ตอนที่ 15 ความตายคือตัวตัดสิน
ตอนที่ 15 ความตายคือตัวตัดสิน
ณ ยอดเขาขนนก วิหารขนนก
หลัวเฉินมองชายสองคนที่หมดสภาพบนพื้นด้วยความโกรธจัด
ศิษย์ทั้งสองคนนี้กล้าหาญที่จะต่อสู้กันภายในสำนักอย่างโจ่งแจ้ง และสิ่งที่ทำให้เขายิ่งโกรธแค้นก็คือหนึ่งในสองคนนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส
พวกมันคือผู้ไม่เคารพต่อกฎของสำนัก!
ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันยังไม่เคารพต่อหลัวเฉินซึ่งเป็นศิษย์เอกหัวหน้าโถงคุมกฏด้วย!
ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธแค้น เขาคำรามใส่ศิษย์ของโถงคุมกฎด้านหลังว่า “ผู้ใดทราบบ้างว่าเกิดอะไรขึ้น!”
เหล่าศิษย์ชั้นในขอบเขตสร้างรากฐานทั้งหมดก้มหน้าเงียบสนิท ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปากในคราวนี้ สุดท้ายแล้วภายในโถงคุมกฎ หลัวเฉินอยู่ในขอบเขตสร้างรากฐานขั้นปลาย ถือว่ามีอำนาจสูงสุดภายในสำนัก ใครจะกล้าเอ่ยปากกับเขาในยามโกรธ? ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงจะกลายเป็นเป้าระบายอารมณ์แล้ว
หลัวเฉินจ้องมองเหล่าศิษย์โถงคุมกฏทั้งสิบห้าคนอย่างเย็นชา สายตาที่กวาดผ่านแต่ละคน ทำให้พวกเขาก้มหน้าลง มองไปที่พื้นอย่างกระวนกระวาย
กระทั่งมีศิษย์คนหนึ่งทนแรงกดดันไม่ไหว เขากล่าวแผ่วเบาว่า “ควรปลุกศิษย์ทั้งสองคนนี้ขึ้นมาสอบถามแยกกัน น่าจะทราบสาเหตุได้”
หลัวเฉินเพียงเหลือบมองเขาด้วยแววตาเกรี้ยวกราด ก่อนจะกัดฟันตอบกลับไปว่า “ทำตามที่เจ้ากล่าว!”
ศิษย์สองคนรีบเข้ามาแบ่งแยกทั้งสองออกจากกัน นำตัวไปยังห้องโถงด้านข้างของมหาวิหาร
ฉีเฟิงวางร่างของหลินมู่ลงบนเตียงในห้องโถงข้าง ๆ หยดน้ำเย็นลงบนใบหน้าของเขา หลินมู่รู้สึกเย็นสบายบนใบหน้าก็ค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้น
ฉีเฟิงดีใจมากแต่ก็รีบระงับความสุขบนใบหน้าอย่างรวดเร็ว เขาเอ่ยปากเสียงหนัก “ข้าคือศิษย์จากโถงคุมกฎ มีเรื่องต้องพูดกล่าวกับเจ้า เหตุใดจึงกล้าหาญต่อสู้กับผู้อื่นภายในสำนัก? ทั้งเจ้ายังทำร้ายเขาจนบาดเจ็บสาหัส!”
หลินมู่ตื่นขึ้นทันทีเมื่อได้ยินคำว่าโถงคุมกฎ แน่นอนว่าภายในสำนักดาบพันปักษา ชื่อเสียงของโถงคุมกฎนับว่าโด่งดังยิ่ง ไม่มีใครไม่รู้ว่าศิษย์ที่ทำผิดกฎจะถูกลงโทษรุนแรง บางคนถึงกับตายตกด้วยซ้ำ
หลินมู่ไม่ได้คิดอะไรมาก เขาเตรียมคำพูดไว้ล่วงหน้าแล้ว จึงกล่าวออกไปตามตรง “หม่าฮวาหยวนอาศัยอำนาจของเขาในฐานะศิษย์แรงงานขโมยยาผนึกวิญญาณของข้าไปถึงสามเดือน ข้าโกรธแค้น แต่สู้เขาไม่ได้เพราะขอบเขตยุทธ์ข้าด้อยกว่า เขาจึงลาออกจากงานรับใช้ และพยายามหลีกเลี่ยงเขา แต่เขายังคงรังควานข้า หาเรื่องมาดูถูกข้าอยู่บ่อยครั้ง วันนี้เขาปรากฏตัวขึ้นบนถนนเพื่อมาขวางทางข้า และลงมือทำร้ายข้าก่อน ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากป้องกันตัว แต่ไม่คิดว่าเขาจะประมาทได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้าขอวิงวอนท่านศิษย์โถงคุมกฏ โปรดช่วยข้าตัดสินคดีนี้ด้วยความยุติธรรมเถิด”
ฉีเฟิงจ้องมองใบหน้าของหลินมู่ไม่วางตา สุดท้ายแล้วเขาก็เห็นว่าสีหน้าของอีกฝ่ายสงบนิ่ง และไม่ได้โกหก แต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะก้าวไปด้านหน้าแล้วกล่าวเสียงหนัก “ทุกสิ่งที่เจ้ากล่าวมาเป็นจริงหรือไม่? หากมีการโกหกแม้เพียงครึ่งคำ ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!”
หลินมู่รีบตอบกลับทันที “ทุกสิ่งที่ข้ากล่าวล้วนเป็นความจริงแน่นอน ข้าไม่กล้าโป้ปดท่าน”
ในตอนนี้หลินมู่ไม่ได้มุ่งหวังผลงานอะไร เพียงแค่ไม่อยากมีเรื่องยุ่งยาก เขามั่นใจว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นความจริง เขาเพิ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นห้า ในขณะที่หม่าฮวาหยวนอยู่ในขั้นเจ็ดแล้ว ด้วยการอ้างว่าเป็นอุบัติเหตุคนอื่นคงจะไม่สงสัย
ฉีเฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าจะเชื่อเจ้าไว้ก่อน ตามข้ามาเถอะ พี่ใหญ่หลัวเฉินของข้ามีวิจารณญาณเฉียบแหลม แน่นอนว่าเขาจะตัดสินให้เจ้าอย่างยุติธรรม”
หลินมู่ลุกขึ้นยืนอย่างเซื่องซวน รู้สึกมึนงง ศีรษะหนักอึ้ง ขาเดินเซไปมา ก้าวหนักก้าวเบา เขาเดินตามฉีเฟิงไปยังวิหารขนนก
เมื่อมาถึงวิหารขนนกแล้ว ฉีเฟิงเดินไปหาหลัวเฉินก่อนจะกระซิบเหตุผลของหลินมู่ หลังจากหลัวเฉินได้ยินอย่างนั้นแล้วเขาก็ยังไม่เผยท่าทีใด ๆ
เขาเพียงหันไปหาหลินมู่แล้วกล่าวถาม “เจ้ากล่าวความจริงหรือไม่?” สายตาจับจ้องหลินมู่อย่างหนักแน่น
หลินมู่ไม่คิดต่อต้านใด ๆ เขาเงยหน้าขึ้นก่อนจะกล่าวตอบรับ “เป็นความจริงขอรับ ขอศิษย์พี่ใหญ่ช่วยตัดสินให้ข้า”
แววตาของหลินมู่ใสซื่อไร้เดียงสา ไม่เหมือนคนโกหกแม้แต่น้อย ตอนนี้หลัวเฉินพยักหน้ารับก่อนจะละสายตาจากไป
ครู่ต่อมา หม่าฮวาหยวนออกมาจากหอคอยด้านข้าง บาดแผลที่หน้าอกได้รับการปฐมพยาบาลเรียบร้อยแล้ว ไม่มีเลือดไหลออกจากบาดแผลแล้ว [หม่าฮวาหยวนมองเห็นหลินมู่ไม่ไกล ดวงตาของเขาฉายแววอาฆาตจ้องมองหลินมู่อย่างเกรี้ยวกราด
ศิษย์ที่เดินมากับหม่าฮวาหยวนกระซิบบางอย่างกับหลัวเฉิน หลังจากหลัวเฉินรับฟังแล้ว สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนทันที ใบหน้ากลายเป็นเย็นชาราวกับภูเขาน้ำแข็ง
หลัวเฉินมองหม่าฮวาหยวนที่นอนอยู่บนพื้น พร้อมตะคอกเสียงดัง "หม่าฮวาหยวน เหตุใดเจ้าทำไมถึงจงใจยั่วยุลงมือทำร้ายผู้อื่นก่อนล่วงหน้า?"
ร่างกายของหม่าฮวาหยวนสั่นระริก ไขมั่นกระเพื่อมจนมองเห็นได้ เขารีบโต้แย้งเสียงดัง “มันดูถูกข้าด้วยการเรียกชื่อของข้าโดยตรง เวลานั้นข้าไม่อาจทนได้จึงต้องการสั่งสอนบทเรียนให้ แต่ใครจะทราบว่าไอ้บ้านี่มีพิษสงร้ายกาจ มันคิดต่อสู้กับข้าจริงจังและลงมือทำร้ายข้าจนบาดเจ็บสาหัส ตัวข้าคือผู้เสียหาย ศิษย์พี่ใหญ่จึงต้องเข้าข้างข้า!”
หลัวเฉินตะโกนลั่น “เจ้ายังกล้าเถียงข้าอีกหรือ? เช่นนั้นข้าจะถามอีกหนึ่งคำถาม เหตุใดเจ้าจึงต้องยักยอกยาของหลินมู่ด้วย? คนเช่นเจ้ามีเจตนาเช่นไร? มีคุณสมบัติพอจะเป็นศิษย์พี่ของผู้ใดได้?”
หม่าฮวาหยวนหลั่งเหงื่อเย็นไหลซึมออกมาบนหน้าผาก เมื่อรู้ว่าสิ่งที่ทำไว้ถูกเปิดเผยแล้ว แต่ยังคงยืนกรานเสียงแข็ง “ข้าแอบยักยอกยาของเขา เขาทำร้ายข้าจนบาดเจ็บ แบบนี้ก็คงจะถือว่าชดเชยกันแล้ว”
หลัวเฉินถึงกับเย้ยหยัน “น่ารังเกียจเสียจริง เจ้าทำผิดแต่กลับปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา สำนักดาบพันปักษาของพวกเรามีคนชั่วช้าเช่นนี้ด้วยหรือ? เอาล่ะ… ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ แน่!”
หม่าฮวาหยวนไม่สนใจว่าตนเองกำลังบาดเจ็บ เขารีบลุกขึ้นพร้อมคุกเข่าแล้วร้องไห้อ้อนวอน “ศิษย์พี่ไว้ชีวิตข้าด้วย ข้าทำไปโดยไม่รู้ตัว ขอร้องช่วยปล่อยข้าไปเถอะ”
หลัวเฉินไม่คิดสนใจก่อนจะตอบกลับเสียงเย็นชา “หม่าฮวาหยวน เจ้ารังแกผู้บริสุทธิ์ภายในสำนัก ยั่วยุโดยเจตนา ก่อเรื่องโจ่งแจ้ง ตามกฎของสำนักแล้วเจ้าจะต้องถูกคุมขังในคุก 3 เดือน และยาวิญญาณที่เคยขโมยไปทั้งสามขวดจะถูกส่งคืนให้กับเจ้าของ… ดำเนินการจับกุม!”
หม่าฮวาหยวนรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า เขาทรุดตัวลงนั่งบนพื้นทันที การถูกกักตัวไว้สามเดือนแม้จะไม่ร้ายแรงนัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเบา สามเดือนนี้เขาห้ามออกจากถ้ำบนเขาหลังเขาแม้แต่ก้าวเดียว แล้วยังต้องเผชิญกับลมหนาวเย็นตลอดทั้งวัน ทุก ๆ ห้าวันจะมีคนมาส่งอาหารให้หนึ่งมื้อ สำหรับหม่าฮวาหยวนที่เคยชินกับการใช้ชีวิตสุขสบาย นับว่าเป็นการทรมานยิ่งกว่าการฆ่าเขาเสียอีก
มือที่สั่นเทาของหม่าฮวาหยวนหยิบเอายาวิญญาณสามขวดออกจากถุงเก็บของ จากนั้นส่งให้หลินมู่ แต่ก็ยังไม่วายที่จะจ้องมองหลินมู่ด้วยความอาฆาต หากสายตาสามารถฆ่าคนได้หลินมู่คงตายไปแล้วนับหมื่นครั้ง
หลินมู่ยื่นมือรับยาวิญญาณทั้งสามขวด หมุนตัวกลับ ไม่คิดสนใจเขาอีกเลย
หลัวเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “จบเรื่องเท่านี้ ต่อไปหากข้าจับได้อีก ข้าจะไม่ไว้ชีวิต แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเองเสีย”
หลินมู่รีบพยักหน้ารับพร้อมลุกขึ้นยืน มุ่งหน้าออกจากหอคอย
อีกด้านมีคนพยุงหม่าฮวาหยวนพาเขาไปยังหลังเขาเพื่อกักตัวไว้สามเดือน หม่าฮวาหยวนมอง หลินมู่เดินออกจากวิหารขนนกอย่างไร้รอยขีดข่วน แต่ตัวเองกลับบาดเจ็บสาหัส ยาวิญญาณสามขวดที่ขโมยไปก็ไม่สามารถรักษาไว้ได้ ไฟโกรธลุกโชนในใจ ก่อนจะร้องคำรามเสียงดัง “หลินมู่ ข้าจะต่อสู้กับเจ้าจนตาย!”
หลังจากประโยคนี้ดังขึ้น วิหารขนนกตกอยู่ในความเงียบทันที
การต่อสู้จนตายไม่ค่อยเกิดขึ้นในสำนักดาบพันปักษา แต่เป็นวิธีแก้ไขความขัดแย้งที่ดี ศิษย์หลายคนมีความขัดแย้งที่ไม่อาจประนีประนอมได้ แต่ห้ามต่อสู้กันในสำนัก ดังนั้นการต่อสู้จนตายจึงเกิดขึ้นได้ การต่อสู้จนตายหมายถึงทั้งสองฝ่ายตกลงทำสัญญา ไม่ว่าจะแพ้ชนะมีเพียงความตายเท่านั้น ไม่มีผู้ใดจะสามารถยอมแพ้ได้
หากปราศจากความเกลียดชังอย่างถึงที่สุด ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะเลือกวิธีการต่อสู้จนตัวตาย หม่าฮวาหยวนคิดอาศัยขอบเขตยุทธ์ที่สูงกว่าเพื่อฆ่าหลินมู่
หลินมู่หยุดฝีเท้าอยู่ที่ประตูโถง ในใจลังเลว่าจะยอมรับคำท้าหรือไม่
หากไม่ยอมรับก็สามารถรอดพ้นจากภัยพิบัติได้ แต่เขาจะไม่มีวันมีหน้ามีตาในสำนักอีกต่อไป ไม่มีใครเคารพเขา แม้แต่การทะลวงเข้าสู่ขอบเขตสร้างรากฐานก็ไม่แน่ว่าจะได้เป็นศิษย์ชั้นใน
แต่ถ้ารับ ก็มีโอกาสตายสูง หลินมู่คิดว่ามันไม่คุ้มค่าเลย
หลินมู่หันกลับมา กำลังจะปฏิเสธ หม่าฮวาหยวนก็พลันเสียดสีว่า “เจ้าไม่กล้าหรอก แต่ข้าจะบอกอะไรให้หนึ่งอย่าง เจ้าจะต้องรับคำท้านี้ เพราะไม่ว่าจะรับหรือไม่รับก็ตาม เมื่อข้าออกมาจากคุกแล้ว ข้ายอมถูกกฎของสำนักลงโทษเพื่อแลกกับการฆ่าเจ้าให้ตาย”
เห็นชัดแล้วว่าหม่าฮวาหยวนหมดสิ้นหนทาง เขาไม่สนใจเหล่าศิษย์ของโถงคุมกฏโดยรอบด้วยซ้ำ
ฉีเฟิงส่งสัญญาณให้หลินมู่ปฏิเสธ
หลินมู่มองเขาด้วยสายตาเต็มไปด้วยความขอบคุณ แต่เขารู้ว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่น จ้องมองไป หม่าฮวาหยวน และตอบไปว่า “ก็ได้ ข้าตกลง”
เมื่อได้ยินหลินมู่ตอบเช่นนั้น หม่าฮวาหยวนระเบิดหัวเราะเสียงดัง เขารู้สึกว่าแผนการของเขาสำเร็จ เหล่าศิษย์ของโถงคุมกฏมองดูหลินมู่ด้วยสีหน้ากังวล
หลัวเฉินจ้องมองหลินมู่อย่างชื่นชม ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่
การต่อสู้จนตาย ไม่ว่าขอบเขตยุทธ์จะสูงต่ำแค่ไหนล้วนเป็นเรื่องใหญ่ในสำนัก โดยมีโถงคุมกฏทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสิน และจัดขึ้นที่จัตุรัสหน้าวิหารขนนก
ทันใดนั้น เหล่าศิษย์โถงคุมกฏหยิบกระดาษออกมาเขียนสัญญาการต่อสู้จนตาย หม่าฮวาหยวนลงนามชื่อของตัวเองลงบนกระดาษ จากนั้นยื่นให้หลินมู่ด้วยความเหยียดหยาม
หลินมู่รับสัญญาการต่อสู้จนตาย มือของเขาสั่นเทา แต่เขาก็ยังลงนามชื่อของตัวเองลงบนกระดาษอย่างเด็ดเดี่ยว
เมื่อสัญญาการต่อสู้จนตายได้ลงนามแล้ว หลินมู่และหม่าฮวาหยวนจะต้องต่อสู้กันจนตาย
หม่าฮวาหยวนหัวเราะเสียงดังถูกพาตัวออกจากวิหารขนนกเพื่อไปกักตัวไว้ที่หลังเขา
ส่วนหลินมู่เดินออกจากยอดเขาขนนกด้วยความกังวลใจจนกระทั่งกลับสู่บ้านน้อยของตัวเอง