซับจุดทะลวงขีดจำกัดในรอบนี้แล้ว ความแข็งแกร่งของจูอู๋หยางยังคงอยู่ในระดับหลอมห้าอวัยวะขั้นต้น ยังไม่ทะลุไปถึงระดับหลอมห้าอวัยวะขั้นกลาง ไม่งั้นการปกปิดตัวเองของจูอู๋หยางคงจะยากขึ้นไปอีก
"ฮู่..."
จูอู๋หยางถอนหายใจยาว มองดูจุดทะลวงขีดจำกัดอิสระที่เพิ่มขึ้นเป็นหลายพันจุด หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจใช้จุดทะลวงขีดจำกัดอิสระเหล่านี้เพื่อยกระดับ "มังกรเขียวซ่อนเร้น"
มังกรเขียวซ่อนเร้นระดับขั้นสูงยังไม่เพียงพอ เขาต้องยกระดับมันให้ถึงขั้นสมบูรณ์ จูอู๋หยางถึงจะมีความมั่นใจในระดับหนึ่งว่าจะรอดพ้นจากการตรวจสอบของนักรบระดับขอบเขตเซียนขั้นปลาย หรือแม้แต่ระดับขอบเขตเซียนขั้นสมบูรณ์ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความแข็งแกร่งของจูอู๋หยางเพิ่มมากขึ้น ความยากในการปกปิดตัวเองก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับในรูปแบบเรขาคณิต ความต้องการในมังกรเขียวซ่อนเร้นจึงเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
หลังจากดูดซับจุดทะลวงขีดจำกัดอิสระเหล่านี้แล้ว แม้ว่าเคล็ดวิชาลับชั้นยอดอย่างมังกรเขียวซ่อนเร้นจะยังไม่ทะลุถึงระดับขั้นสมบูรณ์ แต่มันก็มั่นคงอยู่ในระดับขั้นสูงแล้ว และเข้าใกล้ระดับขั้นสมบูรณ์ไปอีกขั้นหนึ่ง
ณ ขณะนี้ หากใช้มังกรเขียวซ่อนเร้นอย่างเต็มกำลัง จูอู๋หยางมั่นใจว่าสามารถรอดพ้นจากการตรวจสอบของนักรบระดับขอบเขตเซียนขั้นกลางได้อย่างแน่นอน แน่นอนว่าหากอีกฝ่ายใช้เคล็ดวิชาตรวจสอบที่ร้ายกาจใส่เขา ก็เป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนว่าจะรอดพ้นหรือไม่
ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องยกระดับมังกรเขียวซ่อนเร้นต่อไป จูอู๋หยางนอนอยู่บนเตียง เริ่มฝึกฝน "มังกรเขียวซ่อนเร้น"
โชคดีที่ไม่ว่าจะเป็นมังกรเขียวซ่อนเร้นหรือเคล็ดวิชาพิภพไร้ขอบเขต ต่างก็ไม่มีข้อกำหนดที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับท่าทางในการฝึกฝน ไม่ว่าจะนอน ยืน หรือแม้แต่นั่ง ก็สามารถฝึกฝนได้ ตราบใดที่ไม่กลิ้งไปมา
นี่เป็นหนึ่งในคุณสมบัติของวิชาฝีมือระดับสูง ทำให้จูอู๋หยางสะดวกสบายขึ้นมาก
เพียงแต่แม้ว่าจูอู๋หยางจะอยากฝึกฝนต่อไปอย่างสงบสุข แต่ก็มักจะมีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้น ทำให้เขาต้องรู้สึกจนใจ
"ยินดีด้วย โฮสต์ได้ยินเสียงเพลงของผู้ชายเป็นครั้งแรกในชีวิต ได้รับ 300 จุดทะลวงขีดจำกัด..."
"ยินดีด้วย โฮสต์ได้ยินเสียงเพลงของผู้หญิงเป็นครั้งแรกในชีวิต ได้รับ 400 จุดทะลวงขีดจำกัด..."
"ยินดีด้วย โฮสต์ได้ยินเสียงเพลงของขันทีเป็นครั้งแรกในชีวิต ได้รับ 500 จุดทะลวงขีดจำกัด..."
...
พวกองครักษที่อยู่ข้างนอกนั่นเป็นบ้ากันหมดหรือไง อยู่ ๆ ก็ร้องเพลงอะไรกันขึ้นมา ถึงจะเบื่อมากแค่ไหนก็ไม่เห็นต้องร้องเพลงเลยนี่ พูดไม่ได้หรือไง ถึงต้องใช้เสียงเพลงในการสื่อสาร
ที่สำคัญคือพวกแกจะร้องเพลงก็ร้องไป แต่ดันมาร้องเพลงรักเนี่ยนะ ขนลุกชะมัด
ว่าแต่พวกแกมีทั้งขันที องครักษ์ นางกำนัล... ร้องเพลงให้ใครฟังกันแน่ องครักษ์แอบรักนางกำนัล หรือขันทีแอบรักนางกำนัล หรือว่าขันทีแอบรักองครักษ์กันแน่
ยิ่งไปกว่านั้น หากเป็นขันทีกับองครักษ์ที่ร้องเพลงให้นางกำนัลฟัง นี่มันเข้าข่ายลวนลามนางกำนัลชัด ๆ ซึ่งก็เท่ากับเป็นการลวนลามผู้หญิงของจูอู๋หยาง
เพราะตามกฎที่ไม่ได้เป็นลายลักษณ์อักษรในวังหลวง ผู้หญิงทุกคนในตำหนักองค์ชายล้วนเป็นของจูอู๋หยาง องค์ชายหุ่นเชิดผู้นี้ จูอู๋หยางอยากจะทำอะไรกับพวกเธอก็ได้ แม้แต่จะฆ่าพวกเธอก็ยังได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทำเรื่องอย่างว่า
ตอนนี้ขันทีกับองครักษ์กล้าดียังไงถึงมาลวนลามนางกำนัลของเขา แบบนี้มันยอมกันไม่ได้!
เมื่อคิดได้ดังนั้น จูอู๋หยางจึงเรียกเว่ยอันไฉเข้ามา บอกให้เขาจัดเวรยามองครักษ์โดยแยกขันทีเป็นกลุ่มหนึ่ง องครักษ์เป็นกลุ่มหนึ่ง และนางกำนัลเป็นกลุ่มหนึ่ง... แม้ว่าจูอู๋หยางจะไม่ได้คิดอะไรกับนางกำนัลเหล่านั้นก็ตาม
สำหรับจูอู๋หยาง ชายหนุ่มผู้รักชาติที่ทะลุมิติมาจากโลกยุคใหม่ เขายังไม่สามารถยอมรับการมีผู้หญิงหลายสิบคนในคราวเดียวได้ แต่เมื่อนึกถึงการกระทำขององครักษ์และขันทีเหล่านั้นที่ราวกับกำลังสวมเขาให้เขา จูอู๋หยางก็รู้สึกขัดใจ
"ยินดีด้วย โฮสต์ปกป้องสิทธิ์ของตนเองเป็นครั้งแรกในชีวิต ได้รับ 3,000 จุดทะลวงขีดจำกัด..."
"ยินดีด้วย โฮสต์ได้รับการยกย่องว่าเป็นลูกผู้ชายตัวจริงเป็นครั้งแรกในชีวิต ได้รับ 1,000 จุดทะลวงขีดจำกัด..."
...
จูอู๋หยาง: "..."
ถ้ารู้แบบนี้ เขาคงยอมโดน "สวมเขา" ดีกว่าที่จะวิ่งเข้าหาหุบเหวแห่งความตายแบบนี้