บทที่ 81 เยือนเมืองหนานเฉิงฟาง
เมืองหนานเฉิงฟางตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองฉีซาน ครอบคลุมพื้นที่กว่าหลายพันหมู่ มีโรงเตี๊ยมหลายแห่ง บ่อนพนัน หอนางโลม ฯลฯ อัตราการใช้จ่าย ณ เมืองแห่งนี้นั้น สูงจนเป็นที่น่าประหลาดใจ
ซึ่งค่าธรรมเนียมและเงินปันผลที่ตระกูลหลินได้รับนั้น เป็นตัวเลขมหาศาลดั่งดาราที่ลอยอยู่บนฟากฟ้า นั่นจึงทำให้เมืองหนานเฉิงฟางกลายเป็นรากฐานของตระกูลหลิน
ในวันธรรมดาทั่วไป มียามลาดตระเวนของตระกูลหลินเพียงหนึ่งหรือสองกลุ่ม ที่คอยเฝ้าระวังและสังเกตการณ์ในเมืองหนานเฉิงฟาง ให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย
แต่ทว่า วันนี้กลับแตกต่างจากวันวานในอดีตนัก
เพราะบนท้องถนนในยามนี้ เต็มไปด้วยยามลาดตระเวนของตระกูลหลิน ที่เดินเพ่นพ่านอยู่ในเมือง ทั้งยังมีผู้คนฝีมือสูงส่งของตระกูลหลินลาดตระเวนอีกด้วย
ที่ประตูทางเข้าเมืองหนานเฉิงฟางตอนนี้ มียามลาดตระเวนของตระกูลหลินสองกลุ่มคอยปกปักอยู่ที่นั่น ขณะเดียวกันพวกเขาก็เริ่มสนทนาอย่างออกรส
“ข้าสงสัยนัก พวกเจ้าคิดว่าวันนี้ตระกูลหลัวจะยังกล้ามาหรือไม่”
ยามลาดตระเวนตระกูลหลิน มองไปยังอีกฟากฝั่งของถนนเบื้องหน้า
“ก็คิดว่าพวกมันคงไม่กล้ามาแล้วกระมัง ก่อนหน้านี้พวกมันเคยส่งคนมามากมาย แต่ก็ถูกพวกเราจัดการลงไปอย่างง่ายดาย ไหนเลยจะกล้ากลับมากระทำการขายหน้าอีกครั้งเล่า”
ยามลาดตระเวนผู้หนึ่งรูปร่างอ้วนเตี้ยกำหมัดแน่น เหยียดมุมปากกระยิ่มยิ้มเยาะ “หากพวกมันกล้ากลับมาอีกครั้ง ข้าจะทุบตีพวกมันจนต้องร้องขอชีวิต อย่างไรเสีย คนไร้ค่าของตระกูลหลัวก็ไร้ซึ่งศักดิ์ศรีอยู่แล้ว แม้ข้าจะถ่มน้ำลายใส่ พวกมันก็เต็มใจจะกลืนอย่างไม่กล้าเอ่ยขัด ลองมาเยือนเมืองหนานเฉิงฟางอีกครั้งสิ หากพวกมันไม่กลัวตาย!”
“ใช่แล้ว เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าหลัวเฉิงคนไร้ค่าของตระกูลหลัวถูกฝึกฝนมาอย่างไร เห็นได้ชัดว่าวิญญาณยุทธ์ของมันนั้นเป็นแค่ขยะ แต่กลับสามารถเอาชนะปรมาจารย์น้อยหลินอวิ๋นได้!”
ยามอ้วนเตี้ยกล่าววาจาเย้ยหยัน “ไยต้องคิดมาก มันก็ต้องเป็นโอสถที่ตระกูลจีทิ้งไว้อยู่แล้ว แต่พวกคนตระกูลหลัวนั้นโง่เง่า ที่ยอมให้คนไร้ค่านี้กลืนมันลงไป อย่างไรเสีย คนไร้ค่าก็ยังเป็นแค่คนไร้ค่าอยู่วันยังค่ำ ไม่มีทางที่มดปลวกตัวหนึ่งจะกลายเป็นมังกรทะยานสู่ฟากฟ้าได้!”
“นั่น พวกเจ้าดูสิ นั่นหลัวเฉิงแห่งตระกูลหลัวมิใช่หรือ!”
จู่ๆ หนึ่งในยามลาดตระเวนตรงนั้นก็ต้องผงะไปชั่วครู่ แล้วเอ่ยเตือนคนโดยรอบ
ณ ที่อีกฟากฝั่งหนึ่งของถนน มีสองร่างที่กำลังย่างกรายเข้ามาในเมืองหนานเฉิงฟางอย่างเชื่องช้า
ผู้เดินนำอยู่ข้างหน้าเป็นชายหนุ่มในชุดสีดำที่มีคิ้วดุจดาบ ในดวงตามุ่งมั่นทอประกายราวกับดวงดารา ใบหน้านั้นหล่อเหลายิ่ง ถัดจากเขาคือชายชราผู้หนึ่ง ซึ่งสวมอาภรณ์สีดำเช่นกันทุกย่างก้าวผ้าคลุมด้านหลังพลันโบกสะบัด
“ใช่มันจริงๆ ด้วย! นี่มันกล้ามาเยือนเมืองหนานเฉิงฟางกันเพียงสองคนงั้นหรือ!”
ยามอ้วนเตี้ยเพ่งสายตามองยังบุรุษหนุ่มอาภรณ์ดำ ก่อนที่รู้ม่านตาเขาจะตีบแคบลง เผยให้เห็นสีหน้าอันอำมหิตยิ่ง
“พวกเจ้าดูสิ นี่มิใช่คนไร้ค่าที่ทำให้นายน้อยหลินอวิ๋นพิการหรอกหรือ เขาผู้นี้คือคนที่ทำให้ตระกูลหลินเราต้องประสบพบความสูญเสียครั้งใหญ่ ผู้นำตระกูลเราจงเกลียดจงชังเขายิ่งนัก หากว่าเราทำให้เขาพิการได้แล้วไซร้ ท่านผู้นำจะต้องตบรางวัลให้พวกเราอย่างงามเป็นแน่!”
ทันทีที่ได้ยินสิ่งนี้ สายตาของยามลาดตระเวนตระกูลหลินคนอื่นๆ ก็วาวโรจน์ด้วยความโลภปรากฏในจิตใจ
ผู้นำตระกูลหลินเพิ่งประกาศเอาไว้ว่า ไม่ว่าคนจากตระกูลหลัวคนใดก็ตาม ที่ย่างกรายเข้ามายังเมืองหนานเฉิงฟางนี้ มันจะต้องถูกตัดมือเท้าทันที! หากใครก็ตามที่สามารถเอาชนะทหารยามของตระกูลหลัวได้ เขาจะปูนบำเหน็จเงินรางวัลให้ห้าตำลึง!
เพียงเอาชนะทหารยามของตระกูลหลัว ก็จะได้รับค่าหัวห้าตำลึง แต่หากเป็นนายน้อยของตระกูลหลัวแล้ว เงินรางวัลจะมากขนาดไหนกัน
“แต่ว่า หลัวเฉิงได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาขั้นสุดยอดแล้ว กระทั่งปรมาจารย์น้อยหลินอวิ๋นยังไม่สามารถเอาชนะเขาได้ เราไม่ควรต้องตามผู้อาวุโสของตระกูลนั้นหรือ?”
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ยามตระกูลหลินหลายคนก็เหลียวหน้ามองกันด้วยความลังเล
เพราะในกลุ่มของพวกเขาตอนนี้ ส่วนใหญ่อยู่ในตอนกลางของท่านหลอมกายาเท่านั้น มีเพียงสี่คนที่อยู่ตอนปลายของขั้นหลอมกายา ซึ่งในสี่คนนั้น มีเพียงสองคนที่อยู่ในขั้นหลอมกายาระดับ เก้า!
“ไม่จำเป็นต้องตามพวกเขาให้เปลืองแรง”
ยามอ้วนเตี้ยซึ่งเป็นหนึ่งในสองคนที่อยู่ในขั้นหลอมกายาระดับเก้า ส่ายศีรษะพลางเหยียดยิ้มเยาะ
“ขั้นหลอมกายาขั้นสุดยอดนั้น มีพลังเหนือพวกเราเพียงนิดเดียว ทั้งพวกเรายังมีอาวุธมากมายถึงเพียงนี้ ย่อมเป็นเรื่องง่ายที่จะเอาชนะเขาอยู่แล้ว ไยต้องมอบผลประโยชน์นี้ให้ผู้อื่นด้วยเล่า!”
หลังได้ฟังวาจาเช่นนั้น ยามหลายคนก็ตามตระหนักนึกว่ามันล้วนสมเหตุสมผล
ตราบใดที่หลัวเฉิงไม่ได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ ร่างกายเขาก็ยังสามารถถูกทำลายได้ด้วยหอกดาบ!
“รอฟังคำสั่งจากข้า แล้วค่อยเริ่มลงมือพร้อมกัน”
ยามอ้วนเตี้ยเป็นผู้นำกลุ่มในยามนี้ จากนั้นเดินเข้าหาหลัวเฉิงพร้อมกับคนมากกว่าสิบ
“เฮ้ยพวกเจ้า วันนี้เรามีอะไรดีๆ ให้ดูแล้ว!”
“เอ๊ะ นั่นมันหลัวเฉิงแห่งตระกูลหลัวมิใช่หรือ ไฉนเขาจึงกล้ามาที่นี่กันเพียงสองคน นี่มันมิเท่ากับบุกเข้าถ้ำเสือหรอกหรือ?”
“ชีวิตเขาคงจบแล้ว! ข้าได้ยินคำสั่งที่ผู้นำตระกูลหลินประกาศออกมาวันนี้ หากใครก็ตามจากตระกูลหลัวย่างกรายเข้ามายังเมืองหนานเฉิงฟาง จะต้องถูกตัดมือเท้า! เกรงว่าหลัวเฉิงคงไม่อาจออกไปได้ด้วยร่างที่สมบูรณ์แน่!”
“หากว่าหลัวเฉิงตายที่นี่วันนี้ ตระกูลหลัวและตระกูลหลินคงได้ทำสงครามกันเป็นแน่!”
ผู้คนสัญจรผ่านไปมาโดยรอบ เริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศไม่ดี จึงกระจายตัวกันออกเป็นวงกว้างแล้วยืนดูห่างๆ อย่างไม่ไกลนัก
บุรุษหนุ่มในชุดดำคือหลัวเฉิง เมื่อเห็นยามลาดตระเวนของตระกูลหลินเข้ามาล้อม จึงหันไปกระซิบกับโม่หลิน
“ผู้อาวุโสโม่หลิน สิ่งที่ท่านต้องทำคือช่วยข้าจัดการผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสามขึ้นไป”