บทที่ 41 วัดโบราณหานฉา
บทที่ 41 วัดโบราณหานฉา
ในเวลานี้เอง หลี่ฉางชิงเห็นว่าปราณวิญญาณชั่วร้ายเบื้องหน้าราวกับถูกฉีกออกจากกัน
มีรอยแยกขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในปราณวิญญาณชั่วร้าย รอยแยกนี้ลอยอยู่เหนือทะเลสาบวิญญาณของหลี่ฉางชิง ดูแปลกประหลาดยิ่งนัก
ในขณะเดียวกัน ก็มีแรงดูดอันน่าตกตะลึงแผ่ออกมาจากรอยแยกนั้น
เสื้อผ้าของหลี่ฉางชิงปลิวไสว ราวกับว่าร่างกายของเขากำลังจะถูกดูดเข้าไปในรอยแยกนั้น
“ฮึ่ม!”
หลี่ฉางชิงคำรามเสียงดังในเวลานี้ เสียงดังก้องราวกับระฆัง แม้ว่าเขาจะยังไม่ค่อยเชี่ยวชาญในการควบคุมปราณวิญญาณ แต่ในช่วงเวลาคับขันเช่นนี้ หลี่ฉางชิงก็ยังคงต้านทานแรงดูดนี้ด้วยปราณวิญญาณอันแข็งแกร่งของเขา
แม้ว่าแรงดูดจะแข็งแกร่งมาก แต่มันก็ไม่สามารถทำอะไรหลี่ฉางชิงได้
หลี่ฉางชิงมั่นคงราวกับหินผา เขาไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
ปล่อยให้ลมพายุโหมกระหน่ำ เขาก็ยังคงยืนหยัดอยู่ตรงนั้น ไม่หวั่นไหว!
แม้ว่าพลังที่ปลดปล่อยออกมาจากภาพวาดแปลกประหลาดนี้จะแข็งแกร่ง แต่ก็ยังไม่แข็งแกร่งถึงขั้นที่เขาไม่สามารถต้านทานได้
“นั่นคือ...”
หลี่ฉางชิงมองผ่านรอยแยกนั้นไป เขาเห็นโลกใบเล็กๆ ซ่อนอยู่ภายในรอยแยกนั้น
เขามองเห็นวัดขนาดใหญ่อย่างเลือนรางภายใต้ปราณวิญญาณชั่วร้ายนั้น
“จ้าวขุนเขาซวี?”
“แล้วยังมีเทพธิดาฉิงเก๋อ และไอ้หนูผู้นั้นอยู่ด้วย” ในเวลานี้ หลี่ฉางชิงเห็นคนทั้งสามอยู่ด้านหน้าวัด พวกเขากำลังเดินโซซัดโซเซไปทางวัดราวกับศพเดินได้
“ที่นั่นคือที่ไหนกัน ทำไมถึงถูกผนึกไว้ในภาพวาดโบราณนี้ได้?” หลี่ฉางชิงรู้สึกว่ามีความลับอันยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
เขามองดูคนทั้งสามเดินเข้าไปในวัดที่ทรุดโทรมนั้นอย่างเลื่อนลอย
บนท้องฟ้าไม่มีดวงจันทร์
มีเพียงดวงตาสีเลือดคู่หนึ่งที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า ราวกับกำลังจับจ้องมองทุกสิ่งทุกอย่างในโลก
ท่ามกลางปราณวิญญาณชั่วร้ายที่แผ่กระจาย ซวีมู่ไห่ทั้งสามไม่มีสติสัมปชัญญะ ร่างกายแข็งทื่อ เดินไปทางวัดโบราณแห่งนั้นช้าๆ
หน้าประตูวัด… มีสิงโตหินสองตัวหมอบอยู่
ตะไคร่น้ำเกาะอยู่บนสิงโตหินทั้งสอง รอบๆ เต็มไปด้วยวัชพืช ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครมาทำความสะอาดเป็นเวลานานแล้ว
สายลมเย็นพัดผ่าน พัดใบไม้แห้งบนบันไดหน้าประตูวัดลอยพลิ้วไหว
ไม่ใช่แค่ใบไม้ที่แห้งเหี่ยว แม้แต่ต้นไม้แก่ที่อยู่ติดกำแพงก็เหี่ยวเฉาตายไปนานแล้วไม่รู้กี่ปี
ทุกหนทุกแห่งล้วนเต็มไปด้วยความอ้างว้าง
คนทั้งสามค่อยๆ เดินขึ้นบันได มองไปข้างหน้าด้วยแววตาว่างเปล่า
และในเวลานี้เอง ประตูวัดโบราณก็เปิดออกอย่างช้าๆ ประตูไม้ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด ดังก้องกังวานในยามค่ำคืนที่เงียบสงัด
คนทั้งสามก้าวเข้าไปในวัด
หลี่ฉางชิงมองดูพวกเขาเข้าไปในวัดด้วยตาของเขาเอง
“ที่นั่นคือที่ไหนกันแน่?” หลี่ฉางชิงก้าวออกไป ยืนอยู่ใกล้รอยแยก มองเข้าไปอย่างระมัดระวัง
ในชั่วขณะที่คนทั้งสามเข้าไปในวัด แววตาของพวกเขาก็ค่อยๆ กลับมาแจ่มใส
พวกเขารู้สึกได้ถึงเสียงร้องไห้โหยหวนดังมาจากข้างหู
ราวกับตกลงไปในนรก
“พวกเราเป็นอะไรไป?” ในเวลานี้ อิ๋นชางหลีตกใจ เขามองไปรอบๆ อย่างเลื่อนลอย ทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นกำแพงและซากปรักหักพัง ที่นี่มืดมนและน่าขนลุก
ไม่รู้สึกถึงร่องรอยของสิ่งมีชีวิตในลานกว้างแห่งนี้เลย
และดูเหมือนว่าที่นี่จะถูกทิ้งร้างมานานแล้วไม่รู้กี่ปี
“ที่นี่คือ...” มู่ฉิงเก๋อและซวีมู่ไห่ก็ฟื้นจากภวังค์เช่นกัน
เมื่อเห็นว่าตนเองเข้ามาในลานแห่งนี้ หัวใจของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความหวาดระแวง
“โครม!”
เสียงดังสนั่น ประตูโบราณด้านหลังพวกเขาก็ปิดลงอย่างแรง!
เสียงอันหนักหน่วงนั้นราวกับว่าผนึกชีวิตของพวกเขาไว้
“แย่แล้ว!” ซวีมู่ไห่สีหน้าเปลี่ยนไปกะทันหัน
มู่ฉิงเก๋อเพิ่งจะถามซวีมู่ไห่ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ยังไม่ทันเอ่ยปากถาม สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
เพราะไม่ว่าจะเป็นมู่ฉิงเก๋อหรือซวีมู่ไห่ ต่างก็รู้สึกว่าปราณหยวนในร่างกายของพวกเขาถูกสะกดเอาไว้
ปราณหยวนในร่างกายราวกับล้อรถที่ติดอยู่ในโคลน ต้องใช้ความพยายามอย่างมากแม้จะขยับเพียงเล็กน้อย
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พวกเขาไม่สามารถใช้พลังใดๆ ได้ ในสถานที่ที่น่ากลัวแห่งนี้!
หากมีพลังก็ยังดี ไม่ว่าที่นี่จะเป็นสถานที่ที่น่ากลัวเพียงใด พวกเขาก็ยังมีความแข็งแกร่งในการป้องกันตัวเอง แต่ที่นี่ไม่สามารถใช้พลังได้ หากพบเจออันตราย พวกเขาก็ทำได้เพียงรอความตายเท่านั้นแน่นอน
“ปรารหยวนของพวกเราถูกสะกดเอาไว้” ซวีมู่ไห่หันกลับไปผลักประตูหนักๆ นั้น แต่มันก็ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
“ที่นี่ที่ไหนกัน? ทำไมถึงสะกดปราณหยวนของพวกเราได้?” มู่ฉิงเก๋อมองไปรอบๆ กะทันหัน “จริงสิ แล้วสหายเต๋าฉางชิงไปไหนแล้ว?”
“ใช่” ซวีมู่ไห่นึกขึ้นได้ในเวลานี้
แล้วหลี่ฉางชิงล่ะ?
แม้ว่าหลี่ฉางชิงและอิ๋นชางหลีจะยืนอยู่ไกลออกไปเล็กน้อย แต่ทั้งสองก็อยู่ใกล้กัน อิ๋นชางหลียังเข้ามาได้ หลี่ฉางชิงก็น่าจะเข้ามาด้วยสิ?
ทำไมถึงไม่เห็นร่างของหลี่ฉางชิงล่ะ?
“ผู้อาวุโสฉางชิงไม่ได้เข้ามาด้วยงั้นเหรอ?” อิ๋นชางหลีเอ่ยดอย่างระมัดระวัง
“หากพี่ฉางชิงไม่ได้เข้ามาด้วยก็ยิ่งดี เขาจะต้องหาวิธีช่วยพวกเราได้อย่างแน่นอน” ซวีมู่ไห่พยักหน้า “พวกเรารีบเข้าไปดูข้างในกันเถอะ การยืนอยู่ที่นี่ทำให้ข้ารู้สึกไม่ดียังไงไม่รู้…”
“ข้าก็เหมือนกัน รู้สึกเหมือนมีคนกำลังจ้องมองพวกเราอยู่” มู่ฉิงเก๋อก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว แล้วหันกลับมามองโดยไม่รู้ตัว
“หืม?” มู่ฉิงเก๋อมองเห็นป้ายขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่บนชายคา
ป้ายนั้นแขวนเอียงอยู่ตรงนั้น ตัวอักษรบนป้ายผุพังแล้ว
แต่ก็ยังคงมองเห็นตัวอักษรขนาดใหญ่สี่ตัวที่เขียนอยู่บนนั้นได้อย่างชัดเจน
วัดโบราณหานฉา(เย็นชั่วขณะ)
“วัดโบราณหานฉา...” เมื่อเห็นตัวอักษรสี่ตัวนี้ แววตาของมู่ฉิงเก๋อก็เผยให้เห็นความหวาดกลัวโดยไม่รู้ตัว นางยังถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว
“ที่นี่คือวัดโบราณหานฉาจริงๆ” ซวีมู่ไห่เงยหน้าขึ้นมองป้ายนั้นเช่นกัน เขารู้สึกเหลือเชื่อเช่นกัน
“ท่านอาจารย์ วัดโบราณหานฉาคือที่ไหนหรือขอรับ?” อิ๋นชางหลีเห็นสีหน้าของทั้งสอง เขาก็รู้ว่าที่นี่ต้องไม่ธรรมดา
มู่ฉิงเก๋อสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ของตนเอง
“วัดโบราณหานฉา เคยเป็นนิกายพุทธที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนชางหยวน” มู่ฉิงเก๋อกล่าว
“นิกายพุทธ?” อิ๋นชางหลีประหลาดใจ “นั่นคืออะไรหรือขอรับ?”
“พวกเขานับถือพระพุทธเจ้า เข้าใจพระสูตรจากภาพวาด วิชาของพวกเขาลึกลับมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามารถสะกดเผ่าพันธุ์ภูติผีได้”
“เมื่อหลายปีก่อน นำโดยวัดโบราณหานฉา วัดพุทธหลายสิบแห่งในแดนชางหยวนได้เปิดฉากทำสงครามกับเผ่าพันธุ์ภูติผี” ซวีมู่ไห่พูดต่อ “ในที่สุด สงครามครั้งนั้น เผ่าพันธุ์ภูติผีก็เป็นฝ่ายชนะ แต่ก็เป็นชัยชนะที่สูญเสียอย่างหนัก และกองกำลังอื่นๆ ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ร่วมมือกันบังคับเผ่าพันธุ์ภูติผีเข้าไปในดินแดนรกร้างอวิ๋นฮวง”
“แต่คนของนิกายพุทธก็เกือบจะถูกกำจัดจนหมดสิ้น หลังจากสงครามครั้งนั้น วัดโบราณหานฉาก็หายสาบสูญไปจากแดนชางหยวน คิดแล้วก็น่าจะเกือบพันปีแล้ว”
“ไม่คิดเลยว่าวัดโบราณหานฉาจะถูกผนึกไว้ในภาพวาด นับว่าแปลกประหลาดยิ่งนัก” ในเวลานี้ ซวีมู่ไห่รู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกประหลาดเกินไป
“พวกเราถูกหลอกแล้ว” มู่ฉิงเก๋อหรี่ตาลง “ภาพวาดผืนนั้นใช้เพื่อหลอกล่อพวกเรา พวกเราถูกส่งมาที่นี่หลังจากเปิดภาพวาด แม้ว่าจะไม่รู้ว่าพวกเขามีจุดประสงค์อะไร แต่ข้ารู้ว่าหากพวกเราไม่รีบหาวิธีออกไปจากที่นี่ พวกเราก็ยากที่จะมีชีวิตรอด!”