ตอนที่ 24 ทำไมถึงไม่มีภาพวาดแบบอื่น?
ตอนที่ 24 ทำไมถึงไม่มีภาพวาดแบบอื่น?
"ขอบคุณมาก ข้ากำลังหิวอยู่พอดี" หลี่ฉางชิงไม่ได้สังเกตเห็นว่าตัวเองหิว
เมื่อเห็นอาหารเหล่านี้ เขาก็รู้สึกตัว ดูเหมือนว่าเขาจมดิ่งลงไปในโลกของตำรา จนลืมความหิวไปแล้วจริงๆ
"ท่านประมุขรู้ว่าท่านผู้อาวุโสชอบกินอาหารของร้านอาหารจิ่นหงโหลว จึงสั่งให้คนไปซื้อมา ท่านค่อยๆ กิน กินเสร็จแล้วก็วางไว้ข้างๆ เดี๋ยวข้าน้อยจะมารับกลับไปเอง" ผู้อาวุโสคนนั้นพูดอย่างสุภาพ
"งั้นรบกวนท่านแล้ว" หลี่ฉางชิงก็ไม่ได้เกรงใจ
เขาหาที่นั่งลง และลงมือกินทันที
สีหน้าของผู้อาวุโสคนนั้นดูจนใจ หอว่านซูเป็นสถานที่สำคัญของตระกูลเหยียน ปกติแล้วสาวกที่เข้ามาที่นี่ ไม่ต้องพูดถึงการกินข้าว แค่จามก็จะโดนไล่ออกไปแล้ว
เพราะที่นี่นอกจากตำราแล้ว ยังมีภาพวาดล้ำค่ามากมาย พวกเขาต้องดูแลอย่างดี
หลี่ฉางชิงเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ของตระกูลเหยียน ที่กินข้าวในหอว่านซู!
"นี่คืออาหารของร้านอาหารจิ่นหงโหลวงั้นเหรอ?" หลี่ฉางชิงมองอาหารสองสามอย่าง ดูเหมือนจะประณีตมาก
เขายังจำได้ว่าตอนที่เพิ่งทะลุมิติมา ระหว่างกินข้าวที่ร้านข้างทาง เขาเคยได้ยินเถ้าแก่ร้านข้างทางพูดว่า ก่อนหน้านี้เขากินข้าวที่ร้านอาหารจิ่นหงโหลวอร่อยมาก ดูเหมือนว่าร้านอาหารจิ่นหงโหลว น่าจะเป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดในเมืองฉางถิงสินะ?
เพียงแต่หลังจากที่เขาทะลุมิติมา เขาก็ไม่เคยไป วันนี้ต้องลองชิมดูซะหน่อย
หลี่ฉางชิงลองชิมอาหารแต่ละอย่าง เขาก็พบว่าร้านอาหารจิ่นหงโหลวก็แค่ธรรมดา
ชื่อเสียงโด่งดัง แต่รสชาติก็ไม่ได้ดีไปกว่าร้านข้างทางในชาติก่อน
แบบนี้ยังมีชื่อเสียงอีกเหรอเนี้ย?
แต่สำหรับเรื่องกิน หลี่ฉางชิงไม่ได้เรื่องมาก แค่กินได้ก็พอใจแล้ว
หลังจากกินเสร็จ เขาก็ให้ผู้อาวุโสคนนั้นมารับถาดอาหาร หลี่ฉางชิงก็อ่านตำราต่อ
ในขณะเดียวกัน หลี่ฉางชิงก็รู้สึกว่าตำราชั้นล่างไม่มีอะไรน่าสนใจ อ่านไปสักพักเขาก็ขึ้นไปชั้นสอง
บนชั้นสองมีภาพวาดแขวนอยู่
หลี่ฉางชิงเพิ่งเคยเห็นภาพวาดที่มีจิตวิญญาณแบบนี้เป็นครั้งแรก
"ดูเหมือนว่าภาพวาดเหล่านี้ น่าจะเป็นฝีมือของช่างวาดภาพในโลกนี้สินะ?" หลี่ฉางชิงมองไปรอบๆ มีภาพวาดหลายสิบภาพ
มีอาวุธ มีสัตว์…
"วาดได้ดีกว่าหลี่ฉางชิงคนเดิมมากจริงๆ" หลี่ฉางชิงพึมพำกับตัวเอง มองดูภาพวาดแต่ละภาพ
"หืม?" ทันใดนั้น หลี่ฉางชิงก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ภาพวาดที่นี่นอกจากอาวุธ ก็มีแต่สัตว์ ดาบ หอก กระบี่ ทวน เสือ นกอินทรี หมี เสือดาว ทำไมถึงไม่มีภาพวาดอื่นๆ?
"นี่ ท่านน่ะ…" หลี่ฉางชิงตะโกนลงไปข้างล่าง
"ท่านผู้อาวุโส มีอะไรจะสั่งหรือขอรับ?" ผู้อาวุโสคนนั้นรีบเดินเข้ามา เหยียนป๋อเทาสั่งไว้ว่า ต้องตอบสนองทุกความต้องการของหลี่ฉางชิง!
ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าละเลย
"ไม่มีอะไร ข้าแค่สงสัย ทำไมภาพวาดทั้งหมดถึงมีแต่อาวุธกับสัตว์ ไม่มีแบบอื่นเหรอ?" หลี่ฉางชิงถามด้วยความสงสัย
"หา?" ผู้อาวุโสคนนั้นได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ตกตะลึง ราวกับว่าสมองยังประมวลผลไม่ทัน ถามอย่างอดไม่ได้ว่า "แบบอื่น แบบอื่นเช่นอะไรขอรับ?"
"แบบอื่นเช่น ภาพวาดภูเขา แม่น้ำ หรือแม้แต่ภาพคน พวกเจ้าไม่มีเหรอ?" หลี่ฉางชิงถามอย่างไม่เข้าใจ
"ท่าน... ท่านผู้อาวุโส ท่าน… ท่าน อย่าล้อเล่นสิขอรับ" ผู้อาวุโสคนนั้นได้ยินคำพูดของหลี่ฉางชิง เขาก็พูดติดอ่าง
"วาดสัตว์วิเศษ วาดสวรรค์และปฐพี นั่นเป็นสิ่งที่ช่างวาดภาพที่แข็งแกร่งมากเท่านั้นถึงจะทำได้! ตระกูลเหยียนเล็กๆ ของพวกเรา จะมีสมบัติล้ำค่าแบบนั้นได้อย่างไร?"
"ส่วนภาพคน... คนคือจิตวิญญาณของสรรพสิ่ง แม้แต่จิตรกรศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่กล้าวาดภาพคนโดยประมาท ตระกูลเหยียนของพวกเราจะมีได้อย่างไรขอรับ?" ผู้อาวุโสคนนั้นพูดพลางยิ้มแห้งๆ
เขายังคิดว่าหลี่ฉางชิงกำลังล้อเล่นกับเขา
"แบบนี้เองเหรอ?" หลี่ฉางชิงได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ตกใจ
มีเพียงช่างวาดภาพที่แข็งแกร่งเท่านั้น ถึงจะวาดภาพแบบนั้นได้สินะ?
แม้แต่จิตรกรศักดิ์สิทธิ์ ถึงจะกล้าวาดภาพคนงั้นเหรอ?
งั้น... ไม่ถูกต้อง ตอนนั้นเขาก็แกะสลักพระพุทธรูปได้อย่างง่ายดาย พระพุทธรูปก็นับว่าเป็นบุคคล แล้วทำไมถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นล่ะ?
"หรือว่าพระพุทธรูปที่ข้าแกะสลักนั้น ไม่มีประโยชน์อะไร เป็นแค่รูปสลักธรรมดาๆ? หรือว่า งานแกะสลักกับภาพวาดเป็นสิ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้ว่าจะดูเหมือนกัน แต่จริงๆ แล้วไม่เหมือนกัน งานแกะสลักของข้าอาจจะไม่มีข้อจำกัดแบบนี้หรือเปล่า?"
หลี่ฉางชิงครุ่นคิด
เส้นทางของเขามันยากลำบากจริงๆ
ในโลกนี้ไม่มีงานแกะสลัก สิ่งที่เขาทำออกมา เหมือนกับอึของแมงป่อง ไม่มีใครเคยทำมาก่อน ไม่มีทางอ้างอิงได้เลย
ทำได้เพียงลองผิดลองถูกเท่านั้นสินะ?
หลี่ฉางชิงอ่านตำราต่อ
และครั้งนี้ เขาก็อ่านไปสามวันเต็มๆ
ในช่วงสามวันนี้ หลี่ฉางชิงก็พอจะเข้าใจแดนชางหยวนบ้างแล้ว
และในช่วงสามวันนี้ อาหารก็ถูกส่งมาที่หอว่านซูตลอด
ตระกูลเหยียนทั้งตระกูลต่างก็ระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
ปฏิเสธแขกที่มาเยี่ยม เพื่อไม่ให้รบกวนหลี่ฉางชิงอ่านตำรา
ตัวเหยียนหานโจวก้าวเข้าสู่ขอบเขตโฮ่วเทียน เขากลายเป็นอัจฉริยะของตระกูลเหยียน และได้รับทรัพยากรที่ดีที่สุด แม้แต่เหยียนป๋อเทายังรับเขาเป็นบุตรบุญธรรม
ส่วนเหยียนตงเซิง เมื่อได้ยินว่าตัวเองถูกเนรเทศไปที่แคว้นเป่ย เขาก็แทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
แต่คำสั่งก็คือคำสั่ง ในวันรุ่งขึ้น เหยียนตงเซิงก็ถูกไล่ออกจากตระกูลเหยียน
ต่อมา ตระกูลเหยียนก็มีแขกไม่ได้รับเชิญมาเยือน…
ซวีมู่ไห่มาแล้ว!
ตระกูลเหยียนไม่กล้าละเลยการมาเยือนของซวีมู่ไห่ คนอื่นๆ สามารถปฏิเสธได้ แต่กับตัวซวีมู่ไห่ พวกเขาปฏิเสธไม่ได้!
หนึ่งในสามสิบหกจ้าวขุนเขาของแดนโบราณเต๋าซาน แถมยังเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสียนเทียน ตระกูลเหยียนเล็กๆ ของพวกเขาไม่สามารถล่วงเกินได้จริงๆ
เพียงแต่ซวีมู่ไห่เพิ่งมาเมื่อไม่นานมานี้ ทำไมเขาถึงมาอีกแล้วล่ะ?
"คารวะ ท่านจ้าวขุนเขา" เหยียนป๋อเทาทักทายซวีมู่ไห่อย่างนอบน้อม
"ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า" ซวีมู่ไห่ถือกล้วยอยู่ในมือ นั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้ กินพลางพูดพลางว่า "ครั้งนี้ข้ามาเพื่อพบกับท่านผู้อาวุโสหลี่ฉางชิง ข้าไม่รู้จักเขา แต่พวกเจ้าเคยพบกันมาก่อน ข้าหวังว่าเจ้าจะช่วยแนะนำข้าให้รู้จักเขาหน่อย"
"เพื่อไม่ให้ข้าไปหาเขาโดยประมาท แล้วเกิดความเข้าใจผิด"
พูดจบ เขาก็โยนเปลือกกล้วยไปข้างๆ
"ท่านจ้าวขุนเขา ท่านอยากจะพบกับท่านผู้อาวุโสฉางชิง?" เหยียนป๋อเทาเลิกคิ้ว
"อืม… มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?" ซวีมู่ไห่หยิบแอปเปิ้ลขึ้นมากิน
"ไม่มีปัญหา แต่ต้องได้รับอนุญาตจากท่านผู้อาวุโสฉางชิงก่อนน่ะขอรับ" เหยียนป๋อเทายิ้มแล้วพูดว่า "บอกตามตรง ท่านผู้อาวุโสฉางชิงกำลังพักอยู่ที่ตระกูลเหยียนของพวกเราน่ะขอรับ"
"โอ้?" ซวีมู่ไห่ได้ยินคำพูดนี้ เขาก็เบิกตากว้าง หลี่ฉางชิงอยู่ที่ตระกูลเหยียนงั้นเหรอ?
"เมื่อสองสามวันก่อน ท่านผู้อาวุโสฉางชิงมาที่ตระกูลเหยียนของพวกเรา จากนั้นก็เข้าไปอ่านตำราที่หอว่านซู จนถึงวันนี้ก็สามวันแล้ว" เหยียนป๋อเทาพูดตามตรง
ซวีมู่ไห่มองเหยียนป๋อเทา เขารู้ดีว่าเหยียนป๋อเทาอยากจะผูกมิตรกับหลี่ฉางชิง
แต่ซวีมู่ไห่ก็ไม่ได้พูดอะไร
"เขาจะออกมาเมื่อไหร่?" ซวีมู่ไห่ถามอย่างครุ่นคิด
"ข้าไม่อาจทราบ" เหยียนป๋อเทาส่ายหน้า
"ท่านจ้าวขุนเขา ถ้าท่านรีบร้อน งั้นข้าให้คนไปถามท่านผู้อาวุโสหน่อยดีไหม?" เหยียนป๋อเทาถามอย่างลองเชิง
"งั้นเจ้าให้คนไปแจ้งเขาที" ซวีมู่ไห่ก็ไม่กล้ารอ ผู้แข็งแกร่งแบบนี้ อาจจะปิดด่านฝึกฝนทีละหลายปี เขารอไม่ไหวจริงๆ
"ได้ งั้นข้าให้คนไปแจ้ง" เหยียนป๋อเทาพยักหน้า
แต่เหยียนป๋อเทาหันหลังกลับ เขาเดินไปสองสามก้าว จู่ๆ ก็หยุดเท้า และเอ่ยว่า "จริงสิ ท่านจ้าวขุนเขา เมื่อเร็วๆ นี้เกิดเรื่องแปลกๆ ขึ้นที่เหมืองของตระกูลเหยียน ข้าน้อยตัดสินใจไม่ได้ ไม่รู้ว่าท่านผู้อาวุโสจะช่วยดูให้หน่อยได้ไหม? ขอให้ท่านช่วยตระกูลเหยียนของข้าน้อยสักหน่อย"