บทที่ 67 มากมาย (6)
[แปลโดยแฟนเพจ BamแปลNiyay มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ]
[ลงแบบราคาถูกแค่ใน my-novel แต่จะลงช้ากว่าThai-novel 100 ตอน]
[หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนจะไม่มีการกลับมาแก้ให้นะครับ]
บทที่ 67 มากมาย (6)
คิมแดยังหรี่ตาลง แม้จะมีรูปร่างที่ใหญ่โตเหมือนหมี แต่สีหน้าของเขากลับดูน่ารักอย่างไม่น่าเชื่อ คังวูจินเกือบจะเอานิ้วชี้และนิ้วกลางแหย่ตาของคิมแดยังไปตามสัญชาตญาณแล้ว เขาแทบจะหยุดตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ อาการปวดหัวของวูจินแย่ลง เขาจ้องไปที่คิมแดยังอย่างเคร่งเครียด
'หยุดเดี๋ยวนี้เลย ไอ้เวรนี้ อยู่เฉย ๆ สักครั้งเถอะนะ’
ทว่าคิมแดยังไม่มีรู้สิ่งที่เพื่อนตัวเองคิด เขาจึงเข้าใจสายตาที่สื่อมาของวูจินผิดไปไกล
‘แหม แหม พวก แกคงรู้สึกขอบคุณฉันใช่ไหม? ที่ฉันรู้เพราะฉันสายตาดีไงล่ะ ฮ่า แกนี้ก็เป็นคนขบขันเอาเรื่องเลยแฮะ’
ทั้งสองมีความเข้าใจที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเกี่ยวกับสถานการณ์ในยามนี้ จากนั้นเอง คังวูจินก็เหลือบมองไปที่ฮงฮเยยอนและชเวชองกุนที่อยู่ด้านหลังศีรษะของแดยัง ทั้งคู่มองกลับไปยังวูจินด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย
‘พวกเขาเชื่อเขางั้นเหรอ?’
ทั้งคู่ดูเหมือนจะเชื่อในสิ่งที่คิมแดยังพูด ในขณะที่วูจินก็ไม่แน่ใจว่าทำไมคิมแดยังถึงเริ่มต้นความยุ่งเหยิงทั้งหมดนี้ เขาได้แต่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายเกินไปนัก
‘เพราะไอ้เวรนี้เลย คิมแดยัง ทุกอย่างมันเลยซับซ้อนขึ้นกว่าเดิมอีก แต่ยังดีที่ทุกอย่างยังอยู่ภายใต้การควบคุม’
แต่ตอนนั้นเอง
“คุณคิมแดยัง?”
ชเวชองกุนที่ผูกผมหน้าม้าได้เรียกแดยังจากด้านหลัง
“ที่คุณบอกว่าร่าเริงขึ้น…หมายความว่าวูจินแต่ก่อน…”
"ใช่ครับ คุณ CEO"
คิมแดยังหันไปพูดถึงอดีตของวูจินโดยไม่คิดอะไรเลย
“วูจินเป็นคนที่ดูเคร่งเครียดมาก เขาเย็นชาและนิ่งกว่าตอนนี้พอควร เป็นคนที่ดูแข็งกร้าว มีเสน่ห์ แต่ก็ดูหยิ่งยโสและชอบมองโลกในแง่ร้ายด้วย”
"พอได้แล้ว"
คังวูจินขัดจังหวะคิมแดยังอย่างรวดเร็ว แล้วกระซิบข้างหูของเขา
“พอได้แล้ว หุบปากซะ”
จากนั้น วูจินก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นพร้อมถามชเวชองกุน
“คุณCEO ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ครับ?”
"โอ้? นายคงไม่ได้รับการติดต่อจากเพื่อนของนายใช่ไหม? เรากำลังจ้างพนักงานใหม่ และแดยังก็ส่งใบสมัครของเขามาพอดี ในเมื่อเขาบอกว่าเขาเป็นเพื่อนกับนาย ฉันก็เลยลองคุยกับเขาดู”
"...จ้างพนักงานใหม่?"
เรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย? สายตาของวูจินกลับมามองคิมแดยังที่ก็สบสายตามองเขาเช่นกัน ‘ฉันควรฆ่ามันเลยดีไหม?’ วูจินแทบจะกลั้นอารมณ์ที่ปะทุออกมาไว้ไม่อยู่ เขาได้แต่พูดกับชเวชองกุนอย่างเงียบๆ
“คุณ CEO ผมขอเวลาสักครู่นะครับ”
"หืม?"
“พอดีผมมีเรื่องต้องคุยกับเพื่อนเป็นการส่วนตัว”
“อ่า ได้ เอาเลย”
หลังจากนั้นเอง
“เดี๋ยวก่อนนะคะ”
ฮงเฮยอนถอดหมวกออกแล้วพูดขึ้น
“คุณบอกว่าคุณชื่อคิมแดยังใช่ไหม?”
“…ผมรู้สึกซาบซึ้งใจมากครับ ไม่สิ ใช่ครับ นั่นคือชื่อของผมเอง ขอบคุณครับ”
"เอ่อ? คือทำไมคุณถึงพาคุณวูจินมาออดิชั่นในวันนั้นเหรอคะ? ด้วยบุคลิกของเขาแล้ว เขาคงไม่ได้เป็นคนเสนอก่อนแน่”
เธอพูดถูกเป๊ะเลย อันที่จริงแล้ว วูจินได้ไปที่สถานที่ออดิชั่น ‘สุดยอดนักแสดง’ ตามคำขอของคิมแดยัง โดยแลกกับจะได้กินข้าวหน้าท้องหมูและจะได้เจอฮงฮเยยอน ทว่าคิมแดยังที่จริงจังนั้นเหลือบมองไปที่วูจินและพูดว่า
“ถึงเขาจะเก่งในการออกแบบ แต่ในสายตาของผม การที่เขาแสดงเพราะแก้เบื่อมันเป็นอะไรที่เสียเปล่ามากครับ”
วูจินเริ่มรู้สึกว่าเรื่องมันกำลังเลยเถิดไปไกล ดังนั้นเขาจึงดึงแขนของคิมแดยังเอาไว้
"ไปได้แล้ว"
จากนั้น วูจินก็ลากคิมแดยังออกจากห้องทำงานของ CEO ปล่อยให้ชเวชองกุนและฮเยยอนถูกทิ้งอยู่ข้างหลัง ทั้งสองนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งพลางมองไปที่ประตู
"โอ้ ตายจริง"
ฮงฮเยยอนแปรงผมยาวของเธอพร้อมพูดขึ้นมาก่อน
“ถ้าตอนนี้เขาร่าเริงแล้ว ในอดีตเขาจะมืดมนแค่ไหนกันนะ?”
ชเวชองกุนเองก็เข้ามาร่วมวงด้วย
"ใช่เลย กระทั่งตอนนี้วูจินก็แทบจะตกขอบอยู่แล้ว ถ้าเราได้พบกับเขาในอดีต...เขาอาจจะคุยด้วยแทบไม่ได้เลยแน่”
“…บางทีอดีตของวูจินอาจมีแต่เรื่องไม่ดี”
"คงเป็นอย่างนั้นแหละนะ แต่ในระหว่างนั้น เขาก็เริ่มสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง ขยันขันแข็งและเรียนรู้ด้วยตนเอง…มันช่างน่าประทับใจมากเลย"
“ทั้งที่เรียนรู้ด้วยตัวเอง แต่กลับสามารถแสดงจนเหนือกว่าทุกคนได้ เป็นเรื่องที่ไม่อาจเข้าใจได้เลย…แต่ยังไงก็เถอะ อันนี้คือร่าเริงสดใสขึ้นแล้วงั้นเหรอ?”
"ก็คงงั้นแหละ เพราะเพื่อนของเขาเป็นคนบอกเองเลยนิ”
ฮเยยอนกอดอกพลางนึกถึงวูจิน
“การแสดงที่เขาเริ่มต้นฝึกมันด้วยความเบื่อหน่าย มันได้ช่วยเขาไว้งั้นเหรอ?”
เรียกได้ว่าความเข้าใจผิดตอนนี้กำลังถึงขั้นสร้างป้อมปราการขึ้นมาแล้ว
ในระหว่างนั้นเอง
คังวูจินและคิมแดยังมาถึงบันไดทางออกฉุกเฉินที่อยู่สุดทางเดิน ในขณะที่คิมแดยังยังคงหัวเราะเบา ๆ วูจินก็ตรวจสอบทางเดินด้านนอกประตูโลหะ
-ฟึบ
เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ ๆ วูจินก็ด่าคิมแดยังผู้เพิ่งเงียบไป
"แกบ้าหรือเปล่าเนี่ย? ตอนนี้แกกำลังทำบ้าอะไรอยู่กัน? แกน่าจะโทรหาฉันก่อนนะ”
“หุบปากไปเลย ทีแกบอกเราหน่อยไหมล่ะ? แกทำให้ทุกคนแทบตาถลนเลย ตั้งแต่เรื่องภาพยนตร์ไปยันละคร ฉันอยากจะทำให้แกประหลาดใจบ้างไง รู้สึกเป็นไงมั้งล่ะ?”
“อั๊ก ฉันเกือบหลุดแล้วเนี่ย มาทางนี้ก่อนเลย”
วูจินจับคอเสื้อของคิมแดยัง ทางด้านแดยังก็ผลักไหล่ของวูจินจนพวกเขาขยับกันไปมา แต่ไม่มีคำพูดใดถูกพูดออกมา มันเป็นการต่อสู้ด้วยความเงียบงัน เกือบจะเหมือนการเต้นรำที่ไม่มีดนตรี
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งนาที
คิมแดยังที่เหมือนแทบจะแสร้งทำเป็นโกรธไม่ไหวแล้ว ทันใดนั้นก็หัวเราะคิกคัก
“ทำไมแกถึงทำตัวเย็นชาและอวดดีแบบนั้นต่อหน้าฮงฮเยยอนเล่า? เพราะเป็นนักแสดงเลยต้องวางท่าหรือไง?”
“ฮ่า ไม่ใช่สักหน่อย แค่มันต้องทำไปแบบนั้น คิดว่ามันจำเป็นแล้วกันน่า”
“เหอะ เพราะฉันสังเกตและเล่นไปด้วยหรอกนะ แกควรจะขอบคุณฉันไว้ แต่จะว่าไป ปกติแกไม่เป็นแบบนี้นิ หรือว่ากำลังแสดงเลยต้องรักษาท่าทางตัวละครเอาไว้”
“ไม่ใช่ว่าฉันต้องการแบบนี้สักหน่อย คือว่าฉันเปลี่ยนมันไม่ได้แล้วต่างหาก เพราะแกเลย ตอนนี้ฉันจึงต้องกัดฟันและทนทำแบบนี้ต่อไป ว่าแต่ไหงแกพูดเรื่องฝึกการแสดงแบบนั้นให้ฮงฮเยยอนได้ยินเล่า?”
"หา? โอ้ ตอนที่ฉันบอกว่าพาแกไปออดิชั่นคัดตัวสินะ ก็มันจะไม่แปลกหรือไงหากบอกว่าแกไม่รู้จักการแสดง? ฉันเลยต้องเล่นไปตามบทไงล่ะ”
ณ จุดนี้เอง คังวูจินแทบอยากจะต่อยให้รู้แล้วรู้รอด ยังดีที่ผลลัพธ์ก็ไม่ได้เลวร้ายนัก งั้นไปเรื่องถัดไป วูจินที่คิดแล้วจึงเปลี่ยนเรื่อง
"แล้วทำไมถึงมาสัมภาษณ์บริษัทของเราล่ะ? แล้วบริษัทที่นายทำงานอยู่เล่า?"
“อ๋อ ฉันกำลังคิดจะเปลี่ยนงานและมันได้เวลาพอดี อันที่จริง ฉันก็สนใจในวงการบันเทิงเหมือนกันนะ”
“แล้ว?”
“เพราะแกเป็นนักแสดง ฉันเลยคิดว่าฉันจะทำงานร่วมกับแก CEO บอกว่าแกมีผู้จัดการแล้วใช่ไหมล่ะ? เพราะงั้นเขาจึงแนะนำให้ฉันเริ่มเป็นผู้ช่วยผู้จัดการหรือบอดี้การ์ดก่อน ฉันคิดว่าแบบนี้ก็ดูดีออก”
“แกจะเริ่มเมื่อไหร่?”
“ฉันจะจัดการงานปัจจุบันของฉันในเดือนนี้และเริ่มต้นเดือนหน้าเลย”
คังวูจินหรี่ตาลง มองเพื่อนของเขาที่ดูเฉยเมยมาก
"จริงจังเหรอเนี่ย?"
“จริงอยู่แล้วดิ”
ดวงตาของคิมแดยังเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น วูจินจินตนาการถึงอนาคตของเขากับคิมแดยัง และเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่ง จางซูฮวาน เป็นหมีสองตัวที่ร่างใหญ่เบิ้ม
‘อย่างน้อยก็คงไม่มีใครกล้ายุ่งกับเราหรอกมั้ง’
ดูเหมือนแบบนี้จะไม่เห็นเป็นอะไร การมีเพื่อนอยู่เคียงข้างอาจเป็นเสมือนที่พักผ่อนจิตใจกับเขา ผู้ที่ต้องอยู่ท่ามกลางความท้าทายของโลกแห่งความบันเทิง ความเข้าใจผิดอันมากมาย
ตอนนั้นเองที่คิมแดยังก็พูดออกมา
“แล้วนายยังจะต้องวางท่าแบบนี้ต่อไปงั้นเหรอ?”
"ใช่ มันแก้ไขตอนนี้ไม่ได้แล้ว ถ้าจะร่วมงานกัน ก็อย่าทำพลาดเด็ดขาดเชียว”
“ฮ่าฮ่า ฟังดูน่าสนุกแฮะ มันเหมือนกับการแสดงในชีวิตจริงเลยใช่ไหม? งั้นไว้ใจฉันได้เลย!”
"และ-"
คังวูจินเดินตามออกไป เขากำลังจะพูดถึงความเข้าใจผิดทั้งหมดที่เขาได้ทำมาตั้งแต่ต้น แต่เขาก็ไม่ได้พูดมันออกมา แดยังเองก็เข้าใจดี
‘ดูเหมือนแดยังจะรู้ทุกอย่างตั้งแต่ฉันพูดเรื่องวางท่าแล้วสินะ’
คิมแดยังตรวจสอบเวลาในโทรศัพท์ของเขาและถามอีกคำถามออกมา
“แต่ตอนนี้ความนิยมของแกพุ่งสูงขึ้นมาก คนรู้จักของแกเริ่มสังเกตเห็นกันแล้วไม่ใช่หรือ? แค่เลื่อนไปฉันก็เห็นหนึ่งความเห็นแล้วเนี่ย”
ซึ่งเรื่องนี้คังวูจินก็คิดไว้แล้วว่ามันคงไม่มีปัญหา
“….คนรู้จักที่โรงเรียนประถมไม่มีปัญหาหรอก ฉันย้ายโรงเรียนบ่อย ฉันแทบจะจำช่วงเวลานั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ”
คังวูจินและเพื่อนสนิทนั้น พวกเขาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มัธยมต้น
“แถมพอช่วงมัธยมต้นปีสองฉันก็ต้องย้ายอีก เรื่องความคิดเห็นจากคนรู้จักมันสำคัญด้วยเหรอ? เด็กมัธยมต้นและมัธยมปลายคงไม่รู้เกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของฉันหรอกน่า”
"อืม ก็คงงั้น แต่คนที่รู้จักนายจากงานก่อนคงรู้สึกแปลกแน่ ยังไงก็ช่วยระวังเรื่องวางท่านี้หน่อยแล้วกันนะ”
วูจินเกาหัวของเขาเหมือนอยากตอบว่า ‘เอาที่สบายใจ’
"ก็ไม่รู้สินะ"
เขาพึมพำ
“ถ้าทำแบบนี้แล้วมันดี... ก็ให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปเถอะ”
วันศุกร์ที่ 29 ช่วงเช้าตรู่ ณ ประเทศญี่ปุ่น
สถานที่ตั้งบริษัทภาพยนตร์ ‘โทเอกะ’ ใกล้สถานีชินจูกุ จากขนาดแล้ว มันเป็นหนึ่งในบริษัทภาพยนตร์ขนาดที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น หลายคนมารวมตัวกันในห้องประชุมขนาดใหญ่ของบริษัทภาพยนตร์ ’โทเอกะ'
อย่างน้อย 20 คนหรือมากกว่านั้นกระมัง?
พวกเขานั่งอยู่รอบ ๆ โต๊ะทำงานรูปทรงㅁ และชายในวัย 50 ปีที่มีผมสีเทากำลังนั่งอยู่ใกล้ทางเข้า เขามีใบหน้าที่คุ้นเคยยิ่ง ชายคนนี้คือ เคียวทาโร่ ทาโนกุจิ ผู้กำกับจากญี่ปุ่น ส่วนที่เหลือเป็นคนจากบริษัทภาพยนตร์หรือบริษัทผู้ผลิต
ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจก็คือ...
“······”
“······”
ทุกคนรวมถึงผู้กำกับเคียวทาโร่ กำลังจ้องมองหญิงวัยกลางคนอายุประมาณ 60 ปี ด้วยเหตุนี้ ห้องประชุมจึงเงียบมาก หญิงวัยกลางคนสวมแว่นตาที่ติดอยู่ที่จมูก เธอกำลังอ่านกระดาษห่อหนึ่งอย่างเงียบ ๆ
-ฟึบ
ที่จริงแล้วเธอคือ อาคาริ ทากิคาวะ นักเขียนนวนิยายยอดนิยมในญี่ปุ่น อาคาริไม่เพียงแต่เป็นที่รู้จักในญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังเป็นที่รู้จักในเกาหลีด้วย ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าเป็นนักเขียนนวนิยายผู้แสนลึกลับ เธอทำงานมานานกว่า 30 ปีและเคยเขียนผลงานมาหลายสิบชิ้น
ในหมู่พวกมัน มีหนังสือขายดีมากกว่าห้าเล่ม
เหตุผลที่อาคาริมาอยู่ที่นี่นั้นมีเหตุผลที่เรียบง่ายอยู่ ผลงานต้นฉบับสำหรับภาพยนตร์เรื่องต่อไปของผู้กำกับเคียวทาโร่เป็นหนึ่งในผลงานของอาคาริ การดัดแปลงนั้นเพิ่งเสร็จสิ้นเมื่อวานนี้ และวันนี้เป็นการนำเสนอบทที่เพิ่งปรับให้เข้ากับละครให้อาคาริดู
หลังจากนั้นเอง
-ฟึบ
ขณะที่เธอปิดกล่องกระดาษ ดูเหมือนว่าอาคาริจะอ่านบททั้งหมดจบแล้ว จากนั้นเธอก็ยิ้มอย่างอบอุ่นให้กับผู้กำกับเคียวทาโร่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เธอ
“ฉันชอบมากเลยนะคะ คุณผู้กำกับ ฉันชอบบทที่ผ่านการปรับนี้มาก”
ผู้กำกับเคียวทาโร่ก็ยิ้มและพยักหน้าเช่นกัน
“ผมดีใจที่คุณชอบนะ”
“ฉันเห็นได้เลยว่าคุณพยายามที่จะรักษาแบบฉบับดั้งเดิมเอาไว้อยู่ มีบางส่วนขาดหายไป แต่ฉันซาบซึ้งมากที่คุณซื่อสัตย์กับต้นกำเนิดของชิ้นงาน”
“ผมเองก็รู้สึกเสียใจที่ไม่อาจเอาทุกอย่างมาใส่ได้ ผมพยายามเต็มที่แล้วครับ”
เมื่อได้ยินการสนทนาของพวกเขา สมาชิกจากบริษัทภาพยนตร์และผลิตก็รู้สึกโล่งใจมาก ชายที่ดูอาวุโสจากบริษัทภาพยนตร์จึงถามผู้กำกับเคียวทาโร่ไปว่า
“ผู้กำกับ คุณตั้งใจจะคัดตัวนักแสดงเกาหลีในภาพยนตร์เรื่องนี้จริง ๆ เหรอ?”
เป็นอีกครั้งที่ทุกสายตาในห้องประชุมหันไปหาผู้กำกับเคียวทาโร่ แต่แทนที่จะตอบ เขากลับตั้งคำถามกับอาคาริแทน
“ผมกำลังพิจารณาที่จะทำงานร่วมกับนักแสดงเกาหลีสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ คุณนายคิดว่ายังไงครับ?”
หลังจากหยุดชั่วครู่ อาคาริที่กำลังดูบทก็สบตากับผู้กำกับเคียวทาโร่
“ฉันเห็นชอบค่ะ พูดตามตรง การแสดงของนักแสดงเกาหลีนำหน้าญี่ปุ่นไปไกลแล้วไม่ใช่เหรอคะ? ไม่ต้องพูดถึง KPOP เลย กระทั่งละครเกาหลีก็นำหน้าไปไกลแล้ว วัฒนธรรมเกาหลีกำลังเริ่มมีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อย ๆ”
“น่าเสียดายที่มันเป็นความจริง เพราะตอนนี้ญี่ปุ่นกำลังติดอยู่ในกรอบเดิม ๆ”
“แสดงว่าคุณต้องการปลุกกระแสนักแสดงของเราสินะคะ?”
“นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งครับ แต่ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดที่ผมจะทำแบบนี้”
ในขณะนั้นเอง ผู้บริหารจากบริษัทผลิตก็เข้ามาแทรกแซง
“คือว่าผมเข้าใจเจตนานั้นดีนะ แต่ในเมื่อมันเป็นผลงานของทั้งคุณผู้กำกับและคุณนักเขียน อย่างน้อยนักแสดงเกาหลีคนนั้นควรจะเป็นระดับดาราดังสิ แต่นักแสดงเกาหลีที่คุณบอกจะเอามาแสดงยังไม่เป็นที่รู้จักไม่ใช่เหรอ?”
ผู้กำกับเคียวทาโร่ก็ตอบกลับทันที
“ทำไมผมต้องเลือกนักแสดงที่ยังไม่เป็นที่รู้จักงั้นเหรอ? เพราะมันคือสิ่งที่ผมต้องทำไงล่ะ นักแสดงที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว คงจะไม่สามารถปลุกกระแสนักแสดงของเราขึ้นมาได้หรอก”
“แต่…ผมตรวจสอบนักแสดงคนนั้นแล้ว ช่วงนี้เขากำลังเป็นที่สนใจมากเลยนะ”
“ผมก็ตรวจสอบดูแล้วเหมือนกันครับ”
“มันไม่เสี่ยงเกินไปหน่อยเหรอ?”
“พูดตามตรง ผมก็ประหลาดใจมากที่ช่วงนี้เห็นความนิยมของนักแสดงคนนี้เพิ่มขึ้นเร็วมาก เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีใครพูดถึงเขาเลย บางทีมันคงมีปัญหากับเรื่องทางฝั่งผู้ผลิตแหละมั้ง แต่นอกเหนือจากนั้นแล้ว ผมก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมนักแสดงที่มีความสามารถเช่นนี้ถึงเพิ่งมาได้รับการยอมรับในตอนนี้...”
ห้องประชุมเริ่มเกิดเสียงอึกทึกครึกโครม เพราะมันดันมีนักแสดงคนหนึ่งที่ผู้กำกับเคียวทาโร่ยกย่องเป็นอย่างมาก และเขาก็เป็นนักแสดงเกาหลีด้วย เคียวทาโร่หันไปหาอาคาริผู้เป็นนักเขียนและพูดไปว่า
“ในสายตาของผม นักแสดงเกาหลีคนนั้นดูเหมือนจะฝึกฝนทักษะของเขามาอย่างน้อยกว่าหนึ่งทศวรรษ ผมไม่เคยเห็นนักแสดงแบบเขามาก่อน เขามีวิธีการแสดงที่ไม่เหมือนใคร มันช่างน่าประทับใจมากเลยครับ”
“คุณให้คะแนนเขาสูงขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”
“คำพูดคงไม่อาจอธิบายได้หมด ผมน่ะตัวสั่นเลยทันทีที่ได้ดูหนังของเขา แต่...”
เมื่อมาถึงจุดนี้ ผู้กำกับเคียวทาโร่ก็หันไปมองทุกคนในห้อง
“นักแสดงคนนั้นได้ซ่อนตัวมานานกว่าทศวรรษ แต่ในที่สุดก็ออกมารับบทในหนังสั้นและละคร เขาไม่ได้รับบทบาทหลักด้วยซ้ำ มาตรฐานการแสดงในเกาหลีสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นสมัยนี้ล่ะ?”
“…”
“หน่วยงานใหญ่มีอำนาจผูกขาด สถานีทีวียังคงใช้นักแสดงยอดนิยม ซึ่งพอนักแสดงหน้าใหม่เข้าวงการ ทักษะของพวกเขากลับถดถอยอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดเป็นเพราะตลาดของเราตอนนี้อิ่มตัวแล้ว”
หลังจากนั้นไม่นาน
“นั่นเป็นเหตุผลที่เราต้องการนักแสดงคนนั้น ผมหวังว่าทุกคนจะเห็นด้วยกันนะ ตอนที่ผมเห็นการแสดงของเขาผมตกใจมากเลยล่ะ ในเกาหลี ความสามารถแบบนี้กลับได้แค่ปรากฏอยู่ในหนังสั้นความยาว 30 นาทีเท่านั้น”
ผู้กำกับเคียวทาโร่ถอนหายใจลึก ๆ
“แน่นอนว่าผมได้พิจารณาแล้วว่า ทักษะท่า ทาง เสน่ห์ของนักแสดงเกาหลีคนนี้ รวมถึงความเป็นญี่ปุ่นด้วย ผมต้องขอบอกเลยว่าทักษะภาษาญี่ปุ่นของเขาก็ดีไม่แพ้กัน”
นักเขียนอาคาริกอดอกพลางถามไปว่า
“ฉันขอดูข้อมูลของนักแสดงได้ไหมคะ? ฉันไม่เคยเห็นคุณหลงใหลนักแสดงคนไหนขนาดนี้มาก่อนเลย ทำเอาฉันชักสงสัยแล้วสิ ว่าแต่นักแสดงคนนั้นมีความสนใจที่จะเข้าร่วมงานกับเราไหมคะ?”
"ยัง ยังไม่ได้พูดคุยกันเลยครับ เราวางแผนที่จะส่งบทและดำเนินการประชุมคัดตัวอย่างเป็นทางการ ก่อน”
"เป็นงั้นเองสินะคะ"
หลังจากตอบกลับสั้น ๆ อาคาริผู้เป็นนักเขียนก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงมองย้อนกลับไปที่ผู้กำกับเคียวทาโร่
“ถ้าคุณวางแผนที่จะไปเกาหลีอีกครั้ง ทำไมไม่ลองปรับตารางให้ไปพร้อมกับฉันก่อนล่ะคะ? ฉันมีงานที่เกาหลีในเดือนมิถุนายนนี้พอดีเลย”
เธอยิ้มบาง ๆ
“ฉันก็อยากจะลองเจอนักแสดงคนนั้นเหมือนกัน”
กลับไปที่เกาหลี ในคืนเดียวกันนั้นเอง
เวลาประมาณ 21.50 น. สถานที่แห่งนี้เป็นบ้านสุดหรูของฮงฮเยยอน ในย่านชองดัมดง โดยภายในห้องรอบประดับประดาด้วยสีดำและสีขาว ฮงฮเยยอนกำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นบนพรม
ถัดจากเธอ
“ว้าว นี่มันไวน์อะไรกันเนี่ย? รสเลิศมาก!”
เป็นฮวาลิน ผู้มีไฝอยู่ใต้ตา ทั้งคู่แต่งตัวสบาย ๆ พร้อมของว่างและไวน์บนโต๊ะ
ส่วนสาเหตุที่พวกเธออยู่กันที่นี่...
“ว่าแต่พี่คะ วันนี้เราจะดูตอนที่ 5 ของ ‘นิติจิตวิทยาเสเพล‘ ด้วยกันได้ไหมคะ? แล้วการถ่ายทำล่ะ?”
ตอนที่ 5 ของ ‘ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติจิตวิทยาเสเพล’ จะเริ่มใน 10 นาที
“ไม่เป็นไรหรอกน่า วันนี้ฉันไม่มีงานถ่ายอยู่แล้ว ฉันอยากดูกับเธอนะ ฮวาลิน”
“ซึ้งใจจริง งั้นชนน!”
ฮวาลินจิบไวน์ แอบเหลือบมองฮงฮเยยอน จากนั้นเธอก็พูดถึงสิ่งที่เธออยากรู้จริง ๆ
“ว่าแต่พี่ รองหัวหน้าพัคจะไม่ปรากฏตัวในตอนที่ 5 งั้นเหรอคะ?”
แน่นอนว่าเป้าหมายของเธอคือคังวูจิน แต่ทันใดนั้น ฮงฮเยยอนก็ยิ้มและสะกิดไหล่ของฮวาลิน
"อะไรล่ะเนี่ย? อ๋อ! ธ-เธอชอบคังวูจินที่เล่นเป็นรองหัวหน้าพัคงั้นเหรอ?”
ในใจของฮวาลินที่แอบเป็นแฟนคลับก็ตอบเห็นด้วยไปทันที
'ใช่สิ ต้องชอบอยู่แล้ว เขาเจ๋งและแสดงได้เก่งมาก แถมน้ำเสียงการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา ทำให้ฉันน่ะอยากรู้จักเขาเหลือเกิน’
แต่จากนั้นฮงฮเยยอนก็ถามบางอย่างออกมา
“น่าประหลาดใจแฮะ? ฮวาลินของเราดันหลงรักนักแสดงชาย แถมยังเป็นหน้าใหม่ด้วยเนี่ยนะ?”
ภายนอก ฮวาลินโพล่งออกมาตรงข้ามจากสิ่งที่เธอคิดในใจ
"พี่พูดอะไรกันคะ? ฉันไม่สนใจเขาเลยสักนิด”
ดูเหมือนเธอก้าวเท้าผิดตั้งแต่เริ่มเสียแล้ว
*****