ตอนที่ 49 ปัญหาใหม่
ตอนที่ 49 ปัญหาใหม่
ตอนที่ซ่งลุ่ยเห็นฮงเหมยก้มหน้าลงเพราะเธอเขินอายจนหน้าแดง เขาเองก็นั่งแทบไม่ติดอีกต่อไป เพราะตอนนี้ตัวเองจะมานั่งรอให้เธอคิดเพ้อเจ้อตลอดไปไม่ได้ ตัวเองนั้นสามารถรอเธอได้ แต่ปัญหาอีกด้านนั้นไม่อาจรอตัวเองได้ ! ดังนั้นเขาจึงรีบลุกขึ้น แต่ขณะที่เขากำลังจะบอกกับฮงเหมยว่าตัวเองจะไปแล้ว คิดไม่ถึงในเวลานั้นฮงเหมยจะหยิบกระจกเล็ก ๆ ออกมาจากกระเป๋าเครื่องสำอางของตัวเองและยื่นมันให้กับเขา ไม่เพียงเท่านั้นเธอยังพูดกับตัวเองด้วยถ้อยคำเหล่านั้น ซ่งลุ่ยถึงกับต้องกลืนคำพูดลงไปทันที เขาเฝ้ามองท่าทางที่เธอแสดงออกมาหลังจากที่เธอพูดจบ จากการกระทำนั้นของเธอทำให้ใจที่เคยโกรธแค้นต่อฮงเหมยไม่ได้มีมากเหมือนเก่าก่อน
ในขณะเดียวกัน ซ่งลุ่ยก็คิดในใจด้วยเช่นกัน ดูเหมือนการที่ฮงเหมยได้เป็นคนโปรดอยู่ข้างประธานจาง คงไม่ได้ใช้ลูกไม้จอมปลอมพวกนั้น ! เธอสามารถสังเกตสีหน้าและคำพูดของอีกฝ่ายได้อย่างถูกที่ถูกเวลา ส่วนนี้ของเธอสามารถพลิกแพลงไปตามสถานการณ์ได้อย่างชาญฉลาด และมันยังทำให้ตัวเองรู้สึกว่าคุ้มค่าที่จะเรียนรู้ ! ดีเลยที่ฮงเหมยทำแบบนี้ มันช่วยลดคำพูดของตัวเองลงไปได้ และตัวเองก็ยังไม่ต้องพยายามทำอะไรอีกด้วย แบบนี้มันไม่ใช่การดีต่อตัวเธอเอง ฉัน และทุกคนหรอกหรอ !
วินาทีนั้น ซ่งลุ่ยก็พูดกับฮงเหมยว่า “นี่มันก็ไม่แปลกอะไรนิ ไม่มีมนุษย์คนไหนไม่เคยไม่ทำผิดหรอก ขอแค่เห็นผิดแล้วรู้จักแก้ไขมันก็ดีแล้ว ถ้างั้นกระจกบานนี้ ฉันขอรับไว้นะ อีกเดี๋ยวถ้าใช้เสร็จแล้วจะเอามาคืนให้เธอนะ โอเคนะ เอาเป็นแบบนี้ก็แล้วกัน ตอนนี้ฉันต้องรีบกลับไปจัดการเรื่องด่วนที่ห้องก่อนนะ เธอทำงานของเธอต่อเลย ฉันไม่กวนแล้ว” ซ่งลุ่ยพูดจบ ไม่รอให้ฮงเหมยได้พูดอะไร เขาก็หมุนตัวเดินออกไปจากห้องทันที
เมื่อฮงเหมยเห็นซ่งลุ่ยจะเดินออกไปข้างนอก เธอก็ไม่รอช้ารีบเดินตามไปส่งซ่งลุ่ยทันที ในเวลาเดียวกัน เธอก็พูดกับซ่งลุ่ยด้วย “เดี๋ยวฉันไปส่ง เมื่อกี้ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ขอโทษนะ ต่อไปถ้าอยากใช้อะไร หรือว่ามีปัญหาอะไร มาหาฉันได้เลยนะ ฉันจะต้องช่วยนายสุดความสามารถแน่ ! เรื่องแบบนี้นายวางใจได้เลยนะ !” เธอทั้งพูดและเดินตามหลังซ่งลุ่ยไปติด ๆ
หลังจากที่ซ่งลุ่ยได้ยิน เขายิ้มแย้มออกมา แต่กลับไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงเดินออกไปเท่านั้น ขณะที่เขาเดินมาถึงหน้าประตู เขาก็หันมาพูดกับฮงเหมยว่า “โอเค เธอกลับไปเถอะ แค่คำพูดนี้ของเธอก็พอแล้ว ต่อไป ยังไงก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะรบกวนเธอ ดังนั้นเธอเองก็อย่าบ่นว่าเหนื่อยเพราะฉันนะ” หลังพูดจบ เขาก็ไม่รอคุยกับฮงเหมยต่อ หันกลับและเดินตรงไปยังห้องทำงานของตัวเองทันที
ฮงเหมยมองหลังของซ่งลุ่ยที่กำลังเดินห่างออกไปเรื่อย ๆ แต่ในสมองของเธอนั้นยังไม่หยุดจินตนาการ ทำไมเมื่อก่อนตัวเองไม่เห็นว่าร่างกายของซ่งลุ่ยมีออร่าขนาดนี้นะ ทำไมเมื่อก่อนตัวเองไม่เอาซ่งลุ่ยมาครองนะ สมัยก่อนตัวเองนี่โง่จริง ๆ ! ทำไมหลังจากที่ตัวเองพูดจาประชดประชันไปแล้วถึงได้ยังรู้สึกว่าตัวเองแพ้อยู่หน่อย ๆ นะ ! นี่มันเรื่องอะไรกัน ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ฮงเหมยเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงมีความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้น ขณะที่คิดเธอก็ยืนหยุดอยู่ที่หน้าประตูเป็นเวลานาน แต่ยังไงเธอก็ยังหาเงื่อนงำไม่เจอเลยสักนิด และในทางกลับกัน ยิ่งเธอคิดมันก็ยิ่งทำให้สับสนยิ่งกว่าเดิม ตอนนี้เธออดไม่ได้ที่จะหงุดหงิด เธอจึงตัดสินใจไม่กลับไปคิดเรื่องนี้อีก เธอหันหลังและเดินกลับเข้าไปในห้องทำงานของตัวเองทันที จากนั้นก็เริ่มทำงานที่ค้างไว้จากเมื่อกี้ต่อ !
อีกทางด้านหนึ่ง ซ่งลุ่ยที่พึ่งออกมาจากห้องทำงานของฮงเหมย เขาเดินกลับไปห้องทำงานของตัวเองทันที ! ที่จริง ตอนที่เขาอยู่ในห้องทำงานของฮงเหมย ใจของเขาก็ร้อนรนอยู่แล้ว อยากจะรีบกลับมาทดสอบความสามารถที่น่าทึ่งของตัวเองเร็ว ๆ อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น เขาก็แทบจะวิ่งออกมาอยู่แล้ว ! แต่เขาพบว่าด้านหลังยังมีฮงเหมยที่คอยจับตาดูตัวเองอยู่ ดังนั้นจึงต้องอดกลั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของตัวเองเอาไว้ และแกล้งทำเป็นเดินมาที่ห้องทำงานของตัวเองอย่างสงบและเยือกเย็น แต่ภายในใจนั้นร้อนรุ่มดุจไฟ ! มันไม่ง่ายเลยกว่าที่เขาจะเดินมาถึงห้องทำงานของตัวเองได้ ตอนที่ร่างกายของเขาเข้ามายังห้องทำงานของตัวเอง เขาไม่รีรอ รีบปิดประตูอย่างเบา ๆ มันเป็นเสียงที่เบามาก แต่ยังไงก็ยังไงมันก็ดูเหมือนการปิดอย่างรีบร้อนอยู่ดี ! ในเวลานี้ ซ่งลุ่ยไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้อีกต่อไป ! เขารีบวิ่งไปที่หน้าต่างด้วยความรวดเร็ว !
หลังจากที่ซ่งลุ่ยพึ่งเข้าห้อง เขาก็รีบวิ่งที่มีหน้าต่าง ในระหว่างที่เขาวิ่งก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากด้านนอกหน้าต่าง เขามั่นใจในทันที จากนั้นใจของเขาก็ค่อย ๆ สงบลง ผ่านเสียงที่เพิ่งได้ยิน ดูเหมือนเรื่องที่ตัวเองจะทำมันยังไม่สายเกินไป แบบนั้นก็ดี ! ซ่งลุ่ยถอนหายใจออกมายาว ๆ ทำใจให้สงบ ไม่มีทีท่าร้อนรนเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อเดินมาถึงหน้าต่าง เขาก็มองออกไปข้างนอกทันที เหตุการณ์เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ คนกลุ่มนั้นยังคงห้อมล้อมไว้เหมือนเดิม ท่าทางเหมือนกำลังปิดกั้นอะไรบางอย่างอยู่ ส่วนผู้คนที่มามุงดูต่างก็ชี้ไปในทิศเดียวกัน และพวกเขายังมีความคิดเห็นต่างกันด้วย เหตุการณ์ดูเหมือนจะเลวร้ายมาก และนอกจากนี้คนที่ถูกล้อมไว้นั้นต่างมีหน้าตาที่ดุร้ายอีกด้วย !
ซ่งลุ่ยเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะโมโห ตอนนี้ซ่งลุ่ยไม่ลังเลอีกต่อไป เขาหยิบกระจกบานนั้นที่ยืมมาจากฮงเหมยออกมาจากกระเป๋ากางเกงตัวเอง ตอนนี้เขาเอามือข้างหนึ่งถือกระจกกระจกไว้ ต่อมาก็วางมันลงที่ตรงหน้าต่าง จากนั้นหามุมที่เหมาะสมเพื่อสะท้อนแสง แต่ทันใดนั้นเขาก็พบปัญหา ความสามารถนี้ของตัวเองไม่อาจฆ่าคนให้ตายได้ และไม่มีฟังก์ชันลบความทรงจำของคนอื่นด้วย ถ้าหลังจากที่ตัวเองจัดการทำให้เทศกิจคนนั้นสับสนได้เรียบร้อย แม้ว่าเขาจะไม่มาหาตัวเองเพื่อแก้แค้น แต่หลังจากที่เขาได้สติ จะต้องมองตามแสงมาหาตัวเองแน่ และถ้าหลังจากนั้นเขามาคิดบัญชีกับตัวเองล่ะ จะทำยังไง !
ตอนนี้ซ่งลุ่ยกำลังเริ่มคิดว่าตัวเองจะแก้ไขปัญหานี้ยังไงดี และจะทำยังไงให้ตัวเองสามารถใช้งานทักษะนี้ได้ แล้วยังต้องไม่ให้เขารู้ว่าตัวเองเป็นใครด้วย ไม่ให้เขากลับมาล้างแค้นตัวเองได้ ! จากนั้นซ่งลุ่ยก็หลับตาลง เริ่มตั้งสมาธิ ไม่ให้เขาล้างแค้นตัวเอง ก็แค่ทำให้เขาไม่เห็นหน้าตัวเองก็ได้แล้ว ถ้าเป็นแบบนั้นตัวเองแค่ใส่ผ้าปิดปากก็ได้แล้วนิ ! แต่สถานที่ที่ใช้กระจกดึงความสนใจจากเขาต้องเปลี่ยนสักหน่อย จะอยู่ในห้องทำงานของตัวเองไม่ได้ ถ้าฉันใส่ผ้าปิดปากแล้วแต่ยังอยู่ในห้องทำงานของตัวเอง แบบนั้นมันก็ไม่ใช่การโกหกตัวเองหรอกหรอ ดังนั้นต้องย้ายสถานที่สักหน่อย และมันต้องเป็นที่ที่เหมาะสมด้วย !
ซ่งลุ่ยกลับมานอนฟุบอยู่บนเก้าอี้และเริ่มคิดเกี่ยวกับปัญหาที่เพิ่งเกิดขึ้น เรื่องแรกคือต้องป้องกันไม่ให้เขาจำตัวเองได้ แต่เรื่องนี้มันจัดการง่ายมาก แค่ใส่แมสก็จบแล้ว แบบนี้ก็มองไม่ออกแล้วว่าตัวเองเป็นใคร แต่มันก็ยังมีปัญหาเรื่องสถานที่ เขาจะอยู่ในห้องของตัวเองไม่ได้ แต่ก็ไปยืมใช้ห้องของคนอื่นไม่ได้เช่นกัน เฮ้อ...แบบนี้มันค่อยข้างลำบากแฮะ ! หรือว่าตัวเองจะเดินไปแถวโถงทางเดินดีนะ ที่โถงทางเดินมีหน้าต่างอยู่สองบาน แต่ที่โถงทางเดินมีคนเดินผ่านไปมาตลอด อย่างน้อยจะต้องมีคนสนใจตัวเองแน่ ด้วยการแต่งตัวที่แปลกประหลาดของตัวเองและยังใส่แมส แถมในมือยังถือกระจก แบบนั้นต้องทำให้คนอื่นคิดว่าตัวเองเป็นโรคจิตแน่ อืองั้นเอาเป็นตรงหัวมุมบันไดเป็นไง เฮ้ย นั่นก็ไม่ได้ เดิมทีชั้นที่ตัวเองอยู่นี่ก็ล่างพออยู่แล้ว ตัวเองจะใช้หัวมุมบันไดของบริษัทไม่ได้ จะต้องลงไปอีกสักสองสามชั้น แต่ยิ่งลงไปบริษัทข้างล่าง คนก็ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อย ๆ การแต่งตัวที่แปลกประหลาดแบบนี้ของตัวเอง คิดจะไม่อยากดึงดูดความสนใจจากผู้คนนั้นคงเป็นไปได้ยาก !
ตอนนี้ซ่งลุ่ยกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ คิดไปสักพัก เขาก็ยังหาวิธีดี ๆ ไม่ออก แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกร้อนรนเล็กน้อย โธ่ เมื่อกี้ฉันดื่มน้ำเยอะไปซินะ เมื่อกี้ตอนอยู่ห้องฮงเหมยก็ดื่มน้ำเข้าไปเยอะ ตะกี้ยังดื่มน้ำเข้าไปแก้วใหญ่อีก ถ้าตอนนี้ตัวเองไม่อยากไปเข้าห้องน้ำก็คงแปลกแล้วล่ะ ! ตอนแรกเขาแค่ปวดฉี่เล็กน้อยเท่านั้น แต่ทันใดนั้นเขาก็มีความคิดผุดออกมาเล็กน้อย ความคิดเหล่านั้นกำลังไหลเข้ามาหาตัวเองเรื่อย ๆ บอกให้ตัวเองไปเข้าห้องน้ำเดี๋ยวนี้ ตอนแรกตัวเองยังไม่อยากไปมากถึงขนาดนี้ แต่ตอนนี้เขาถูกความคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้น ทำให้ตัวเองปวดฉี่มากขึ้นกว่าเดิม เขาไม่อาจทนได้อีกต่อไป เพราะตอนนี้เจ้าปัสสาวะเล็ก ๆ นั้นกำลังจะไหลออกมาแล้ว เหมือนมันจะทำให้ซ่งลุ่ยปล่อยออกมาเร็วนี้อย่างนั้น ดังนั้นซ่งลุ่ยจึงรีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำในห้องทำงานทันที ทันใดนั้นเขาก็คิดขึ้นได้ว่าห้องน้ำมันเสีย โอ้ย เมื่อเช้าช่างมารื้อโถส้วมของตัวเองไปแล้วนิหว่า !