บทที่ 6 แค่แกล้งทำเป็นว่าข้าไม่ได้พูดอะไร
บทที่ 6 แค่แกล้งทำเป็นว่าข้าไม่ได้พูดอะไร
ซ่งหยุนเฉานั่งคิดใจจริงๆแล้วนางอยากไปดูความวุ่นวายอยู่เหมือนกันแต่พิธีแต่งงานกับผียังไม่จบถ้านางไปตอนนี้ก็คงจะโป๊ะแน่ๆดังนั้นนางจึงนั่งลงบนเก้าอี้ที่โต๊ะอาหารอีกครั้งแล้วตักซุปใส่ชามของตัวเอง
“ข้าเหมือนจะยังกินไม่อิ่มเดี๋ยวข้ากินเสร็จแล้วค่อยไป”
เจียงเสี่ยวเฉียนเงียบไป
ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่เพิ่งพูดไปว่ากินอิ่มแล้ว
แต่เขาก็ไม่ได้พูดออกมา เพียงพยักหน้าเบาๆแล้วเดินไปล้างชามของตัวเอง
ซ่งหยุนเฉาดื่มซุปอย่างช้าๆไม่นานก็ได้ยินเสียงโวยวายดังมาจากนอกบ้านเสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆจนซ่งหยุนเฉาเงยหน้ามองขึ้นไปและเห็นคนกลุ่มใหญ่เดินมายังบ้านของนางนำโดยแม่หลิวและหลินซวินยวน
นางเลิกคิ้วไม่คิดว่าคนคนนี้จะฟื้นเร็วขนาดนี้
หลินซวินยวน ทั้งหัวทั้งหน้าเต็มไปด้วยดินดูสกปรกเหมือนเพิ่งถูกขุดขึ้นมาจากดินแม่หลิวก็บ่นพึมพำอย่างไม่หยุดชัดเจนว่าทั้งสองคนรู้ตัวแล้วว่าถูกซ่งหยุนเฉาหลอก
“อีตัวร้าย!แกคิดจะทำร้ายข้าหรือไง!”
หลินซวินยวน เห็นซ่งหยุนเฉานั่งอย่างสบายใจก็ทนไม่ไหวนางถือหน้ากากที่ตัวเองใส่อยู่วิ่งตรงมาหาซ่งหยุนเฉาพร้อมกับตะโกนด่า“นี่เป็นแผนการของแกทั้งหมด!”
ซ่งหยุนเฉายังคงหน้านิ่งนางเหลือบมองชาวบ้านที่มุงดูความวุ่นวายแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้“ข้าทำอะไรข้าก็อยู่บ้านกินข้าวนี่นาแล้วเจ้าน่ะแม่หลิวไม่ใช่กำลังจัดงานแต่งให้ลูกชายเหรอทำไมมาหาเรื่องข้าล่ะ?”
แม่หลิวโมโหจนควันออกหูนางขุดหลุมฝังศพเรียบร้อยแล้วเอา“ซ่งหยุนเฉา”โยนลงไปปิดฝาโลงด้วยคิดว่าแผนการนี้จะไม่มีอะไรผิดพลาดแล้วก็อวดชาวบ้านว่าจะจัดงานแต่งให้ดูแต่จู่ๆก็มีเสียงดังมาจากในโลง
ตอนแรกนางคิดว่าซ่งหยุนเฉาดิ้นรนอยู่ในโลงและก็บ่นว่าหลินซวินยวน ทำงานไม่ดีแต่ฟังไปฟังมาก็รู้สึกว่าเสียงไม่ถูกต้อง จนมีคนในกลุ่มคนดูพูดขึ้นว่า“เสียงนี้ฟังเหมือนเสียงของหลินซวินยวน นี่นา”แม่หลิวจึงตกใจรีบให้คนเปิดฝาโลงและพบว่าคนที่อยู่ในโลงนั้นหน้าเหมือนซ่งหยุนเฉาแต่เสียงกลับเป็นเสียงของหลินซวินยวน
ฟ้าดินรู้หรือไม่ว่านางเกือบจะตกใจตาย!
เมื่อแม่หลิวคิดถึงลูกชายสุดที่รักที่อยู่ใต้ดินแล้วแต่งงานกับหญิงสาวที่ตนเองชอบไม่ได้นางก็อยากจะฉีกซ่งหยุนเฉาเป็นชิ้น
“แกนี่มันคนหน้าด้าน! ลูกข้ารักแกมากขนาดนั้นแกคิดจะไม่ให้เขานอนตาหลับหรือไง!”
พูดจบ นางก็ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นร้องไห้ฟูมฟาย
ซ่งหยุนเฉาหัวเราะเยาะแล้วหันไปมองชาวบ้านที่ยืนมุงดูอย่างไม่เข้าใจโดยตั้งใจตะโกนดังๆ“ข้าบอกแล้วว่าลูกชายของนางไม่ได้คิดดีจะลักพาตัวข้า ตอนนี้กลับมาโทษว่าข้าไม่ให้เขานอนตาหลับแล้วเหรอ?”
“อย่าโทษข้านะ ถ้างานแต่งผีหยุดกลางคันแบบนี้มันจะเป็นเรื่องร้ายๆ ระวังลูกชายนางจะมาหลอกหลอนตอนกลางคืนแล้วพาผู้หญิงในหมู่บ้านไปด้วยล่ะ!”
หมู่บ้านเล็กๆแบบนี้มักจะเชื่อเรื่องลี้ลับจริงๆแค่นางพูดจบหน้าของหลินซวินยวน ก็เปลี่ยนไปทันทีก่อนที่แม่หลิวจะพูดอะไร นางก็กระโดดขึ้นพร้อมกับตะโกน “ข้าจะพ่นน้ำลายใส่หน้าแก!แกคิดจะสาปข้าใช่ไหม!คนที่จะแต่งงานกับหลิวเอ๋อโควคือแกต่างหาก ข้าพาคนไปจับแกแล้ว……”
พูดไปพูดมานางก็หยุดพูดแล้วรีบปิดปากด้วยความหวาดกลัวแล้วมองไปรอบๆอย่างร้อนรน
จริงๆแล้วชาวบ้านที่ยืนมุงดูอยู่ก็หันไปมองหลินซวินยวน ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
“ข้าไม่ได้ฟังผิดใช่ไหมหลินซวินยวน กับแม่หลิวอยากจะจับเมียของเจียงเสี่ยวเฉียนไปแต่งงานกับหลิวเอ๋อโควเหรอ?”
“งานแต่งผีต้องหาศพมาแต่งนี่จะเอาคนเป็นไปแต่งได้ยังไง!”
“ข้าบอกแล้วว่าทำไมหลินซวินยวน ถึงปีนออกมาจากโลงและทั้งคู่ก็มาหาเมียของเจียงเสี่ยวเฉียนด้วยกันที่แท้ตั้งแต่แรกก็ตั้งใจจะทำร้ายคนอื่นสินะ!”
แม่หลิวและหลินซวินยวน หน้าแดงก่ำซ่งหยุนเฉายกมุมปากขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับสายตาเย็นชา
“ไงจะไม่พูดแล้วเหรอ หรือว่าใจไม่ดีกันแน่?”
“แก……”
หลินซวินยวน อยากด่าแต่ซ่งหยุนเฉาไม่ให้โอกาสนางพูดนางหันไปมองชาวบ้านรอบๆ“ทุกคนก็ได้ยินแล้วใช่ไหมคนพวกนี้ไม่ได้คิดดี ถ้าไม่ใช่เพราะข้าโชคดีตอนนี้ข้าก็ถูกใส่โลงไปแต่งงานกับผีแล้ว!”
“น่าสงสารสามีข้าเป็นคนซื่อๆข้าแค่อยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบๆกับเขาไม่คิดว่าจะมีคนคิดแบบนี้นะ!”
ซ่งหยุนเฉาร้องไห้ฟูมฟายชาวบ้านรอบๆก็สงสารนางมากขึ้นเรื่อยๆสายตาที่มองหลินซวินยวน และแม่หลิวก็ดูไม่ดีขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งสองคนหน้าแดงก่ำพูดอะไรไม่ออกสุดท้ายก็วิ่งหนีออกไปอย่างเงียบๆก่อนที่จะถูกชาวบ้านล้อม
ซ่งหยุนเฉาถูกชาวบ้านปลอบใจนางร้องไห้ปลอมๆออกมาสองสามหยดพอส่งชาวบ้านออกไปแล้วนางก็หันไปพบกับเจียงเสี่ยวเฉียนที่กำลังมองนางด้วยสายตาที่ซับซ้อน
สายตาของเขาหยุดอยู่บนตัวนางเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะหันกลับไปมองไปยังห้องโถง ใจของซ่งหยุนเฉาเต้นโครมครามนางรู้สึกว่าสายตาของเจียงเสี่ยวเฉียนดูแปลกๆความระมัดระวังของนักฆ่าทำให้นางนึกมากไปกว่านั้น
ชายผู้นี้คงไม่สงสัยในตัวนางใช่ไหม?
ขณะที่นางกำลังคิดอยู่ก็ได้ยินเจียงเสี่ยวเฉียนพูดเบาๆ ว่า “เจ้ามักจะพร่ำเพ้อถึงการหย่าร้างแต่ช่วงนี้กลับไม่เห็นเอ่ยถึงเลย”
ซ่งหยุนเฉาหัวเราะอย่างเขินอาย “คนเราย่อมต้องมองไปข้างหน้าตอนนี้ข้าแค่เปิดใจ”
เจียงเสี่ยวเฉียนเงยหน้าขึ้นใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติเต็มไปด้วยความห่างเหินสายตาจับจ้องอยู่ที่นาง“ความหมายของข้าคือหากเจ้าไม่ต้องการอยู่ที่หมู่บ้านข้าสามารถปล่อยเจ้าไป”
“เจ้าจะไล่ข้าไป?”
ซ่งหยุนเฉาขมวดคิ้วถึงแม้ว่านางจะมีมิติและอาวุธแต่ที่นี่เป็นยุคสมัยศักดินาที่ไม่คุ้นเคยร่างกายนี้ไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะใช้เล่ห์เหลี่ยมเก่าๆ หาเลี้ยงชีพออกจากหมู่บ้านไปนางอาจถูกจับตามองเพราะเพศหญิง
ในสถานการณ์แบบนี้การอยู่ในหมู่บ้านเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
เจียงเสี่ยวเฉียนไม่ได้ตอบแต่ถามกลับไป “เจ้าไม่อยากไป?”
ซ่งหยุนเฉาพยักหน้าอย่างไม่ลังเล “ไม่อยากข้าจะไปที่ไหนถ้าหย่ากับเจ้าใครจะรู้ว่าโลกภายนอกเป็นอย่างไร”
ได้ยินดังนั้นเจียงเสี่ยวเฉียนก็ก้มหน้าลงซ่อนแสงสว่างในดวงตา“เจ้ามีฝีมือทางการแพทย์ย่อมไม่ตายด้วยความหิว เงินทองข้าจะมอบให้เจ้ายังสามารถเขียนจดหมายให้เจ้าไปหาเลี้ยงชีพที่เมืองหลวง”
เหตุผลที่เขาเสนอหย่าร้างเพราะช่วงนี้พฤติกรรมของซ่งหยุนเฉาผิดปกติอย่างมากแทบจะบอกได้ว่านิสัยเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน
เมื่อก่อนเจียงเสี่ยวเฉียนเคยได้ยินเรื่องศิลปะการแปลงโฉมในเมืองหลวงสามารถเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ได้เขาสงสัยว่า ซ่งหยุนเฉาแท้จริงได้ตายไปกับหลิวเอ๋อโควแล้วคนที่อยู่ตรงหน้าคือคนแปลงโฉมมาเพื่อแฝงตัวอยู่ข้างๆ เขา
คนที่ทำได้เพียงคนเดียวคือองค์ชายสาม
คิดไปคิดมาเขาก็จ้องมองเข้าไปในดวงตาของซ่งหยุนเฉาอย่างแนบเนียนพยายามหาจุดผิดพลาด
อย่างไรก็ตามซ่งหยุนเฉากลับคิดว่า: เขาจะไล่ข้าไปคงไม่รู้หรอกว่าข้าย้ายวิญญาณเข้ามาเขาคิดว่าข้าเป็นผีร้ายต้องการเผาข้าตายใช่ไหม?!
นึกถึงวิธีที่คนโบราณในละครโทรทัศน์ใช้รับมือกับสิ่งชั่วร้ายซ่งหยุนเฉาก็สูดหายใจเข้าไปลึกๆนางรีบส่ายหัวแสดงความภักดีต่อเจียงเสี่ยวเฉียน“ข้าไม่อยากไปเมืองหลวงข้าไม่อยากจากเจ้า”
นางก้มหน้าลงเหลือบมองขาของเขา“ขาของเจ้าเป็นข้ารักษาเจ้าจะไม่ทำอย่างนี้กับข้าใช่ไหม?”
เจียงเสี่ยวเฉียนชะงักไป
ตั้งแต่ขาของเขาได้รับการรักษาแม้ว่าจะยังเดินโซเซแต่ก็ดีขึ้นกว่าเดิมมากนั่นหมายความว่าการรักษาของนางนั้นได้ผล
หากนางเป็นคนขององค์ชายสามนางจะไม่รักษาเขาแถมยังยุยงให้หมอตัดขาเสียอีก
คิดไปถึงตรงนั้นสีหน้าของเจียงเสี่ยวเฉียนก็ผ่อนคลายลงบ้างถึงแม้จะยังไม่เข้าใจว่าทำไมซ่งหยุนเฉาถึงมีนิสัยเปลี่ยนไปแต่ก็รู้สึกสบายใจขึ้น
เขาลุกขึ้นยืนพูดเบาๆ ว่า “……ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าข้าไม่ได้พูดอะไร”