ตอนที่ 2 : เหตุผลของการปฏิเสธ
ช่วงเช้าเวลา 06.30 น. หยางเทียนลุกจากเตียงหลังจากที่จัดความเรียบร้อย เขาก็สวมเสื้อยืด กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบสีขาว
เพื่อสร้างความประทับใจตั้งแต่แรกเห็น หยางเทียนเขาจึงต้องหวีผมของเขา
พ่อแม่ของหยางเทียนกำลังจะไปทำงาน และอาหารเช้าก็พร้อมแล้ว หยางเทียนกินข้าวต้มของเขา ตามด้วยกินขนมปังหนึ่งชิ้นแล้วมุ่งหน้าออกไปที่ประตู
เมื่อเห็นลูกชายของพวกเขารีบวิ่งออกไปที่ประตูแบบนั้น หยางหลิน และ หวังฮงต่างก็ถอนหายใจ พวกเขารู้ว่าหยางเทียนกำลังจะไปไหน ซึ่งทำให้กลายเป็นข่าวดังไปทั่วเมือง!
เกือบทุกปีสถาบันการทหารต่างๆ จะเปิดรับสมัครเพื่อหาคนรุ่นใหม่ไฟแรงเข้าสู่สถาบันการศึกษาของตน
อย่างไรก็ตามไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนเตรียมทหารนี้ในฐานะนักเรียนและกลายเป็นนักรบในท้ายที่สุด
มันเป็นเรื่องของโชคที่ในแต่ละปีมีเพียงพันคนที่ได้รับเลือก จากผู้สมัครจำนวนหลายหมื่นคน ดังนั้นโอกาสที่จะไม่ถูกเลือกจึงมีสูงมาก
โรงเรียนเตรียมทหารเฉินเหว่ย เป็นหนึ่งในสามโรงเรียนเตรียมทหารที่สำคัญในเมืองเทียนซง และพวกเขาได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ด้วยเหตุนี้จึงสามารถลงโฆษณาทางโทรทัศน์ได้ ในขณะเดียวกันนั้น สถาบันเตรียมทหารอื่นๆ ก็รับทรานส์ฮิวแมนที่กินแกนอสูรเข้าไปบ้างแล้ว
หลังจากออกจากบ้าน หยางเทียนได้โทรหาโจวห่าวและตกลงที่จะไปเจอกันที่ตรงทางเข้าของโรงเรียนเตรียมทหารเฉินเหว่ย จากนั้นพวกเขาก็ไปสัมภาษณ์ด้วยกัน
เทียนซงเป็นเมืองที่กว้างใหญ่มาก ครอบคลุมพื้นที่กว่า 500 ตารางกิโลเมตร หลังจากที่หยางเทียนวางสาย เขาก็ขึ้นรถบัส และเดินทางไปโรงเรียนเตรียมทหารเฉินเหว่ย
ครึ่งชั่วโมงต่อมา หยางเทียนก็มาถึงทางเข้าหลักของโรงเรียนเตรียมทหารเฉินเหว่ย
ทันทีที่ลงจากรถบัส โจวห่าวก็เห็นเขาในทันที
“หยางเทียน ฉันมาถึงก่อนนายสิบนาที ฉันลงทะเบียนให้นายแล้ว และก็ได้หมายเลขมาแล้ว” โจวห่าวส่งหมายเลขดังกล่าวให้หยางเทียนในขณะที่เขาพูด
‘’ขอบใจนะ’’ หยางเทียนกล่าวขอบคุณ และรับหมายเลขไปด้วยความเต็มใจ
“เราเป็นพี่น้องกันนิไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก” โจวห่าวต่อยเข้าไปที่หยางเทียนเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “เมื่อคืนนี้นายกับฉินเฟยได้ทำอะไรหรือเปล่า? พวกเราทุกคนก็เรียนจบกันแล้ว โอกาสข้างหน้าอาจมีไม่มากนัก”
หยางเทียนรู้ดีว่าโจวห่าวกำลังบอกเป็นนัยว่าอะไร เขายิ้มและตอบกลับไปว่า “ความก้าวหน้าของพวกเราไม่เร็วเท่ากับนายและหลีหยางหรอก เราแค่ไปเดินเล่นกันเมื่อคืน จากนั้นคนขับรถของเธอก็มารับกลับไป”
โจวห่าวส่ายหัวไปมา และมองไปที่หยางเทียน เขาคิดว่าหยางเทียนนั้นไร้เดียงสาเกินไป
ในขณะนั้นทั้งสองก็เข้าแถวรอเพื่อเข้ารับการทดสอบ
ที่นั่นมีผู้ปรารถนาที่จะเข้าร่วมการทดสอบมากมาย หยางเทียนรู้ได้ในทันทีว่าไม่ใช่เพียงเขาคนเดียวที่มีความฝันที่อยากจะเป็นนักรบ
ในวันนั้นมีผู้เข้าร่วมการทดสอบกว่าพันคน และในที่สุดหยางเทียน และโจวห่าวก็ได้เข้าทดสอบในเวลาเที่ยงพอดี
กระบวนการทดสอบนั้นง่ายมาก ขั้นแรกคือการตรวจเลือด จากนั้นสแกนร่างกายเพื่อหาอาการบาดเจ็บหรือโรค และสุดท้ายคือการทดสอบความแข็งแกร่ง ความทนทานของร่างกาย
ตลอดการทดสอบ ร่างกายของหยางเทียน และโจว ห่าวไม่พบความผิดปกติใดๆ
หลังจากนั้นเป็นการทดสอบความแข็งแกร่ง และความทนทานของร่างกาย
หยางเทียนยืนอยู่หน้าเครื่องทดสอบ และทุ่มเทอย่างกำลังอย่างเต็มที่เพื่อโจมตีเครื่องทดสอบ ขณะที่เขาทำเช่นนั้นมีเสียงดังกึกก้อง และมีตัวเลขปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วเหนือเครื่องทดสอบ
230 กิโลกรัม!
เมื่อดูคะแนนสอบแล้ว โจวห่าวซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เขา ก็ยิ้มและตบไปที่ไหล่ของหยาง เทียนก่อนจะพูดว่า “หยางเทียน ฉันไม่คิดว่านายจะแข็งแกร่งเท่าฉัน แต่จะยังไงก็ตามไม่ใช่เล่นๆเลยนะนายน่ะ!”
หยางเทียนพยักหน้า “อย่าดูถูกกันแบบนั้นซิ เห็นแบบนี้ฉันก็ฝึกอยู่ทุกวันนะ”
ค่าพละกำลังของโจวห่าวคือ 233 กิโลกรัม
เมื่อเทียบกับบันทึกการทดลองก่อนหน้านี้ ทั้งสองมีความแข็งแกร่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย ผลคะแนนที่บันทึกก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่าผู้เข้ารับการทดสอบทำคะแนนได้เฉลี่ยที่ 195 กิโลกรัม
ตัวบันทึกผลจากเครื่องทดสอบบันทึกผลลัพธ์ของหยางเทียน และโจวห่าวอย่างรวดเร็ว เมื่อพิจารณาจากอายุของพวกเขาแล้ว ช่างน่าประทับใจมากที่พวกเขาสามารถบรรลุผลดังกล่าวได้
ถัดไปคือการทดสอบความทนทานของร่างกาย
การทดสอบนี้ง่ายมาก พวกเขาต้องสะพายเป้หนักๆ และวิ่งไปตามเส้นทางภายในโรงเรียนเตรียมทหาร พวกเขาจำเป็นต้องวิ่งด้วยความเร็ว 100 เมตรต่อนาที ยิ่งวิ่งได้นานเท่าไรก็ยิ่งมีความอดทนมากเท่านั้น
หากอยู่ได้หนึ่งชั่วโมงพวกเขาจะผ่านไปด้วยคะแนน 60 คะแนน ทุก ๆ สิบนาทีหลังจากนั้น จะมีการเพิ่มอีก 5 คะแนน ไปเรื่อยๆจนกว่าจะวิ่งต่อไปไม่ไหว
เมื่อหยางเทียน และ โจวห่าวมาถึงยังสถานที่ทดสอบ พวกเขาได้เห็นผู้คนมากมาย บ้างก็เพิ่งจะเริ่มทดสอบซึ่งดูแล้วไม่มีท่าทางที่จะกังวลใดๆ ในขณะที่คนอื่นที่เริ่มวิ่งมานานแล้วมีอาหารหอบอย่างมาก แต่ถึงกระนั้นแล้วทุกคนก็ยังคนฝืนที่จะวิ่งต่อไปถึงแม้ว่าสีหน้าจะดูหมดแรงแล้วก็ตาม
“เริ่มการทดสอบได้!”
หลังจากที่สะพายเป้หนักๆขึ้นบนหลัง หยางเทียน และโจวห่าวก็เริ่มออกวิ่ง
ก่อนถึงเวลาหนึ่งชั่วโมง หยางเทียนรู้สึกถึงขาของเขาที่เริ่มหนักอึ้งและเริ่มอืดลงในทุกๆที กระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่ที่หลังนั้นเริ่มให้ความรู้สึกหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่มีทาง! ฉันจะต้องได้คะแนนมากกว่านี้! และกลายเป็นนักรบให้ได้!” หยางเทียนพูดกับตัวเองพลันกัดฟันอดทนก้าวขาต่อไป
และในที่สุดเวลาก็ผ่านไป 1 ชั่วโมง ซึ่งทำให้เขานั้นได้ 60 คะแนนไปในที่สุด
น้ำหนักของเป้สะพายหลังได้รับการปรับปรุงอย่างพิถีพิถันเพื่อให้คนส่วนใหญ่สามารถทนต่อมันได้
ประมาณหนึ่งชั่วโมง นั่นหมายความว่าผู้สมัครส่วนใหญ่จะถูกคัดออกในช่วงนั้น
60 คะแนนงั้นเหรอต่ำเกินไป
'ฉันต้องเป็นนักรบให้ได้!'
ด้วยคำพูดนี้ในหัวของเขา หยางเทียน’กัดฟันและอดทน
1 ชั่วโมง 10 นาที , 65 คะแนน
1 ชั่วโมง 20 นาที , 70 คะแนน
2 ชั่วโมง 10 นาที , 95 คะแนน!
หยางเทียนไม่สามารถเดินต่อได้มากกว่านี้แล้ว ขณะนั้นเองตัวเขาก็ล้มลงกับพื้นเสียงดังกึกก้อง
โจวห่าวเสร็จสิ้นการทดสอบก่อนหยางเทียน เพียง 10 นาที และเขาก็อดที่จะตกใจไม่ได้และรีบวิ่งไปหาหยางเทียนในทันที ในขณะเดียวกันนั้นหน่วยปฐมพยาบาลก็มาถึงหยางเทียน และเริ่มปฐมพยาบาลในทันที
ในไม่กี่นาทีถัดมาหยางเทียนก็เริ่มรู้สึกตัวในที่สุด
“เฮะ เฮะ..เฮะ!” หยางเทียนหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นใบหน้าที่เป็นกังวลของโจว ห่าว
หลังจากเสร็จสิ้นการทดสอบหยางเทียน และโจวห่าวก็มารอผลลัพท์กันอย่างใจจดใจจ่อ
เวลา 19.00 ในที่สุดผลลัพท์ก็ถูกประกาศ
“เป็นไปได้ยังไง! คะแนนของฉันสูงกว่าของนาย, แล้วทำไมนายถึงได้รับเลือก, แต่ของฉันไม่ถูกเลือก? ทำไมกัน? มันเกิดอะไรขึ้น…”
เมื่อทั้งสองได้รู้ผลลัพธ์แล้ว หยางเทียนก็ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาได้เห็น
ซึ่งก็เพราะว่า โจวห่าวได้รับจดหมายจากโรงเรียนเตรียมทหารเฉินเหว่ยว่าผ่านการทดสอบ
ในขณะที่ หยางเทียนนั้นได้รับจดหมายปฏิเสธ โดยมีเนื้อหาว่า
[ขออภัย คุณไม่เหมาะที่จะเป็นนักรบ]
เพียงแค่ประโยคสั้นๆ ก็ทำให้ความฝันของหยางเทียนพังทลายไปในทันที
เพื่อที่จะเข้าโรงเรียนเตรียมทหารเฉินเหว่ยหลังจากที่เขาเรียนจบมัธยมปลาย หยางเทียนได้ตื่นขึ้นทุกวันก่อนรุ่งสางเพื่อฝึกร่างกายของเขา สามปีผ่านไปเหมือนหนึ่งวัน และถึงแม้สภาพอากาศเลวร้ายก็ไม่หยุดยั้งความตั้งใจของเขาได้
เขาเข้ารับการทดสอบเหล่านี้ด้วยความมั่นใจเต็มร้อย ทั้งที่เป็นอย่างนั้น ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นอยู่นอกเหนือความคาดหมายและความเข้าใจของ หยางเทียน
“หยางเทียน อย่าตื่นเต้นเกินไป ครั้งนี้ถึงจะทำไม่ได้ แต่มันก็มีครั้งหน้าเสมอ! ในอนาคตเมื่อฉันได้เป็นนักรบและได้รับแกนอสูร ฉันจะช่วยให้นายก้าวขึ้นเป็นทรานส์ฮิวแมน และนายก็จะได้เข้าร่วม โรงเรียนเตรียมทหารที่ อื่น ๆได้ …”
โจวห่าวเข้าใจว่าหยางเทียนรู้สึกอย่างไรและพยายามปลอบใจเขา
ครู่ต่อมา หยางเทียนก็สงบลงในที่สุด เขาก็พูดกับ โจวห่าว ว่า “ไปกันเถอะ! ฉันจะกลับมาปีหน้า! ในตอนนี้ฉันอาจจะยังเด็กอยู่ แต่ฉันไม่เชื่อว่าฉันจะทำมันไม่ได้!”
ทั้งสองเพิ่งออกจากประตูหลักของโรงเรียนเตรียมทหารเฉินเหว่ย และได้สังเหตุเห็นชายหนุ่มคนหนึ่ง
เขายิ้มมาที่หยางเทียน ในขณะที่เดินมาหาเขา
“หยางเทียน ที่นายไม่ได้รับเลือก! นายรู้ไหมว่าทำไม?” ชายหนุ่มหยุดอยู่ตรงหน้าหยางเทียนและมองเขาขณะที่เขาพูดด้วยท่าที่ที่ไม่เป็นมิตร
หยางเทียน และโจวห่าวรู้ได้ในทันทีว่าคนคนนี้ คือซุนยู ซึ่งเป็นคนที่มอบดอกไม้ให้กับฉินเฟยที่หน้าโรงเรียนเมื่อวานนี้
“แกเป็นคนทำอย่างงั้นเหรอ?” หยางเทียน ได้พูดขึ้นพลันกัดฟันแน่น
ซุนยูหัวเราะ "แน่นอน! ผลคะแนนของแกไม่ได้แย่จริงๆ! ในการทดสอบเหล่านี้ที่มีผู้เข้าร่วมมากกว่าหมื่นคน ผลลัพธ์ของแกอาจพูดได้ว่าอยู่ในร้อยอันดับแรก แต่ว่าก็น่าเสียดาย! ปลาตีนอย่างนายหวังกินเนื้อหงส์ ความใฝ่ฝันของแกที่จะได้อยู่กับฉินเฟยนะเหรอ ขอบอกเลยว่าแกนะเป็นเพียงแค่ตั๊กแตนตัวต่ำในดิน แกจะไม่มีวันกลายเป็นนกอินทรีบนท้องฟ้า!”
“แม่งเอ้ย!” ซุนยูเพิ่งจะด่าเสร็จไม่ทันไร หยางเทียนก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนใส่และชกหน้าเข้าไปที่หน้าซุนยู
อย่างไรก็ตาม หมัดของหยางเทียนไปได้ไม่ถึงครึ่งทาง ซุนยูก็ใช้มือรับและเบี่ยง ผลักเขาออกไปอย่างง่ายดาย
แม้ว่าแรงผลักนี้จะดูไม่มากนัก แต่หยางเทียนก็ล้มลงกับพื้น
“ฝีมือแกห่างไกลเกินกว่าที่จะสู้กับนักรบระดับหนึ่งอย่างฉัน” ซุนยูมองลงไปที่หยางเทียนที่ยังคงอยู่บนพื้นขณะที่เขาพูดอย่างเยาะเย้ย “ถ้าไม่ใช่เพราะว่าฉันอยากเห็นแกอับอาย และถูกปฏิเสธโดยตระกูลฉิน ฉันคงฆ่าแกไปนานแล้ว ที่ผ่านมาหัดรู้จักที่ต่ำที่สูงซะบ้าง เด็กน้อย มีอะไรอีกมากมายที่แกยังไม่เข้าใจ!”
เมื่อซุนยูพูดจบ เขาก็ดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และเช็ดมือก่อนที่จะขว้างไปที่หยางเทียน จากนั้นเขาก็หันหลังและเดินจากไป
หยางเทียนลุกขึ้น และกัดฟันแน่นขณะที่เขามองดูซุนยูจากไป เขาสาบานกับตัวเองอย่างเงียบๆ ว่าสักวันหนึ่งเขาจะแก้แค้นคนคนนี้และตอบแทนเขาสำหรับความอัปยศนี้อย่างสาสม