บทที่ 19 แต่งกลอนสด
พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เว่ยฉางเทียนคิดมากไปจริงๆ
กลิ่นหอมอ่อนๆ ของโบตั๋นขาวลอยคลุ้งที่ปลายจมูก เขามองดูใบหน้าจริงจังของลู่จิ้งเหยาแล้วหยิบพู่กันขึ้นมาเริ่มเขียนตัวหนังสืออีกครั้ง
จังหวะเสียงกลอน
เส้นตั้งเส้นนอน
เส้นนอนเส้นตั้ง
เส้นตั้งเส้นนอน
นี่เป็นวิธีการที่ลู่จิ้งเหยาคิดขึ้นเอง โดยการผสมผสานการฝึกเขียนตัวหนังสือและการเรียนกลอน ทำให้ได้ผลสองเท่าในครึ่งเวลา
ในชาติก่อนมีคำเรียกสำหรับวิธีการนี้ว่า "วิธีการสอนแบบบูรณาการ"
น่าเสียดายที่ในสังคมศักดินาผู้หญิงไม่สามารถเป็นครูได้ ดังนั้นวิธีการสอนที่ก้าวหน้านี้จึงไม่สามารถเผยแพร่ได้
เว่ยฉางเทียนจิตใจล่องลอยกลับไปยังชาติก่อน ตัวอักษรที่เขาเขียนยิ่งแย่ลงไปเรื่อยๆ
ลู่จิ้งเหยามองดูอยู่ครู่หนึ่ง จนอดไม่ได้ที่จะเตือนเบาๆ ว่า “ท่านจริงจังหน่อยสิ”
เมื่อได้ยินคำนี้ เว่ยฉางเทียนไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกผิด แต่กลับวางพู่กันลงทันที “ข้าว่าวันนี้พอแค่นี้ดีกว่า”
“แต่นี่ยังไม่ถึงชั่วโมงเลย”
“ก็เพียงพอแล้ว”
“...”
ลู่จิ้งเหยานิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงลุกขึ้นจัดการพู่กันและอุปกรณ์ต่างๆ
ขนพู่กันสั่นไหวเบาๆ ในแท่นล้างพู่กันรูปปลา ปล่อยให้หมึกดำกระจายในน้ำใส
เธอยื่นมือจับขนพู่กันตรงโคนเบาๆ แล้วพูดขึ้นว่า “จริงๆ แล้วท่านมีพรสวรรค์ ถ้าท่านตั้งใจเรียนสักสองสามปี แล้วไปสอบขุนนาง ท่านจะประสบความสำเร็จแน่นอน”
เว่ยฉางเทียนอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วหัวเราะถามว่า “ทำไม? เจ้าอยากให้ข้ากลับตัวกลับใจหรือ?”
ลู่จิ้งเหยามองมาอย่างจริงจัง “ไม่ดีหรือ?”
“ฮ่าๆๆ!”
เว่ยฉางเทียนหัวเราะเสียงดังแล้วพูดเยาะเย้ยว่า “ถ้าข้าอยากเป็นขุนนาง ข้าก็เป็นได้เดี๋ยวนี้ ทำไมต้องไปแย่งกับพวกนักเรียนหนังสือด้วย?”
“อีกอย่าง ข้าไม่สนใจเรื่องบ้านเมืองหรือประชาชน เรื่องพวกนั้นเกี่ยวอะไรกับข้า?”
“ไม่ใช่แบบนั้น”
ลู่จิ้งเหยาส่ายหัว สายตามุ่งมั่น “ใจข้ามุ่งตรงดวงจันทร์ แม้จันทร์ส่องคลองเฉา ท่านสามารถเขียนกลอนได้เช่นนี้ ท่านย่อมไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว”
“...”
เว่ยฉางเทียนไม่คาดคิดว่าเธอจะเชื่อมโยงได้ขนาดนี้ เขาจึงหัวเราะออกมา “แค่กลอนบทหนึ่งจะพิสูจน์อะไรได้? ข้าสามารถแต่งกลอนระดับนี้ออกมาได้ง่ายๆ”
“ข้าไม่เชื่อ”
ลู่จิ้งเหยาเห็นว่าเว่ยฉางเทียนพยายามเบี่ยงเบน จึงจงใจยั่วยุ “ถ้าท่านแต่งกลอนอีกบทได้ ข้าจะเชื่อท่าน”
“เจ้าจะเชื่อหรือไม่ มันสำคัญกับข้าตรงไหน?”
เว่ยฉางเทียนเหลือบมองเธอ “อีกอย่าง การแต่งกลอนต้องมีเหตุผล ไม่มีใครแต่งสุ่มๆ หรอก”
ลู่จิ้งเหยาเห็นเว่ยฉางเทียนพยายามเลี่ยง ยิ่งรู้สึกดีใจ “ที่นี่มีของหลายอย่าง ท่านเลือกสิ่งหนึ่งเป็นเหตุผลก็พอ”
“หึหึ”
เว่ยฉางเทียนเยาะเย้ยเสียงหนึ่ง เดิมทีไม่อยากสนใจลู่จิ้งเหยา
แต่เมื่อเขามองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นฉิวหยุนและหยวนเอ๋อกำลังเล่นกับเว่ยเฉียวหลิง เขาก็เปลี่ยนใจ
“ฉิวหยุน! หยวนเอ๋อ!”
“อ้า! คุณชาย!”
สองสาวรีบวิ่งมาหยุดที่นอกหน้าต่าง ถามว่า “มีอะไรหรือคะ?”
“ไม่มีอะไร”
เว่ยฉางเทียนไม่มองลู่จิ้งเหยา แล้วพูดตรงๆ ว่า “ข้าจะแต่งกลอนให้พวกเจ้า”
“หา? แต่งกลอน?”
สองสาวอึ้งไป ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
คุณชายแต่งกลอนได้ด้วยหรือ?
หรือว่าฮูหยินเพิ่งสอน?
แม้จะสงสัย แต่พวกเธอก็พยักหน้าตาม และแสดงความคาดหวังในแววตา
“คุณชาย พวกเราฟังอยู่ค่ะ”
“อืม”
เว่ยฉางเทียนทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเริ่มท่องกลอนออกมา
เสียงไม่ดังไม่เบาเกินไป พอดีให้ลู่จิ้งเหยาได้ยินชัดเจน
“สายลมล่องในหุบเขา ลากันไปยังเวทีเทพธิดาเมฆาฤดูใบไม้ร่วง”
“สายใยแห่งรักขาดสะบั้น ทะเลสีฟ้าฟากฟ้าสีครามตามใจเรา”
ภายในและภายนอกหน้าต่าง ต่างนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
แม้ว่า ฉิวหยุนและหยวนเอ๋อจะมีความรู้จำกัดเพียงแค่เขียนชื่อตัวเองได้ แต่ก็ยังฟังออกว่ากลอนนี้พูดถึงว่าว
และในกลอนยังมีคำว่า “เมฆฤดูใบไม้ร่วง” ด้วย
มนุษย์มีความสามารถตามธรรมชาติในการชื่นชมสิ่งสวยงาม เช่นเดียวกับการชื่นชมตัวอักษร โดยเฉพาะเมื่อคำเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับตัวเอง
ทั้งสองสาวต่างรีบปิดปากด้วยความซาบซึ้งจนแทบไม่อาจบรรยายได้
ส่วนลู่จิ้งเหยา รู้สึกตะลึงจนไม่สามารถอธิบายความรู้สึกของตนเองได้
ถ้าจะต้องหาอะไรมาเปรียบก็คงเป็น หัวใจสั่นไหว? ไม่อยากเชื่อ?
เธอมองดูเว่ยฉางเทียนที่ยังคงสงบเสงี่ยม ไม่สามารถจินตนาการได้ว่าเขาต้องมีพรสวรรค์แค่ไหน ถึงสามารถแต่งกลอนที่เข้ากับหัวข้อและมีความลึกซึ้งภายในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ
"สายใยแห่งรักขาดสะบั้น ทะเลสีฟ้าฟากฟ้าสีครามตามใจเรา"
ความรู้สึกนี้ทั้งกว้างใหญ่และละเอียดอ่อน
ลู่จิ้งเหยาไม่เหมือนกับฉิวหยุนและหยวนเอ๋อ เธอเข้าใจความหมายลึกซึ้งในกลอน
และเพราะเธอเข้าใจ จึงยิ่งไม่สามารถเข้าใจได้
"ทำไมถึงเป็นเช่นนี้..."
"แม้แต่สุดยอดกวีของต้าหนิง หรือแม้แต่ซูอู่ที่ถูกยกย่องว่าเป็นเทพแห่งกวีก็คงไม่ต่างกัน..."
ระหว่างอาหารค่ำ ลู่จิ้งเหยามักเผลอทำตะเกียบหล่นหลายครั้ง
ฉิวหยุนและหยวนเอ๋อดีกว่าหน่อย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแอบมองเว่ยฉางเทียนเป็นระยะๆ
มีเพียงเว่ยเฉียวหลิงที่เปลี่ยนความเศร้าจากการสูญเสียไก่เป็นความหิวกระหาย โจมตีไก่ตุ๋นอย่างหนักหน่วง
หลังอาหารก็เป็นช่วงเวลาการเล่าเรื่อง
หลังจากไม่กี่วัน เรื่องราวได้ดำเนินมาถึงตอนที่ซุนหงอคงและถังซำจั๋งได้พบกับจูป๋าจีหรือตือโป๊ยก่ายที่หมู่บ้านเก่าลอจวง
เว่ยฉางเทียนจำเนื้อหาเต็มของ "ไซอิ๋ว" ไม่ได้ แต่เขาเคยดูซีรีส์หลายรอบเมื่อตอนเด็ก จึงไม่มีปัญหาเรื่องสะดุด
แสงจันทร์ส่องเข้ามาผ่านหน้าต่าง ในขณะที่เปลวเทียนส่องสว่างในห้อง
ทั้งสี่สาวฟังด้วยความตั้งใจ ใบหน้าแสดงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปตามเนื้อเรื่อง
แม้แต่หมาตัวใหญ่ก็นอนเงียบๆ กับพื้น หางปัดไปมาอย่างมีความสุข
เมื่อถึงยามไฮ่(21.00-23.00น.) เรื่องราวก็จบลง
ฉิวหยุนและหยวนเอ๋อพาเว่ยเฉียวหลิงกลับไปยังลานเล็กๆ ของเธอ ลู่จิ้งเหยาก็รีบกลับไปจดบันทึกเรื่องราวที่ได้ยิน
หลังจากที่ห้องเงียบลง เว่ยฉางเทียนดื่มน้ำชาและเริ่มคิดถึงเรื่องซวี่ชิงหว่านและหยางหลิวสือ
แม้จะเพียงเพื่อแต้มคะแนนระบบ เขาก็ต้องการพาผู้หญิงสองคนนี้มาเป็นพวก
คนแรกไม่เป็นไร เพราะยังมีเวลาเหลือเฟือ สามารถค่อยๆ ดำเนินการได้
แต่คนหลังค่อนข้างยุ่งยาก
ส่วนหนึ่งเพราะหยางหลิวสือเป็นจิ้งจอก จึงมีความระมัดระวังสูง
อีกส่วนเพราะเซียวเฟิงก็กำลังจะพบกับเธอในไม่กี่วันหลังเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง
เว่ยฉางเทียนไม่รู้ว่าอาการบาดเจ็บของเซียวเฟิงจะส่งผลต่อเนื้อเรื่องหรือไม่ แต่ต้องทำการคาดการณ์ที่แย่ที่สุดไว้ก่อน
ถ้าในคืนล่องเรือกลางฤดูใบไม้ร่วงไม่สามารถพาหยางหลิวสือมาเป็นพวกได้ ก็ต้องห้ามไม่ให้เธอพบกับเซียวเฟิง
หากจำเป็นก็ต้องกำจัดปีศาจเพื่อประชาชน
เมื่อคิดถึงรายละเอียดต่างๆ น้ำชาก็เย็นลงหมดแล้ว
เมื่อเว่ยฉางเทียนได้วางแผนคร่าวๆ และเตรียมขึ้นเตียง "ฝึก" ต่อ ประตูห้องก็ถูกเคาะ
“คุณชาย ท่านยังไม่นอนหรือ?”
ฉิวหยุนและหยวนเอ๋อเดินเข้ามา แต่ทั้งสองซ่อนมือไว้ข้างหลัง ใบหน้าดูกังวล
เว่ยฉางเทียนสงสัย “มีอะไรหรือ?”
“เอ่อ...กลอนที่ท่านแต่งตอนพลบค่ำ ขอพวกเราเขียนไว้ได้ไหม?”
สองสาวหยิบกระดาษ หมึก พู่กัน และแท่นลับหมึกออกมา
เตรียมมาดีมาก
เว่ยฉางเทียนหัวเราะ “ฮ่าฮ่า แน่นอน”
“แต่ลายมือของข้าค่อนข้างแย่ พวกเจ้าอย่ารังเกียจก็พอ”
“ไม่หรอกค่ะ คุณชาย!”
หยวนเอ๋อยังเด็ก พูดอย่างไม่ระวัง “ยังไงพวกเราก็อ่านหนังสือไม่ออก แค่กลัวจะลืมกลอน เลยอยากได้กระดาษไปให้ครูเล่านิทานอ่านให้ฟัง!”
“อย่างนั้นหรือ”
เว่ยฉางเทียนมองฉิวหยุนที่ก้มหน้า และไม่พูดอะไรต่อ เมื่อน้ำหมึกเตรียมเสร็จ เขาก็หยิบพู่กันขึ้นมาและคัดลอกบทกลอนอย่างตั้งใจ
เมื่อเขียนเสร็จ ก็เพิ่มชื่อกลอนไว้ด้านบน
“สำหรับฉิวหยุนและหยวนเอ๋อ”
“หมึกยังไม่แห้ง ต้องรอสักครู่”
วางพู่กันลง เว่ยฉางเทียนวางแท่นทับกระดาษไว้ที่ปลายทั้งสองของกระดาษ
“ค่ะ”
ฉิวหยุนและหยวนเอ๋อพยักหน้าเบาๆ รอคอยอยู่ข้างๆ อย่างอดทน
แต่ไม่นานใบหน้าของพวกเธอก็แดงระเรื่อ
“...”
เสียงอ่อนโยนดังลอดผ่านประตูห้อง เข้าไปในหูของลู่จิ้งเหยาที่กำลังยืนอยู่หน้าประตู
เธอที่ลืมไปบางจุดในเรื่องราวคืนนี้ จึงอยากมาถาม
แต่ตอนนี้
เธอกลับไปยังห้องของตนเองอย่างรวดเร็ว หันหลังพิงประตูและหายใจลึกๆ
มือหนึ่งกำกระโปรงแน่น อีกมือสัมผัสแก้มที่ร้อนขึ้น
หัวใจรู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก