ตอนที่ 11 ฉงอวิ๋นเหนียงกับคนตาบอด
ตอนที่ 11 ฉงอวิ๋นเหนียงกับคนตาบอด
"เป็นไปไม่ได้"
คนตาบอดพูดอย่างใจเย็น "ป้ายหยกฉีซานอยู่ในแดนโบราณเต๋าซาน ตึกสิบหยินอยากจะเข้าไปในแดนโบราณเต๋าซานอย่างลับๆ แล้วเอาป้ายหยกฉีซานมา ย่อมเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!"
"คนของพวกเราคอยจับตาดูแดนโบราณเต๋าซานอยู่ตลอด ไม่พบความเคลื่อนไหวใดๆ"
"งั้นทำไมถึงถูกคนกลั่นได้ล่ะ?" หลายคนแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
"บางทีอาจจะถูกคนในเผ่าพันธุ์มนุษย์กลั่นก็ได้" คนตาบอดพูดอย่างช้าๆ "เรื่องแบบนี้ก็เป็นไปได้ การกลั่นป้ายหยกฉีซานไม่ได้มีข้อกำหนดอะไรมาก แค่ผสานเข้ากับเลือดก็พอ บางที… อาจจะบังเอิญถูกคนในเผ่าพันธุ์มนุษย์กลั่นก็เป็นไปได้อยู่"
"นี่..." ทุกคนมองหน้ากัน พวกเขามาถึงแคว้นหมิงหงแห่งนี้ด้วยความยากลำบาก ฝ่าฟันอันตรายมามากมาย มันก็เพื่อป้ายหยกฉีซาน แต่สุดท้ายป้ายหยกฉีซานกลับถูกคนกลั่นไปแล้วเนี้ยนะ?
ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีนกกระจอกตัวเล็กๆ บินเข้ามาจากข้างนอก คนตาบอดยื่นมือออกไป นกกระจอกตัวนั้นก็บินมาเกาะบนฝ่ามือของเขาอย่างว่าง่าย
นกกระจอกร้องจิ๊บๆ สองสามครั้ง คนตาบอดพยักหน้า ยกฝ่ามือขึ้น นกกระจอกตัวนั้นก็บินจากไป
"ท่านผู้อาวุโส เป็นอย่างไรบ้าง?" มีคนรีบถาม
"ศิษย์ของแดนโบราณเต๋าซาน ลู่เฉียวเฉียว" ในเวลานี้ คนตาบอดลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ "ป้ายหยกฉีซานถูกนางกลั่นไปแล้ว"
"แล้วจะทำอย่างไรดี!?" ทุกคนที่อยู่ด้านล่างต่างก็แสดงสีหน้าลำบากใจ
"ในเมื่อป้ายหยกฉีซานถูกนางกลั่นไปแล้ว งั้นก็พาลู่เฉียวเฉียวกลับมาที่ตำหนักหมิงซิ่ง(ตำหนักชะตาดารา) ของพวกเราเงียบๆ" คนตาบอดพูดกับทุกคน "แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่เป็นไปตามที่พวกเราคาดไว้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะแก้ไขไม่ได้ ตราบใดที่ป้ายหยกฉีซานอยู่ในมือของตำหนักหมิงซิ่งก็พอแล้ว"
"จริงด้วย" ดวงตาของทุกคนเป็นประกาย ในเมื่อป้ายหยกฉีซานถูกนางกลั่นไปแล้ว ก็พาลู่เฉียวเฉียวกลับไปก็เหมือนกัน
"นอกจากพวกเราแล้ว กุ่ยซิ่วคนอื่นๆ คงจะรู้แล้วว่าป้ายหยกฉีซานถูกกลั่นไปแล้ว บางทีตอนนี้ พวกเขาก็คงจะคิดเหมือนกับพวกเรา" กุ่ยซิ่วที่เงียบขรึมคนหนึ่งพูด "หากอยากจะพาลู่เฉียวเฉียวไป คงจะยากอยู่บ้าง"
"โดยเฉพาะตึกสิบหยิน" กุ่ยซิ่วคนหนึ่งพูดด้วยแววตาเย็นชา "พวกมันทำเรื่องเลวทรามมาโดยตลอด บางทีอาจจะลงมือเร็วๆ นี้ สายลับรายงานมาว่า คนของตึกสิบหยินที่มานั้นคือฉงอวิ๋นเหนียง บางทีตอนนี้นางอาจจะเตรียมตัวแย่งคนแล้วก็ได้"
"ฉงอวิ๋นเหนียงเป็นตัวปัญหา แต่เจ้าคิดว่านางจะกล้าแย่งคนจากแดนโบราณเต๋าซานงั้นเหรอ? เจ้าคิดว่านางเก่งเกินไปแล้ว" คนตาบอดหัวเราะเยาะ "แม้ว่าหลัวเซี่ยวชวนจะไม่อยู่ที่แดนโบราณเต๋าซาน แต่เสวี่ยเฉียนไป๋ยังอยู่ ถ้าฉงอวิ๋นเหนียงอยากจะแย่งคนจากแดนโบราณเต๋าซานจริงๆละก็… นอกจากนางจะเบื่อหน่ายชีวิตแล้ว นางย่อมไม่กล้าหรอก!"
เมื่อได้ยินชื่อของเสวี่ยเฉียนไป๋ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็หายใจหนักขึ้น
ปรมาจารย์กระบี่เฉียนเสวี่ย
ในอดีต กระบี่เฉียนเสวี่ยเล่มหนึ่ง เคยฆ่าลึกเข้าไปในดินแดนรกร้าง ฆ่าจนเทพปีศาจล่าถอย เผ่าพันธุ์ต่างๆ ไม่กล้าออกมา
ดังนั้นเมื่อพูดถึงชื่อนี้ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็รู้สึกหวาดกลัว
ให้พวกเขาเข้าไปในแดนโบราณเต๋าซานเพื่อแย่งคน พวกเขาไม่กล้าอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น แดนโบราณเต๋าซานมีรากฐานที่มั่นคง หากบุกเข้าไปโดยประมาท จะมีแต่ตายกับตาย!
ไม่ต้องพูดถึงเสวี่ยเฉียนไป๋ แค่จ้าวขุนเขาทั้งสามสิบหกคน หยิบมาสักคนก็เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าแล้ว
"รอโอกาสเถอะ" ทุกคนทำได้เพียงยอมแพ้ คนตาบอดคนนั้นก็นั่งลงต่อ บรรยากาศรอบตัวสงบลง
แคว้นหมิงหง เมืองปู้ฮั่ว
ร้านสุราที่ใหญ่ที่สุดในเมืองก็คือศาลาเซียนเหริน สุราเถาเซียนจุ้ย(เซียนท้อเมามาย) ของศาลาเซียนหรินนั้น มีชื่อเสียงมากที่สุด
ในเวลานี้ ภายในร้านสุรา ทุกคนต่างก็มองไปที่สตรีคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่างด้วยความประหลาดใจ สตรีผู้นั้นอายุสามสิบกว่าปีแล้ว แต่นางมีเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง
แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ทุกคนจ้องมองนาง แต่เป็นไหสุราที่วางอยู่ข้างๆ เท้านางต่างหาก ที่ทำให้ทุกคนตกตะลึง
นับตั้งแต่นางเข้ามาในร้าน นางก็ดื่มไปแล้วหกสิบเจ็ดสิบไห และตอนนี้นางก็ยังคงดื่มอยู่
สุราจำนวนมากขนาดนี้ ทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงจริงๆ
"สุราดี" สตรีคนนั้นพูดพลางดื่ม แววตาเป็นประกาย ดวงตาที่งดงามราวกับสายน้ำก็มีแววมึนเมาเล็กน้อย
"ทำไมดินแดนรกร้าง ถึงไม่มีสุราที่อร่อยเช่นนี้กันนะ?" สตรีคนนั้นพึมพำ
ในเวลานี้เอง จู่ๆ ก็มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นนอกหน้าต่าง
"ฉงอวิ๋นเหนียง นี่คือข่าวที่เพิ่งส่งมา" คนๆ นั้นยื่นจดหมายให้สตรีคนนั้นด้วยความเคารพ
ฉงอวิ๋นเหนียงรับมาอย่างไม่ใส่ใจ เปิดออกดู จากนั้นก็ยิ้มกว้าง พลังภายในฝ่ามือทำลายจดหมายฉบับนั้นจนแหลกสลาย
"ที่แท้ไอ้คนตาบอดเจียงหู่นั่นก็มาด้วย" ฉงอวิ๋นเหนียงพูดพลางเรอ "ลู่เฉียวเฉียวผู้นั้น นางกลั่นป้ายหยกฉีซานไปแล้วสินะ? ช่างน่าสนใจจริงๆ"
"ฉงอวิ๋นเหนียง จะจับลู่เฉียวเฉียวคนนั้นมาไหม?" คนๆ นั้นถามด้วยเสียงเบา
"อึก" ฉงอวิ๋นเหนียงเหลือบมองเขา ราวกับมองคนโง่ สุดท้ายก็ตบไหล่เขาแล้วพูดว่า "หนุ่มน้อย ความกล้าหาญน่าชื่นชม ข้าเชื่อในตัวเจ้า ไปเถอะ"
คนๆ นั้นผงะ ถามด้วยความประหลาดใจ "ข้าไปคนเดียว?"
"อืม เจ้าไปก่อน ตอนนั้นเจ้าอาจจะเจอกับชายชุดขาวถือกระบี่อยู่ในมือ ตอนนั้นเจ้าก็พยายามฆ่ามันให้ได้ พอกลับไปที่ตึกสิบหยิน ข้าจะบอกนายท่านให้แต่งตั้งเจ้าเป็นจ้าวตำหนักคนที่เก้าของตึกสิบหยิน" ฉงอวิ๋นเหนียงพูดพลางหัวเราะ
"นี่..." คนๆ นั้นดูเหมือนจะสนใจมาก แต่เขาก็ไม่โง่ จึงยิ้มแห้งๆ แล้วพูดว่า "ฉงอวิ๋นเหนียงล้อเล่นแล้ว ข้าไม่ไปหรอก"
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าชายชุดขาวถือกระบี่ที่ฉงอวิ๋นเหนียงพูดถึงนั้นคือใคร แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนที่เขาจะยุ่งด้วยได้
"ยังไม่ไสหัวไปอีก รบกวนข้าดื่มสุรา!" ฉงอวิ๋นเหนียงพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
"ไปแล้ว ข้าจะรีบไสหัวไปแล้ว" พูดจบ เขาก็รีบจากไป มิฉะนั้นหากทำให้ฉงอวิ๋นเหนียงโกรธ ผลลัพธ์คงจะแย่มาก
แม้ว่าจะรู้ว่าป้ายหยกฉีซานอยู่ในแดนโบราณเต๋าซาน แต่กุ่ยซิ่วก็ไม่ได้ลงมือใดๆ
พวกเขาทำได้เพียงรอโอกาส
ราวกับนักล่าที่อดทน รอเหยื่อติดกับ
พวกเขาไม่กังวลว่าแดนโบราณเต๋าซานจะรู้เรื่องนี้ เพราะป้ายหยกฉีซานมีเพียงคนในเผ่าพันธุ์ภูตผีเท่านั้นที่สัมผัสได้ คนในเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่มีทางสัมผัสได้โดยเด็ดขาด
ในพริบตา เวลาเจ็ดวันก็ผ่านไป
เรื่องราวยังคงสงบ
แม้แต่ซวีมู่ไห่ที่ค้นพบร่องรอยของเผ่าพันธุ์ภูผีเป็นคนแรก เขาก็ยังรู้สึกประหลาดใจ ร่องรอยของกุ่ยซิ่วปรากฏขึ้นที่แคว้นหมิงหงจริงๆ แต่ทำไมผ่านมาหลายวันแล้ว ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ?
มันไม่สมเหตุสมผลเลย!
นับตั้งแต่ที่เหยียนตงเฉินปรากฏตัวขึ้นที่แคว้นหมิงหง ซวีมู่ไห่ก็เดาว่า คนของตึกสิบหยินต้องมาถึงแคว้นหมิงหงแล้ว เขาจึงคอยจับตาดูคนของตึกสิบหยินอยู่ตลอด
แต่ผ่านมาหลายวันแล้ว คนของตึกสิบหยินกลับแทบจะไม่ปรากฏตัวเลย
กุ่ยซิ่วพวกนี้มาที่แคว้นหมิงหง แต่ไม่ได้มาสร้างความวุ่นวายงั้นเหรอ?
หรือว่ามาเที่ยวแคว้นหมิงหงเฉยๆ?
เรื่องนี้ทำให้ซวีมู่ไห่คิดไม่ตกจริงๆ
และในวันนี้ หลี่เหิงเซิงก็ออกจากการบ่มเพาะ
"คุณสมบัติของข้ามันธรรมดาจริงๆ" หลี่เหิงเซิงพึมพำกับตัวเอง ก่อนหน้านี้เขาใช้เงินที่หลี่ฉางชิงส่งมาให้ ซื้อทรัพยากรสำหรับฝึกฝนที่ดีมา แต่หลังจากบ่มเพาะเจ็ดวัน การบ่มเพาะของเขาก็แค่ก้าวหน้าจากขอบเขตทุยฟ่านขั้นสามไปขั้นสี่เท่านั้น
ก่อนที่จะเข้าสู่การบ่มเพาะ เขาก็อยู่ที่จุดสูงสุดของขอบเขตทุยฟ่านขั้นสามแล้ว
เขารู้ดีว่าคุณสมบัติของเขาธรรมดา เหมือนกับบิดาของเขา มีความสามารถอยู่บ้าง แต่น่าเสียดายที่ความสามารถนั้นยังไม่เพียงพอ
การที่เขาสามารถเข้าสู่วิถีแห่งเต๋า และบ่มเพาะได้ นั่นก็ถือว่าไม่เลวมากแล้ว
ส่วนความสำเร็จที่สูงส่ง หลี่เหิงเซิงไม่ได้คาดหวังแม้แต่น้อยจริงๆ
แต่ตอนนี้เขามีเงินแล้ว มีทรัพยากรสำหรับฝึกฝน หลี่เหิงเซิงเชื่อว่าอนาคตของเขาต้องสดใสอย่างแน่นอน
หากมีทรัพยากรสำหรับฝึกฝนเช่นนี้ตลอด อนาคตเขาอาจจะมีโอกาสก้าวเข้าสู่จุดสูงสุดของขอบเขตโฮ่วเทียน
ส่วนเหตุผลที่วันนี้ออกจากการบ่มเพาะ นั่นเพราะวันนี้เป็นวันที่ศิษย์รับใช้บนยอดเขาว่านไจ่ ต้องลงเขาไปซื้อทรัพยากร
เรื่องนี้ปฏิเสธไม่ได้…
"ศิษย์พี่หลี่ ท่านออกจากการบ่มเพาะแล้ว" ในเวลานี้เอง เสียงหวานๆ ที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น