บทที่ 64 จัดการกับตระกูลเหยียน
บทที่ 64 จัดการกับตระกูลเหยียน
“มีการขนส่งทางอากาศด้วยเหรอ?”
หลี่ฉางชิงมองชายชุดม่วงด้วยความประหลาดใจ
“ถูกต้อง สำนักคุ้มกันชางหยวนของพวกเรามีสัตว์วิญญาณบิน ที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษ มันสามารถขนส่งสิ่งของได้ หากบินไป ประมาณสามวันก็ถึงแล้ว”
ชายชุดม่วงแนะนำหลี่ฉางชิง
“เฮ้อ… ไม่งั้นพวกเจ้าอย่าเรียกว่าสำนักคุ้มกันชางหยวน เรียกว่าสำนักคุ้มกันซุ่นเฟิงดีไหม” หลี่ฉางชิงอดไม่ได้ที่จะบ่น
(ซุ่นเฟิงหรือSF Express Co., Ltd. ในปัจจุบันเป็นชื่อบริษัทขนส่งเอกชนที่มีชื่อเสียงในประเทศจีน)
“หะ?” ชายชุดม่วงฟังแล้วก็งุนงง
“งั้นขนส่งทางอากาศก็แล้วกัน” หลี่ฉางชิงหยิบเงินยี่สิบตำลึงออกมา มอบให้ชายชุดม่วง และให้เขาส่งจดหมายฉบับนี้ไปที่หุบเขาหมอเทวะโดยเร็วที่สุด
….
ร้านอาหารจินหงโหลว
วันนี้ร้านอาหารจินหงโหลวไม่ได้เปิดให้บริการ มีผู้ฝึกตนบางคนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู
คนที่อยากมาทานอาหารก็ถูกกันออกไป
ในเวลานี้ รถม้าคันหนึ่งได้หยุดลงหน้าร้าน
ชายอ้วนที่สวมเสื้อผ้าหรูหราเดินลงมาจากรถม้า เขามองไปรอบๆ จากนั้นก็เดินเข้าไปในร้านอาหารจินหงโหลวทันที
“ท่านประมุขเซวี่ย ทุกคนรอท่านมานานแล้ว” เมื่อเห็นคนมา ผู้จัดการร้านอาหารจินหงโหลวก็รีบเข้ามาต้อนรับ
“รู้แล้ว” ประมุขตระกูลเซวี่ยเงยหน้าขึ้นมองชั้นสอง จากนั้นเขาก็เดินขึ้นไป และพบคนรออยู่ และได้พาประมุขตระกูลเซวี่ยไปที่ห้องส่วนตัว
เขาผลักประตูเข้าไป
ข้างในมีคนนั่งอยู่เต็มไปหมด มีมากกว่าสิบคน
สายตาของพวกเขามองมาที่ยังประมุขตระกูลเซวี่ยพร้อมกัน
“ขออภัยทุกท่าน ข้ามาช้า” ประมุขตระกูลเซวี่ยประสานมือคารวะอย่างสุภาพ
“ประมุขเซวี่ยช่างใจเย็นเสียจริงๆ” ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ด้านในสุดพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ตอนนี้ไฟไหม้ลามถึงคิ้วแล้ว ประมุขเซวี่ยยังคงสงบสติอารมณ์ได้เช่นนี้ ข้าไป๋จิ้งเฟยขอชื่นชม”
“พี่ไป๋ล้อเล่นแล้ว ข้าแค่ติดธุระเล็กน้อย” ประมุขตระกูลเซวี่ยรีบขอโทษ
“เอาล่ะ นั่งลงเถอะ”
ชายที่ดูมีแววตาดุดันที่นั่งอยู่ข้างๆ ไป๋จิ้งเฟยกล่าว
เมื่อเขาพูด ประมุขตระกูลเซวี่ยก็นั่งลง
คนที่นั่งอยู่ที่นี่ล้วนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในเมืองฉางถิง
“วันนี้เรียกพวกเจ้ามา คงรู้ว่าเป็นเรื่องอะไรใช่ไหม?” ชายที่ดูมีแววตาดุดันกล่าว
“ประมุขจ้าว พวกเราย่อมรู้ดี ช่วงนี้การกระทำของตระกูลเหยียนเกินเลยไปหน่อย แต่พวกเราก็ไม่มีทางเลือก เราต้องพึ่งพาตระกูลจ้าวและตระกูลไป๋ของพวกท่านจึงจะต่อกรกับตระกูลเหยียนได้” ประมุขตระกูลคนหนึ่งกล่าวอย่างเคารพ
“ฮึ่ม… เดิมทีพวกเราสามตระกูลก็อยู่กันอย่างสงบสุข” ไป๋จิ้งเฟยพูดอย่างเย็นชา “พวกเราทำร้านอาหารของพวกเรา จ้าวอี๋ชิวก็ทำธุรกิจร้านขายผ้าได้ดี ธุรกิจเหมืองของตระกูลเหยียนก็ไม่เคยขัดแย้งกับพวกเรา”
“ใครจะไปรู้ว่าตระกูลเหยียนเกิดบ้าอะไรขึ้นมา ถึงทำเรื่องมากมายเช่นนี้ ทำให้พวกเราเสียหายอย่างหนัก” ในเวลานี้ ไป๋จิ้งเฟยโกรธมาก
“ใช่ แม้แต่ธุรกิจของพวกเราก็ได้รับผลกระทบ!” ประมุขตระกูลอีกคนหนึ่งก็พูดอย่างไม่พอใจ
“เซวี่ยหง เจ้าคิดเห็นอย่างไร?” จ้าวอี๋ชิวแห่งตระกูลจ้าวมองไปที่ประมุขตระกูลเซวี่ยที่เข้ามาคนสุดท้ายแล้วถาม
“ข้า?” ประมุขตระกูลเซวี่ยตกตะลึง ไม่คิดว่าหัวข้อจะมาถึงเขา
แต่เซวี่ยหงก็ตบโต๊ะอย่างแรง พูดอย่างโกรธเคืองว่า “ถูกต้อง ตระกูลเหยียนข่มเหงเกินไปแล้ว! ต้องลงโทษพวกเขา!”
ทุกคนมองเซวี่ยหงด้วยสายตาแปลกๆ ราวกับว่าการแสดงของเซวี่ยหงนั้นเกินจริงไปหน่อย
เมื่อถูกทุกคนมอง เซวี่ยหงก็พูดอย่างประหม่า “พวกท่านมองข้าแบบนั้นทำไม?”
“เซวี่ยหง” มีคนหัวเราะเยาะแล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่าธุรกิจโอสถของตระกูลเซวี่ยท่านจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก และเช้านี้ท่านยังไปทานเฉิงเฝิ่นที่ร้านอาหารของตระกูลเหยียนไม่ใช่หรือไง?”
“ลองดูเสื้อผ้าที่เจ้าใส่สิ ล้วนเป็นยี่ห้อ ‘ชิงเหยียน’ ของร้านขายผ้าตระกูลเหยียน”
ทุกคนมองดูแล้ว มันใช่จริงๆ!
บนเสื้อผ้ามีนกนางแอ่นสีเขียวที่ปักด้วยเทคนิคการปักผ้าเฉพาะของตระกูลเหยียน
นี่คือเสื้อผ้าแบรนด์ที่ตระกูลเหยียนเพิ่งเปิดตัว
เดิมทีตระกูลจ้าวก็อยากเลียนแบบ แต่ตลาดแบรนด์ถูกตระกูลเหยียนเปิดไปแล้ว ตระกูลจ้าวเข้ามาทีหลัง ผลลัพธ์จึงไม่ดีมากนัก
ตลาดไม่ค่อยยอมรับอีกแล้ว
เซวี่ยหงยิ้มแห้งๆ แล้วพูดว่า “ไม่มีทางเลือกนี่นา ตอนนี้ธุรกิจร้านขายผ้าของตระกูลเหยียนเฟื่องฟูมาก เสื้อผ้าชุดนี้เป็นที่นิยมในหมู่ขุนนางในเมืองฉางถิงของพวกเรา ใส่แล้วดูมีหน้ามีตา ข้าก็อดไม่ได้ที่จะซื้อมาสักสองสามชุด”
“เอาล่ะ”
“การที่ข้าเรียกเซวี่ยหงมา…” ไป๋จิ้งเฟยเอ่ยอย่างแผ่วเบา “เพราะตระกูลเซวี่ยและตระกูลไป๋ของพวกเรามีความสัมพันธ์กัน เรื่องนี้ตระกูลเซวี่ยก็ต้องช่วยเหลือ”
“ช่วยเหลืออย่างไร?”
ทุกคนมองไป๋จิ้งเฟยด้วยความประหลาดใจ ตระกูลเซวี่ยเป็นเพียงตระกูลเล็กๆ ในเมืองฉางถิง เขาทำอะไรได้?
“เซวี่ยหง ข้าเรียกเจ้ามา เจ้าน่าจะเข้าใจ” ไป๋จิ้งเฟยมองไปที่เซวี่ยหงแล้วพูดว่า “ตอนนี้ตระกูลเหยียนทำกับพวกเราแบบนี้ พวกเราก็ต้องตอบโต้ หากข้าจำไม่ผิด พี่เขยของเจ้าน่าจะรู้จักคนของคฤหาสน์จ้านเหอ และมีความสัมพันธ์กับคนของคฤหาสน์จ้านเหอ ใช่หรือไม่”
“อ๊ะ… ใช่” เซวี่ยหงพยักหน้า
“คฤหาสน์จ้านเหอ?” (คฤหาสน์สุขสงบแซ่จาง)
เมื่อได้ยินชื่อนี้ ทุกคนก็มองเซวี่ยหงด้วยความชื่นชม
พี่เขยของเซวี่ยหงยังมีความสัมพันธ์แบบนี้อีกหรือ?
คฤหาสน์จ้านเหอไม่ได้อยู่ในแคว้นหมิงหง และพวกเขาเป็นกองกำลังงที่แข็งแกร่ง แม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับกองกำลังระดับสูงสุดอย่างแดนโบราณเต๋าซาน แต่ความแข็งแกร่งก็ไม่ธรรมดา
พวกเขามีผู้แข็งแกร่งขอบเขตเสียนเทียนประจำการอยู่
“งั้นก็ติดต่อพี่เขยของเจ้า พวกเราทุกตระกูลจะช่วยออกเงิน จากนั้นให้จ้างผู้แข็งแกร่งขอบเขตเสียนเทียนจากคฤหาสน์จ้านเหอมา พวกเราจะไปเจรจากับตระกูลเหยียน!” ไป๋จิ้งเฟยพูดอย่างหนักแน่น
“จ้างผู้แข็งแกร่งขอบเขตเสียนเทียน?”
เซวี่ยหงตกใจ
ผู้แข็งแกร่งขอบเขตเสียนเทียนจ้างง่ายขนาดนั้นเลยหรือไง?
“จ้างผู้แข็งแกร่งขอบเขตเสียนเทียนมาแค่เจรจา?” ประมุขตระกูลคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ไม่งั้น… พวกเราล้างสังหารตระกูลเหยียนให้สิ้นซากไปเลยดีไหม? เมื่อถึงเวลานั้น ไม่เพียงแต่ธุรกิจจะกลับมาอยู่ในมือของพวกเรา แม้แต่ธุรกิจเหมืองของตระกูลเหยียนก็จะเป็นของพวกเรา!”
“ไม่ได้”
จ้าวอี๋ชิวพูดอย่างแผ่วเบา “ตระกูลเหยียนมีรากฐานที่ลึกซึ้ง ไม่ใช่ว่าจะกำจัดได้ง่ายๆ และเหตุผลที่สำคัญที่สุดคือ บุตรสาวคนเล็กของเหยียนปั๋วเทาเป็นศิษย์ของแดนโบราณเต๋าซาน”
“แม้ว่าบุตรสาวของเขาจะเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาของแดนโบราณเต๋าซาน และนางอาจไม่สามารถหาผู้แข็งแกร่งขอบเขตเสียนเทียนมาแก้แค้นให้ตระกูลเหยียนได้ แต่อนาคตจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้”
“กำจัดวัชพืชต้องถอนรากถอนโคน แต่พวกเราไม่สามารถให้ผู้แข็งแกร่งขอบเขตเสียนเทียนคนนั้นไปฆ่าบุตรสาวของเขาที่แดนโบราณเต๋าซานได้ เพราะเขาไม่ใช่ตี้เสินเซียน”
เมื่อได้ยินคำพูดของจ้าวอี๋ชิว ทุกคนก็เงียบลงทันที
จริงด้วยสินะ?
หากสามารถจ้างผู้แข็งแกร่งขอบเขตเสียนเทียนมาสั่งสอนตระกูลเหยียนได้ก็ไม่เลวแล้ว
“ดี งั้นข้าจะไปติดต่อพี่เขยของข้า” เซวี่ยหงพยักหน้า
“ค่าใช้จ่ายในการจ้างคน ตระกูลไป๋และตระกูลจ้าวของพวกเราออกห้าส่วน ที่เหลือพวกเจ้าหารกัน ไม่มีปัญหาใช่ไหม?” ไป๋จิ้งเฟยมองไปที่ทุกคน “นี่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันของพวกเรา หวังว่าพวกเจ้าจะกระตือรือร้นหน่อย”
เมื่อไป๋จิ้งเฟยพูดเช่นนี้ พวกเขาก็ทำได้เพียงตกลง
แต่ในใจของพวกเขายังคงตกใจ แผนการจ้างผู้แข็งแกร่งขอบเขตเสียนเทียน
เรื่องนี้มีโอกาสสำเร็จสูงมาก!
ตระกูลเหยียนเอ๋ย...
เจ้าทำให้ทุกคนโกรธจริงๆ แล้วสินะ?
จ้าวอี๋ชิวไม่ได้พูดอะไรตลอดการประชุม ขณะที่นั่งอยู่ในรถม้าระหว่างทางกลับ เขาก็หลับตาลง เพราะจ้าวอี๋ชิวรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิด
ทำให้ทุกคนเสียผลประโยชน์เนี้ยนะ?
ทำแล้วแน่นอนก็จะถูกทุกคนต่อต้าน เหยียนปั๋วเทาเป็นคนฉลาดผู้หนึ่ง เขาจะไม่เข้าใจเหตุผลนี้หรือไง?
หรือว่า… เขามีสิ่งใดให้พึ่งพากันแน่?