ตอนที่ 24 มู่ชิง
ตอนที่ 24 มู่ชิง
หลินมู่หันหลังกลับมาเอ่ยกับหานเสวี่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “แล้วเช่นนี้ข้าเข้าไปได้หรือยัง?”
สีหน้าของหานเสวี่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางรู้ดีว่าหลินมู่ยังคงมีอคติกับนางอยู่ เมื่อครู่เขายังพูดคุยกับอวิ๋นเมิ่งอย่างออกรสออกชาติ แต่พอหันมาหานางกลับเคร่งขรึมขึ้นทันที นางไม่รู้ว่าที่หลินมู่ปฏิบัติต่ออวิ๋นเมิ่งเช่นนั้นเป็นเพราะความทุ่มเทของอวิ๋นเมิ่ง ไม่ใช่เพียงเพราะนางเพิ่งจะทำให้เขาขุ่นเคือง
หานเสวี่ยฝืนยิ้ม “ได้เจ้าค่ะ เชิญศิษย์พี่” ดูเหมือนนางเองก็จะไม่พอใจด้วย
อวิ๋นเมิ่งยิ้มให้หานเสวี่ยเล็กน้อยก่อนจะพาหลินมู่เดินเข้าไปในหอพักหญิงงาม
หานเสวี่ยมองตามทั้งสองที่ค่อย ๆ เดินจากไปด้วยความโกรธ ก่อนจะกระทืบเท้าแล้วเดินกลับไปเฝ้าประตูหน้าหอ
ทันทีที่ถึงหน้าประตูหอ ความรู้สึกผิดจากเรื่องก่อนหน้าก็ยังคงวนเวียนอยู่ในใจ ทันใดนั้นนางเห็นศิษย์ชายอีกคนเดินเข้ามา
ศิษย์ชายผู้นั้นเอ่ยปากด้วยสีหน้าไร้ยางอาย “ข้าอยากพบศิษย์พี่มู่ชิง ไปแจ้งนางที” น้ำเสียงของเขาออกไปทางสั่งมากกว่าขอ
ครั้งนี้หานเสวี่ยอดทนต่อไปไม่ไหว นางโกรธจนระเบิดคำด่าว่า “ไสหัวไป!”
ศิษย์ชายผู้นั้นไม่คาดคิดว่าหานเสวี่ยจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ ความอ่อนโยนของศิษย์หญิงคนอื่นเทียบไม่ได้เลยกับความดุดันของนาง
เสียงตะโกนก้องดังสนั่นทำเอาเขาตั้งตัวไม่ทัน ล้มก้นกระแทกพื้น ก่อนจะรีบลุกขึ้นเผ่นหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต
…
หลินมู่เดินตามอวิ๋นเมิ่งมาจนถึงหน้าประตูเรือนหลังเล็ก ๆ หลังหนึ่ง
อวิ๋นเมิ่งผลักประตูเข้าไปพลางยิ้มให้หลินมู่ “ศิษย์พี่เชิญเจ้าค่ะ”
ทันทีที่หลินมู่ก้าวเข้าไปในเรือน เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากชม
เรือนของอวิ๋นเมิ่งมีขนาดเล็กกว่าเรือนของเขาเล็กน้อย แต่กลับดูงดงามประณีตกว่า เมื่อเทียบกับความเรียบง่ายจืดชืดของเรือนเขาแล้ว เรือนของอวิ๋นเมิ่งงดงามกว่ามากนัก
ภายในเรือนเต็มไปด้วยดอกไม้ใบหญ้า กลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว แม้จะเป็นเพียงเรือนเล็ก ๆ แต่ก็มีภูเขาจำลองตั้งอยู่ หลินมู่รู้สึกราวกับว่าได้ก้าวเข้ามาในดินแดนสวรรค์
หลินมู่ยิ้มพลางเอ่ยชม “เรือนของศิษย์น้องช่างงดงามน่าอยู่ น่าอิจฉาจริง ๆ”
อวิ๋นเมิ่งหัวเราะ “ข้าแค่ว่างไม่มีอะไรทำ ก็เลยลองจัดดูเล่น ๆ ศิษย์พี่เอาแต่ขะมักเขม้นฝึกวิชา คงไม่มีเวลามาใส่ใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนี้หรอกเจ้าค่ะ”
หลินมู่ส่ายหน้ากล่าวอย่างจริงจัง “การฝึกวิชาอย่างหนักก็เพื่อให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น ศิษย์น้องสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้เช่นนี้ ก็สมควรได้รับคำชมแล้ว”
อวิ๋นเมิ่งไม่ต่อล้อต่อเถียงกับหลินมู่ในเรื่องนี้ นางเชิญหลินมู่เข้าไปนั่งในห้อง
ภายในห้องมีข้าวของเครื่องใช้อยู่ครบครัน หลินมู่นั่งลงที่โต๊ะ อวิ๋นเมิ่งก็รีบไปชงชาให้เขา
เมื่อชงชาเสร็จ อวิ๋นเมิ่งก็ยกมาให้หลินมู่พลางยิ้ม “ศิษย์พี่ลองชิมฝีมือข้าหน่อยเจ้าค่ะ”
หลินมู่รับถ้วยชาไปจรดปลายจมูก กลิ่นหอมกรุ่นโชยเข้ามา เขาจิบชาเล็กน้อยแล้วเอ่ยชม “กลิ่นหอมชื่นใจ ฝีมือศิษย์น้องไม่เลว เป็นชาที่ดีจริง ๆ”
อวิ๋นเมิ่งยิ้มกว้างด้วยความดีใจ ใบหน้าของนางงดงามราวกับดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน หลินมู่มองจนเผลอตะลึง
หลินมู่ได้สติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว รีบยกถ้วยชาขึ้นดื่มเพื่อปกปิดความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ แต่ถึงจะดื่มชาจนหมดถ้วย เขากลับไม่ได้สัมผัสรสชาติของมันเลย
เมื่อดื่มชาหมดถ้วย อวิ๋นเมิ่งก็เอ่ยถาม “ให้ข้าชงให้ท่านอีกถ้วยไหมเจ้าคะ?”
หลินมู่รีบตอบ “ไม่ต้อง ๆ ถ้วยเดียวก็พอแล้ว”
ทั้งสองคนเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่มีใครพูดอะไรออกมา จนกระทั่งเสียงเคาะประตูดังมาจากข้างนอก ช่วยให้ทั้งสองหลุดพ้นจากความเงียบงัน
อวิ๋นเมิ่งลุกขึ้น “ข้าขอไปดูก่อนว่าผู้ใดมาเยี่ยม”
หลินมู่เดินตามออกมาที่ลานบ้าน อวิ๋นเมิ่งเชื้อเชิญหญิงสาวคนหนึ่งเข้ามาในเรือนด้วยสีหน้ายินดี เมื่อหลินมู่เห็นหญิงสาวคนนั้น ร่างกายของเขาแข็งทื่อด้วยความตกตะลึง
งดงามอะไรเช่นนี้!
หญิงสาวผู้นี้แตกต่างจากอวิ๋นเมิ่งที่ดูขี้อายและใสซื่อ นางกลับมีเสน่ห์เย้ายวนใจ
อวิ๋นเมิ่งยิ้มให้หญิงสาวผู้นั้นแล้วพูดว่า “นี่คือหลินมู่” จากนั้นจึงหันไปบอกหลินมู่ว่า “นี่คือศิษย์พี่มู่ชิงที่หานเสวี่ยพูดถึงก่อนหน้านี้เจ้าค่ะ”
หลินมู่ได้สติกลับคืนมา คิดในใจว่านางช่างเป็นหญิงงามที่เย้ายวนใจ หากเป็นบุรุษคงไม่มีใครต้านทานนางได้ ไม่แปลกใจเลยที่หน้าหอพักหญิงงามจะมีศิษย์ชายมาต่อคิวกันไม่ขาดสาย เขาเชื่อว่ามู่ชิงมีแรงดึงดูดใจมากพอที่จะทำให้เป็นเช่นนั้น
หลินมู่รีบทำความเคารพ “คารวะศิษย์พี่หญิงขอรับ”
ขอบเขตยุทธ์ของมู่ชิงอยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสิบ ส่วนหลินมู่อยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นเจ็ด แม้จะมองไม่ออกว่าขอบเขตยุทธ์ของมู่ชิงอยู่ระดับใด แต่ก็รู้ได้ทันทีว่านางเป็นศิษย์พี่ กฎของสำนักดาบพันปักษาก็เป็นเช่นนี้ ไม่ได้นับรุ่นพี่รุ่นน้องตามอายุ แต่ดูที่ขอบเขตยุทธ์
มู่ชิงส่งสายตาหวานเยิ้มพร้อมรอยยิ้มหวาน “ศิษย์น้องไม่ต้องมากพิธีหรอก ข้าได้ยินเสียงคุยกันในเรือนของศิษย์น้องอวิ๋นเมิ่งก็เลยแวะมาดู” นางเว้นวรรคไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “พอมาถึงก็เพิ่งรู้ว่าเป็นศิษย์น้อง ข้าเคยได้ยินศิษย์น้องอวิ๋นเมิ่งพูดถึงเจ้า”
ความจริงแล้ว นางไม่เพียงแค่เคยได้ยิน แต่ยังเคยเห็นหลินมู่มาก่อนด้วย
ในวันงานประลองชี้เป็นชี้ตาย หญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้านั่นก็คือนางเอง วันนั้นนางเพิ่งจะออกจากการฝึกฝนสันโดษก็เลยไปดูการประลองพร้อมกับอวิ๋นเมิ่ง เมื่ออวิ๋นเมิ่งเห็นหลินมู่บาดเจ็บก็เกิดความสงสาร จึงอาสาไปดูแลหลินมู่ นางเองก็รู้เรื่องนี้ดี แต่ด้วยชื่อเสียงในสำนัก นางจึงไม่ได้ไปเยี่ยมหลินมู่ด้วยตัวเอง แต่ก็ฝากคนนำของขวัญไปให้ ยาเม็ดเย็นล้ำค่าขวดนั้นก็เป็นฝีมือนาง
เรื่องทั้งหมดนี้ หลินมู่ไม่รู้เลยแม้แต่น้อย
หลินมู่ตั้งสติพร้อมคิดในใจว่าความงามเป็นสิ่งผิด ข้าจะไม่ผิดซ้ำสอง ความรู้สึกว้าวุ่นก็ค่อย ๆ สงบลง
อวิ๋นเมิ่งเห็นแววตาของหลินมู่ที่ใสกระจ่าง ไม่เหมือนกับแววตาของศิษย์ชายคนอื่นที่มองศิษย์พี่มู่ชิง นางจึงวางใจ ทั้งในใจแอบยินดีอยู่ไม่น้อย
หลินมู่ยิ้มแล้วพูดว่า “การประลองชี้เป็นชี้ตายในสำนักเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ควรให้ศิษย์พี่ต้องมาหัวเราะเยาะ”
มู่ชิงยกยิ้มอย่างมีเสน่ห์ “วิชาของศิษย์น้องแคล่วคล่องว่องไว ในสำนักมีน้อยคนนักที่จะเทียบได้ ไม่ต้องถ่อมตัวไปหรอก” นางถามต่อด้วยความสงสัย “แต่ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่าศิษย์น้องมีวิธีใดถึงสามารถเพิ่มขอบเขตยุทธ์ขึ้นได้ถึงสองขั้นในเวลาอันสั้นเช่นนี้?”
เข้าเรื่องรวดเร็วนัก!
หลินมู่คิดไว้อยู่แล้วว่าต้องมีคนสงสัยในเรื่องขอบเขตยุทธ์ของเขา แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครถามเขาตรง ๆ เขาไม่คิดเลยว่าคนแรกที่จะถามคำถามนี้จะเป็นศิษย์หญิงที่งดงามที่สุดในสำนักอย่างมู่ชิง
หลินมู่เตรียมคำตอบสำหรับคำถามนี้ไว้แล้ว เขาจึงตอบได้อย่างฉะฉานว่า “ข้าน้อยมีความสามารถเพียงเล็กน้อยในการหลอมโอสถ พอดีมีพรสวรรค์ด้านนี้บ้าง ข้าน้อยจึงกินยาตลอด ขอบเขตยุทธ์ถึงได้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว”
มู่ชิงไม่สงสัยในคำตอบนี้
เรื่องราวของหลินมู่เป็นที่กล่าวขานกันไปทั่วสำนักในช่วงนี้ โดยเฉพาะความก้าวหน้าของขอบเขตยุทธ์ของเขาที่ทำให้ผู้คนต่างพูดถึง หลายคนต่างคาดเดาไปต่าง ๆ นานา บ้างก็ว่าเขาบังเอิญได้พบกับสมบัติวิเศษ บ้างก็ว่าเขาได้เคล็ดวิชาล้ำค่า หรือบางคนก็บอกว่าเขาได้รับการถ่ายทอดวิชาจากผู้วิเศษ
แต่คำกล่าวอ้างเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ไม่น่าเชื่อถือ
มีเพียงคำพูดของกู่เฉินเท่านั้นที่น่าเชื่อถือที่สุด เขาบอกว่าสาเหตุที่หลินมู่มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเป็นเพราะความพยายาม และพรสวรรค์ในการหลอมโอสถของเขา เขาพูดถึงเรื่องที่ทำให้หลายคนตกตะลึง นั่นคือจากการคาดเดาของเขา อัตราความสำเร็จในการเล่นแร่แปรธาตุของหลินมู่อยู่ที่เกือบแปดส่วน! ผลลัพธ์อันน่าทึ่งนี้ทำให้เกิดเสียงชื่นชมไปทั่ว
ไท่หนิงศิษย์ใช้แรงงานแห่งยอดเขาเซียนล่องลอยก็ออกมาเป็นพยาน หลินมู่เคยใช้เวลาเล่นแร่แปรธาตุในห้องโอสถติดต่อกันครึ่งเดือนเมื่อสองเดือนก่อน โดยแทบจะไม่ออกไปไหนเลย
แม้แต่ฉีเฟิงศิษย์ผู้รักษากฎแห่งโถงคุมกฎก็ยังเอ่ยปากชมว่าความพยายามของหลินมู่นั้นไม่มีใครในสำนักเทียบได้ เพราะในห้องของเขาไม่มีแม้แต่เตียง มีเพียงเสื่อปูพื้นสำหรับนั่งสมาธิเท่านั้น
ความคิดเห็นและเรื่องราวเหล่านี้ทำให้ศิษย์ภายนอกของสำนักดาบพันปักษามองหลินมู่อย่างชัดเจนขึ้น ในสายตาของทุกคน หลินมู่เป็นเพียงคนบ้าที่เอาแต่ฝึกฝน ไม่มีความบันเทิงใด ๆ ในชีวิต
คำกล่าวนี้ค่อนข้างใกล้เคียงกับความจริง
การบำเพ็ญเพียรไม่มีทางลัด ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความพยายาม คำพูดนี้เป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย
มู่ชิงยิ้มน้อย ๆ “ถ้าเช่นนั้น ข้าอยากขอให้ศิษย์น้องช่วยกลั่นยาให้ข้าหน่อย ไม่ทราบว่าจะได้หรือไม่?”
นี่คือจุดประสงค์ที่แท้จริงที่นางมาที่นี่
ขอบเขตยุทธ์ของนางอยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสิบแล้ว และกำลังเร่งพัฒนาเพื่อทะลวงสู่ขอบเขตสร้างรากฐาน นางถึงกับไปหามาจนได้ยาปฐพีเม็ดสุดท้ายของสำนักมา แต่ขอบเขตยุทธ์ของนางยังไม่อาจทะลวงผ่านขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสิบได้ ตอนนี้นางจึงไม่กล้ากินยาปฐพีเพื่อทะลวงเพราะเกรงว่าจะสูญเปล่า
ยาปฐพีเป็นยาล้ำค่า สามารถเพิ่มโอกาสสำเร็จในการทะลวงขอบเขตสร้างรากฐานให้กับผู้ฝึกตนที่อยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณ แต่ก็ไม่ได้รับประกันว่าจะสำเร็จ
ก็มีบางคนที่ไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฐพี สามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตสร้างรากฐานได้ด้วยขอบเขตยุทธ์ที่แข็งแกร่งของตนเอง แต่คนแบบนี้มีน้อยมาก อาจนับว่าเป็นหนึ่งในหมื่น
นางได้ยินมาว่าหลินมู่มีพรสวรรค์ในการหลอมโอสถจึงมาขอให้เขาช่วยเล่นแร่แปรธาตุ
นางหวังว่าจะสามารถเพิ่มขอบเขตยุทธ์ และเพิ่มโอกาสในการทะลวงขั้นได้ด้วยยาผนึกวิญญาณ
หลินมู่ชะงักไป มู่ชิงพูดเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกลำบากใจ ในมิติวังวนจันทราของเขายังมีวัตถุดิบสำหรับทำยาผนึกวิญญาณอีกสามร้อยชุดที่ยังไม่ได้หลอม เขาไม่มีเวลาไปช่วยใครเล่นแร่แปรธาตุ แต่เหตุผลนี้เขาไม่สามารถบอกใครได้ เป็นเรื่องที่เขาต้องเก็บไว้เป็นความลับ
ยิ่งไปกว่านั้น อัตราความสำเร็จในการเล่นแร่แปรธาตุของเขาไม่ได้ใกล้เคียงแปดส่วนอย่างที่กู่เฉินพูด อัตราความสำเร็จของเขามีเพียงหกส่วนเท่านั้น ซึ่งถือว่าดีกว่าศิษย์ภายนอกส่วนใหญ่เล็กน้อย
แต่ข้ออ้างนี้เขาก็ไม่สามารถพูดออกมาได้ มิเช่นนั้นสาเหตุที่ขอบเขตยุทธ์ของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วก็จะถูกเปิดเผย
เมื่อเห็นหลินมู่ลังเล มู่ชิงก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ค่อนข้างกะทันหัน ขอให้ศิษย์น้องเข้าใจ งั้นข้าจ่ายค่าตอบแทนให้เจ้าดีหรือไม่? ข้าจะออกค่าใช้จ่ายสำหรับส่วนผสมทั้งหมด แถมจะให้หินวิญญาณระดับต่ำเพิ่มให้อีกสองก้อนต่อหนึ่งชุด แต่ยาผนึกวิญญาณที่หลอมได้ทั้งหมดต้องเป็นของข้า ศิษย์น้องไม่ต้องกังวล ถึงแม้ว่าเจ้าจะหลอมไม่สำเร็จเลยสักชุด ข้าก็จะจ่ายหินวิญญาณให้ตามที่ตกลง”
ข้อเสนอนี้ทำให้หลินมู่ปฏิเสธไม่ได้
ตอนนี้เขาไม่มีเงินติดตัวสักแดงเดียว หมายความว่าเขากำลังขาดแคลนหินวิญญาณอยู่พอดี ได้รับค่าตอบแทนสองก้อนต่อวัตถุดิบหนึ่งชุดก็ถือว่าคุ้มค่ามาก เพราะต่อให้หลินมู่หลอมไม่สำเร็จทั้งหมด เขาก็ได้กำไรเป็นหินวิญญาณระดับต่ำสองก้อนต่อหนึ่งชุดอยู่ดี
การค้าครั้งนี้ไม่มีทางขาดทุน
หลินมู่พยักหน้าตกลง “ได้ แล้วศิษย์พี่หญิงมีวัตถุดิบกี่ชุดหรือ?”
มู่ชิงยิ้ม “ไม่มาก แค่ร้อยชุด”
หลินมู่ตกใจพร้อมนึกในใจว่า ‘ศิษย์พี่หญิงมู่ชิงช่างร่ำรวยนัก’ วัตถุดิบร้อยชุดหากซื้อก็ต้องใช้หินวิญญาณระดับล่างถึงสองร้อยก้อน บวกกับค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายให้หลินมู่อีกสองร้อยก้อน รวมเป็นสี่ร้อยก้อน
หลินมู่ไม่รู้ว่าด้วยชื่อเสียงของมู่ชิงในสำนัก มีคนส่งหินวิญญาณให้นางมากมาย ศิษย์ธรรมดาไม่มีผู้ใดจะร่ำรวยเท่านี้แล้ว
เมื่อเห็นหลินมู่ตอบตกลง มู่ชิงก็รีบกล่าวเสริมว่า “แต่เจ้าต้องหลอมให้เสร็จภายในสิบวันนะ”
หลินมู่คิดในใจว่า ‘เจ้าอยากให้ข้าตายเพราะทำงานหนักหรือไง!’ แต่เมื่อคิดอีกที ในสิบวันเขาจะได้หินวิญญาณระดับต่ำตั้งสองร้อยก้อนถึงจะเหนื่อยอย่างไรก็คุ้มค่า!
หินวิญญาณระดับต่ำสองร้อยก้อน… ในอดีตเขาไม่เคยแม้แต่จะกล้าคิดถึงตัวเลขนี้
หลินมู่กัดฟันตอบตกลง “เช่นนั้นเอาวัตถุดิบมาให้ข้าได้เลย!”