บทที่ 82 สายลมเปลี่ยนทิศ
ดวงตาของโม่หลินเป็นประกาย เขามองหลัวเฉิงแล้วพยักหน้าเล็กน้อย
ยามตระกูลหลินมากกว่าสิบคนเข้าล้อมทั้งสองไว้ในตอนนี้ ยามอ้วนเตี้ยเพ่งมองหลัวเฉิงด้วยแววตาเย็นชาขณะที่ปากกล่าววาจาเย้ยหยัน
“หลัวเฉิง นับว่าเจ้าใจกล้ายิ่งนัก ที่กล้ามายังเมืองนี้!”
หลัวเฉิงยังคงทำสีหน้าเรียบเฉยแล้วกล่าวอย่างใจเย็น “หลินอวิ๋นสูญเสียเมืองหนานเฉิงฟางให้ข้าแล้วตั้งแต่งานชุมนุมล่าสัตว์ ไฉนข้าจึงจะไม่กล้ามายังเมืองหนานเฉิงฟางอาณาเขตของข้าเล่า”
“อาณาเขตของเจ้างั้นหรือ?”
ยามอ้วนเตี้ยหัวเราะอย่างเหยียดหยาม “เจ้ายังกล้ากล่าวอวดดีแม้กระทั่งตอนที่กำลังจะตาย สหายข้าสังหารมันซะ!”
ด้วยน้ำเสียงตะโกนอย่างอำมหิต ยามอ้วนเตี้ยชักดาบออกจากเอวแล้วปรี่เข้าหาหลัวเฉิงทันที
“ลงนรกไปซะ! เกิดชาติหน้าก็รู้จักสำเนียกตนเองเสียบ้าง”
ยามอ้วนเตี้ยแย้มยิ้มอย่างอำมหิต ขณะในมือฟาดฟันดาบขนาดใหญ่เข้าใส่ศีรษะ หมายกุดหัวของหลัวเฉิน!
ฟึบ!
ขณะเดียวกัน ยามตระกูลหลินหลายคนก็แทงหอบยาวในมือตนโจมตีโดยพร้อมเพียงกัน พวกเขาเชื่ออย่างสนิทใจว่า การโจมตีครั้งนี้จะสามารถสังหารหลัวเฉิงได้ทันที!
ดวงตาของหลัวเฉิงเปล่งประกายด้วยจิตสังหาร เขาเคลื่อนไหวฝีเท้าหลบเลี่ยงดาบขนาดใหญ่ของยามอ้วนเตี้ยทันใด จากนั้นโคจรพลังยุทธ์ไปทั่วร่าง แล้วเหวี่ยงขาเตะสวนออกไปอย่างรวดเร็ว
ปัง! ปัง! ปัง!
ด้วยแรงเตะที่มีพลังหลายพันจิน หอกในมือของยามตระกูลหลินหลายคนที่พุ่งเข้าใส่หลัวเฉิงก็แตกกระจายเป็นชิ้นๆ ด้วยแรงเตะอันมหาศาลส่งร่างพวกเขาหลายคนลอยลิ่วออกไปกระแทกพื้น ก่อนกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ท้ายที่สุดพวกเขาก็ต้องนอนคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดอยู่บนพื้น
ทว่ายามอ้วนท้วนนั้นมีสภาพดีกว่าผู้อื่นเล็กน้อย เขาที่ทอดร่างนอนอยู่บนพื้นนั้น มีเพียงแขนขวาที่หัก แต่ปากนั้นก็ยังคงกระอักเลือดอยู่ แต่เมื่อเขาเห็นหลัวเฉิงสืบเท้าเข้าหา ก็พลันเปิดปากตะโกนเสียงดัง
“รอช้ากันอยู่ไย รีบฆ่ามันเร็วเข้า!”
“ฆ่า!”
ทันทีสิ้นเสียงคำสั่ง เหล่ายามตระกูลหลิน หลายคนก็รีบพุ่งตัวเข้าหาหลัวเฉิงอีกระรอกหนึ่ง
หลัวเฉิงไม่คิดหลบหรือล่าถอยแม้เพียงก้าว เขาตั้งใจเผชิญหน้ากับเหล่ายามตระกูลหลินโดยตรง ด้วยแววตาไม่ปรากฏความหวาดหวั่นแม้แต่น้อย ทันทีที่ยามตระกูลหลินบรรลุถึง ก็ถูกปราณหมัดของหลัวเฉิงกระแทกเข้าอย่างแรง
ปัง! ปัง! ปัง!…
คราใดที่หลัวเฉิงเหวี่ยงหมัดชกทะลวง กระดูกของยามตระกูลหลินจะสะบั้นหักแล้วสิ้นใจตายไปทีละคน!
ด้วยเวลาเพียงสองหรือสามลมหายใจเท่านั้น ยามตระกูลหลินที่ยืนอย่างหนาตาเมื่อครู่ ก็บางลงจนเหลือไม่ถึงสิบคน
“หนีเร็ว!”
เมื่อประสบพบฉากเช่นนี้ ไหนเลยพวกเขาจะด้านหน้าอยู่ได้ ยามตระกูลหลินร่ำร้องด้วยความหวาดกลัว จากนั้นพลันทิ้งหอกดาบแล้วตื่นหนีกันไปคนละทิศทาง
ครั้นเห็นยามตระกูลหลินล่าถอย หลัวเฉิงก็หาได้คิดไล่ตามพวกมันไม่ แต่สายตาเขาขณะนี้ยังทอดมองร่างของยามอ้วนเตี้ยที่กำลังนอนอยู่บนพื้น
เปลี่ยนแปลงมนุษย์!
ยอมอ้วนท้วนกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคือง ขณะที่ปากแข็งเกร็งกล่าวน้ำเสียงสั่นเครือออกมา
“จะ… เจ้าทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์แล้วงั้นหรือ! นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไร!”
หลัวเฉิงยกฝ่าเท้าอย่างไม่แยแสแล้วเหยียบย่ำบนผืนอกของชายอ้วนท้วน แล้วกล่าวน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ข้าจะคืนวาจาที่เจ้าพ่นออกมาเมื่อครู่ เกิดชาติหน้าก็จงรู้จักสำเนียงตัวเองซะบ้าง”
“ได้โปรด อย่าฆ่าข้าเลย!”
ชายวัยกลางคนอ้วนเตี้ยสีหน้าผันเปลี่ยนเป็นซีดเซียว ทั่วสรรพางค์กายของเขาสั่งเทาขณะเอ่ยปากขอความเมตตา
บูม!
ทันใด เสียงร่ำร้องขอความเมตตาก็ชะงักขาดกะทันหัน พร้อมกับเลือดที่สาดกระเซ็นปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณโดยรอบ
ขณะที่หลัวเฉิงดึงมือกลับ เลือดที่ยังอาบอยู่ตรงกำปั้นก็ไหลหยด เขาเอี้ยวตัวหันหลังแล้วสืบเท้าย่างเข้าเมืองหนานเฉิงฟางทันที
โม่หลินเหลือบมองศพมากมายที่ทอดร่างอยู่ตรงพื้น แล้วเดินตามหลังหลัวเฉิงไปด้วยท่าทางเฉยเมย
จนกระทั่งทั้งสองเข้าไปในเมืองหนานเฉิงฟาง ผู้คนโดยรอบที่เฝ้าดูเหตุการณ์จึงได้สติสัมปชัญญะกลับมาอีกครั้ง
“นี่... เข้าไม่ได้กำลังฝันไปอยู่ใช่หรือไม่!”
“เขาสังหารคนได้ด้วยหมัดเดียว! แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในขั้นหลอมกายาระดับเก้าก็ยังมิอาจหยุดหลัวเฉิงได้หรือ เขาจะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!”
“นั่นมิเท่ากับว่า เขาได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ไปแล้วหรือ แต่อายุเขาในตอนนี้เกรงว่ายังไม่ถึงสิบสี่ปีด้วยซ้ำ!”
“ผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ที่มีอายุน้อยกว่าสิบสี่ปี! แต่วิญญาณยุทธ์เขาที่ตื่นขึ้นมานั้นมิใช่วิญญาณยุทธ์ขยะหรอกหรือ ไฉนผู้ที่มีวิญญาณยุทธ์เช่นนั้นจึงแข็งแกร่งได้ขนาดนี้”
“ดูนั่น หลัวเฉิงเข้าไปในเมืองหนานเฉิงฟางแล้ว! หรือว่าเขาคิดจะจัดการเรื่องทั้งหมดนี้ด้วยตนเอง”
เมื่อมองหลัวเฉิงเข้าสู่เมืองหนานเฉิงฟาง ทุกคนก็ต่างกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ หัวใจพวกเขาเต้นระรัวพร้อมกับความรู้สึกตกตะลึงในใจ
สายลมที่พัดอยู่ในเมืองฉีซาน กำลังจะเปลี่ยนทิศแล้ว!