บทที่ 1 คนเก่งมักตายเพราะความสามารถของตน
บทที่ 1 คนเก่งมักตายเพราะความสามารถของตน
หลี่ฉางชิงยังจำได้ว่าตอนที่เขายังเรียนหนังสือ เขาเคยเห็นประโยคหนึ่งในหนังสือเรียนว่า "คนเก่งมักตายเพราะความสามารถของตน"
เขาไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมคนเก่งถึงต้องตายเพราะความสามารถของตน แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว
ในฐานะช่างแกะสลักไม้ การที่เขาถูกงานแกะสลักของตัวเองหล่นทับตายจากบนตู้ ก็ถือว่าเป็นการตายเพราะความสามารถของตัวเองอย่างแท้จริงสินะ?
แต่ในวินาทีที่เขากำลังจะสิ้นใจ สิ่งที่หลี่ฉางชิงรู้สึกมีเพียงแค่ความโล่งใจ
เขาหลงใหลในการแกะสลักมาทั้งชีวิต และบรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้ว แต่ความสามารถนี้ไม่ได้ทำให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้นเลย
ภรรยาของเขาป่วยหนัก แต่เขาไม่มีเงินรักษา สุดท้ายภรรยาของเขาก็จากไป บุตรชายคนเดียวที่โตขึ้นมา มันก็คบแต่เพื่อนไม่เอาไหน เอาแต่เที่ยวเตร่ไปวันๆ รู้จักแต่ขอเงิน ขโมยของมีค่าในบ้านไปขาย เข้าซังเตบ่อยจนเป็นเรื่องปกติ
และไม่กี่วันก่อนหน้านี้ เพราะเขาไม่มีเงินให้ บุตรชายจึงชกเขาและด่าทออย่างรุนแรง หลี่ฉางชิงรู้สึกว่าชีวิตของเขาล้มเหลวอย่างถึงที่สุดจริงๆ
ความตาย… อาจเป็นการปลดปล่อยอย่างหนึ่งกระมัง?
……
แคว้นหมิงหง เมืองฉางถิง
เสียงดังสนั่นหวั่นไหว พร้อมกับต้นไม้โบราณอายุนับพันปีใจกลางเมืองฉางถิงที่ถูกฟ้าผ่าจนไหม้เกรียม ฝนที่ตกหนักติดต่อกันสามวันก็สิ้นสุดลง
เมืองฉางถิงไม่ได้มีฝนตกหนักเช่นนี้มานานหลายปีแล้ว
ในมุมหนึ่งของย่านการค้าชิงอวิ๋นในเมืองฉางถิง มีร้านค้าที่ไม่สะดุดตาเท่าไหร่นัก บนร้านค้ามีตัวอักษรสี่ตัวเขียนว่า "ร้านวาดภาพฉางชิง" (เขียวฉอุ่มตลอดปีหรือยืนยาว)
ประตูร้านค่อนข้างทรุดโทรม ทำเลที่ตั้งก็ไม่ค่อยดีนัก ด้านหลังร้านมีลานเล็กๆ และในห้องของลานบ้าน ร่างหนึ่งเปิดหน้าต่างมองออกไปข้างนอก
"ในที่สุดก็หยุดแล้ว"
คนที่พูดเป็นชายวัยกลางคน หนวดเครารุงรัง ใบหน้าซีดเซียว ดูเหมือนไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว
หลี่ฉางชิงไม่คิดว่าหลังจากที่เขาถูกงานแกะสลักไม้ทับตา เขาจะทะลุมิติมายังโลกที่ลึกลับแห่งนี้ แถมยังทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของคนที่เพิ่งตายไป
ตอนที่เพิ่งมาถึงโลกนี้ใหม่ๆ หลี่ฉางชิงรู้สึกมึนงงและสับสนมาก
แม้ว่าในชีวิตก่อนเขาจะเคยอ่านนิยายมาก่อน และรู้ว่ามีเรื่องการทะลุมิติอยู่จริง แต่สิ่งที่ทำให้หลี่ฉางชิงมึนงงก็คือ คนอื่นที่ทะลุมิติมา มักจะสืบทอดความทรงจำดั้งเดิมของเจ้าของร่าง แต่หลี่ฉางชิงกลับไม่ได้สืบทอดความทรงจำใดๆ เลย!
เขารู้แค่ว่า เจ้าของร่างเดิมเสียชีวิตเพราะอาเจียนเป็นเลือด คาดว่าน่าจะหัวใจวายตาย
ยิ่งไปกว่านั้น นับตั้งแต่เขามาที่นี่ ฝนก็เริ่มตกหนัก ทำให้หลี่ฉางชิงไม่สามารถออกไปไหนได้เลย
ยิ่งค้นหาทั่วบ้าน เขาก็ยิ่งไม่พบอาหารแม้แต่น้อย มีเพียงเงินอยู่บ้าง แต่เงินก็กินไม่ได้ใช่ไหม? แถมข้างนอกฝนก็ตกหนัก ไม่มีที่ให้ซื้อของ สุดท้าย… หลี่ฉางชิงก็ต้องทนหิวโหยอยู่สามวัน เขาสงสัยว่า ถ้าฝนไม่หยุดตก เขาที่เพิ่งทะลุมิติมา เขาก็คงจะต้องอดตายอยู่ในบ้านหลังนี้แน่นอน
โชคดีที่วันนี้ฝนหยุด หลี่ฉางชิงจึงออกไปซื้อของกินได้เสียที
แต่ในช่วงสามวันที่อยู่บ้าน หลี่ฉางชิงไม่ได้นิ่งนอนใจ เขาพบข้อมูลที่เป็นลายลักษณ์อักษรมากมายที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ ผ่านการอ่านข้อมูลที่เป็นลายลักษณ์อักษรเหล่านี้ หลี่ฉางชิงจึงเข้าใจโลกนี้มากขึ้น
โลกนี้บูชาความแข็งแกร่ง มีผู้ฝึกตน แต่วิธีการฝึกฝนของโลกนี้กลับทำให้หลี่ฉางชิงประหลาดใจอยู่บ้าง
ผู้ฝึกยุทธใช้ภาพวาดในการเข้าถึงขั้นสูงสุดของวิถีแห่งเต๋า
มีคนชื่นชมภาพวาดวัวกระทิงพุ่งชนภูเขา จู่ๆ ก็เกิดรู้แจ้ง จู่ๆ ก็เข้าใจวิถีแห่งเต๋า แถมยังได้รับวิชาอย่าง"กระบวนท่าทลายภูผา" ซี่งมีพลังมหาศาล สามารถเคลื่อนย้ายภูเขาได้ด้วยมือเปล่า!
มีคนชื่นชมภาพวาดดาบแสงจันทร์สีน้ำเงิน จู่ๆ ก็เกิดรู้แจ้ง จู่ๆ ก็เข้าใจวิถีแห่งเต๋า และได้รับวิชาอย่าง "กระบวนท่าดาบแสงจันทราคราม" ฟาดฟันต่างเผ่าพันธุ์จนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วสารทิศ
ดังนั้นในโลกนี้ ช่างวาดภาพจึงมีสถานะ และตำแหน่งที่สูงส่ง
และคนที่สามารถเป็นช่างวาดภาพได้นั้น ในขณะที่จับพู่กัน จะสามารถสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณแห่งสวรรค์และปฐพี พวกเขาใช้จิตวิญญาณในการฝึกฝนตนเอง ความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณเป็นตัวกำหนดระดับของภาพวาดที่วาดออกมา
ยิ่งไปกว่านั้น ช่างวาดภาพที่แข็งแกร่งยังมีพลังอำนาจที่ลึกลับ ภาพวาดหนึ่งภาพ มันสามารถสะกดสวรรค์และปฐพี ตวัดปลายพู่กันหนึ่งครั้ง เขาสามารถวาดท้องฟ้าได้ มีพลังอำนาจอันไร้ขอบเขต!
ดังนั้น คนที่มีคุณสมบัติเป็นช่างวาดภาพ จึงเป็นหนึ่งในล้านอย่างแท้จริง
หลี่ฉางชิงแห่งโลกนี้ เดิมทีเขาสามารถสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณ และมีความสามารถในการเป็นช่างวาดภาพมาตั้งแต่เด็ก ความฝันของเขาคือการบรรลุถึงขั้นสูงสุดของจิตวิญญาณแห่งการวาดภาพ ยืนหยัดอยู่บนจุดสูงสุดของโลกใบนี้
น่าเสียดายที่แม้ว่าหลี่ฉางชิงจะมีคุณสมบัติ แต่คุณสมบัตินั้นกลับมีไม่มาก มีความสามารถอยู่บ้าง แต่น่าเสียดายที่ความสามารถนั้นยังไม่เพียงพอ
ตั้งแต่เด็กจนโต เขาวาดภาพมาจนอายุสามสิบกว่าปีแล้ว ไม่ต้องพูดถึงความสำเร็จ ครอบครัวที่เคยมั่งคั่งก็หายไปพร้อมกับการวาดภาพ เขาต้องพึ่งพาร้านวาดภาพแห่งนี้เพื่อหาเลี้ยงชีพ
แม้แต่บุตรชายคนเดียวก็ออกจากบ้านไปสามปีกว่าแล้ว จากจดหมายที่ส่งไปมา หลี่ฉางชิงรู้ว่า บุตรชายของเขาชื่อ "หลี่เหิงเซิง" กำลังฝึกฝนอยู่ในนิกายที่เรียกว่า "แดนโบราณเต๋าซาน" (ภูเขาแห่งเต๋า)
น่าเศร้าที่ไม่มีใครซื้อภาพวาดของเขาเลย เพราะฝีมือเขาธรรมดา ในเมื่อภาพวาดของเขาไม่สามารถทำให้ผู้คนเข้าถึงวิถีแห่งเต๋าได้ เพราะอย่างนั้นแล้ว ภาพวาดแบบนี้ใครจะไปซื้อ ใช่ไหม?
เขาจึงยึดอาชีพนี้ไว้ คอยเงินช่วยเหลือที่บุตรชายส่งมาทุกเดือนเพื่อประทังชีวิต
หลี่ฉางชิงรู้สึกว่า เจ้าของร่างเดิมนี้ช่างล้มเหลวในชีวิตเสียจริง…
เขาดูภาพวาดในร้านแล้ว ขอพูดตามตรงเลยว่า… มันธรรมดามาก!
ภาพวาดสัตว์ร้ายต่างๆ ที่วาดออกมานั้นไม่เหมือนจริงเลย มีรูปร่างแต่ไม่มีจิตวิญญาณ รายละเอียดก็หยาบมาก
เป็นเพราะว่าในโลกนี้ ช่างวาดภาพไม่สามารถวาดสิ่งที่ตนเองไม่เคยเห็นได้ และสัตว์ร้ายต่างๆ นั้น ช่างวาดภาพที่ไร้ซึ่งพลังยุทธ์อย่างหลี่ฉางชิง ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าไปสังเกตในระยะใกล้
ไม่เหมือนกับกลุ่มอิทธิพลขนาดใหญ่ เพื่อฝึกฝนช่างวาดภาพของตนเอง พวกเขาจะให้ผู้ฝึกยุทธไปจับสัตว์ร้ายตัวจริงกลับมาให้ช่างวาดภาพสังเกต
ณ ตอนนี้ ท้องฟ้าเพิ่งสาง แสงแดดส่องลงมาทั่วเมืองฉางถิง หลี่ฉางชิงก็รีบพกเงินวิ่งออกไปข้างนอก เขาทนหิวไม่ไหวแล้วจริงๆ
ถ้าไม่กินอะไรอีก เขาคงต้องตายอีกครั้งแน่ๆ
"โอ้ จิตรกรหลี่ รีบร้อนไปไหนกันเล่า?" เพิ่งวิ่งมาถึงถนน จู่ๆ ก็มีคนทักทายหลี่ฉางชิง
แต่หลี่ฉางชิงจำไม่ได้เลยว่าคนๆ นั้นคือใคร ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจ รีบหาว่าในเมืองมีร้านอาหารที่ไหนบ้าง?
เมื่อเห็นหลี่ฉางชิงไม่สนใจตน คนๆ นั้นก็ยิ้มแห้งๆ และไม่ได้ใส่ใจ
แม้ว่าหลี่ฉางชิงจะเป็นช่างวาดภาพที่ไม่มีความสามารถอะไร แต่เขาก็ยังถือว่าเป็นช่างวาดภาพ เขามีสถานะที่สูงส่งกว่าคนทั่วไป ใครจะไปรู้ว่าวันหนึ่ง หลี่ฉางชิงอาจจะวาดภาพดีๆ ออกมาและกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ก็เป็นได้
ทุกคนรู้ดีว่าหลี่ฉางชิงเคยวาดภาพหนึ่งภาพ จากนั้นทำให้ศิษย์ตระกูลผู้สูงศักดิ์คนหนึ่งเกิดรู้แจ้ง ทะลวงผ่านจากขอบเขตทุยฟ่าน(สภาวะมนุษย์) ไปขอบเขตโฮ่วเทียน(หลังสวรรค์)
และเพราะเรื่องนี้ ทำให้หลี่ฉางชิงคุยโอ้อวดมาหลายปีเลยทีเดียว
เขาคุยเรื่องนี้กับทุกคนที่พบเจอ!
อย่างเช่น ถ้ามีคนเดินสวนทางมาถามหลี่ฉางชิงว่า "จิตรกรหลี่ บังเอิญจัง ท่านกินอะไรหรือยัง?"
หลี่ฉางชิงจะตอบว่า "หืม? เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าภาพวาดของข้าทำให้คนก้าวสู่ขอบเขตโฮ่วเทียนได้?"
โอ้อวดแบบนี้ แม้แต่เซียงหลินซาวก็ยังต้องอับอายเลยทีเดียว
(เซียงหลินซาวเป็นตัวละครหลักในเรื่องสั้น "เทศกาลเซ่นไหว้" (祝福) ของ ลู่ซิ่น นักเขียนชาวจีน)
ระหว่างทางมีคนทักทายไม่หยุด หลี่ฉางชิงก็ไม่สนใจบ้าง พยักหน้าบ้าง สุดท้ายหลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป หลี่ฉางชิงก็พบกับร้านข้างทางแห่งหนึ่ง
ร้านนั้นกำลังขายอาหารเช้า มีคนมากมายกำลังกินอยู่ที่นั่น กลิ่นหอมลอยฟุ้ง ทำให้ท้องของหลี่ฉางชิงร้องขึ้นมาอีกครั้ง
หลี่ฉางชิงนั่งลงอย่างอ่อนแรง รีบสั่งให้เจ้าของร้านอาหารเอากับข้าวมาให้
"เอ๊ะ จิตรกรหลี่!" เจ้าของร้านเป็นชายวัยกลางคนที่ซื่อสัตย์ เมื่อเห็นหลี่ฉางชิง เขาก็ตกใจมาก
หลี่ฉางชิงมาที่ร้านเล็กๆ ของเขาเพื่อกินข้าวเนี่ยนะ?
ปกติหลี่ฉางชิงมักจะทำตัวสูงส่ง ไม่มาที่แบบนี้แน่นอน ถ้าจะกินก็ต้องเป็นโรงเตี๊ยมจิ่นหงโหลวในเมือง วันนี้เขาเป็นอะไรไป?
แม้แต่ลูกค้าคนอื่นๆ ก็ยังรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง…
เมื่อเห็นเจ้าของร้านกำลังตกตะลึง หลี่ฉางชิงจึงรีบพูดว่า "เถ้าแก่ รีบๆ หน่อย อะไรก็ได้ เอามาให้ข้ากินเร็วๆ"
"โอ้ ได้ได้ได้! " เจ้าของร้านรู้สึกตัว รีบยกอาหารเช้ามาเสิร์ฟ
มันก็แค่โจ๊กกับผักดองธรรมดาๆ กับโหยวปิ่ง(แป้งทอด) อีกเล็กน้อย
หลี่ฉางชิงกินอย่างตะกละตะกลาม เขาไม่ได้กินอะไรมาสามวันแล้ว โจ๊กกับผักดองธรรมดาๆ นี้ กลายเป็นอาหารมื้อที่อร่อยที่สุดในรอบสองชาติของหลี่ฉางชิงจริงๆ
ขณะที่หลี่ฉางชิงกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย เขาก็ได้ยินเสียงคนตะโกนอยู่ไม่ไกลว่า "จิตรกรหลี่ ท่านอยู่ที่นี่เอง พอดีเลย ไม่ต้องไปหาถึงบ้านแล้ว นี่จดหมายของท่าน"
หลี่ฉางชิงเงยหน้าขึ้น เขาเห็นชายชุดม่วงคนหนึ่งเดินเข้ามา บนหลังสะพายกล่องใบใหญ่ เขาค้นหากล่องนั้นครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบจดหมายออกมาหนึ่งฉบับแล้วยื่นให้หลี่ฉางชิง
บุตรชายข้าส่งมางั้นเหรอ?
หลี่ฉางชิงรับจดหมายมาด้วยความอยากรู้อยู่ในมือที่เปื้อนน้ำมันจากโหยวปิ่ง มองดูตัวอักษรสามตัว "หลี่เหิงเซิง" ที่เขียนอยู่บนซองจดหมาย