ตอนที่แล้วบทที่ 71 เมืองหนานเหมิน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 73 มีแม้กระทั่งกลิ่น

บทที่ 72 หลิวเสี่ยวยู่เอ๋อ


"ท่านวีรบุรุษหนุ่ม งานเลี้ยงพอใจพวกท่านหรือไม่ขอรับ"

"สุดยอดเลยขอรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อขาว มันเป็นอาหารที่แท้จริงทั้งในด้านสีกลิ่นและรสชาติ ข้ากล้าพูดว่านี่เป็นอาหารที่ดีที่สุดที่ข้าเคยทานมาเลยขอรับ"

"ฮ่าฮ่า เนื้อขาวนั้นเป็นผลิตภัณฑ์พิเศษที่มีชื่อเสียงของตระกูลหลี่ของเราน่ะขอรับ"

หลังจากการต้อนรับที่อบอุ่นสิ้นสุดลง ผู้ดูแลซุยนําชูเหลียงและหลินเป่ยไปเยี่ยมชมสวนหลี่เจียจวง มันล้อมรอบด้วยทิวทัศน์ที่งดงาม ประดับประดาด้วยดอกไม้และของตกแต่งอันหรูหรา ศาลาต่างๆ ตั้งอยู่ระหว่างต้นไม้

หลินเป่ยหันไปพูดกับชูเหลียง "ถ้าเราตัดสินใจออกจากฉูซานในสักวันและสร้างคฤหาสน์แบบนี้ มันน่าจะยอดเยี่ยมมาก"

ชูเหลียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าขอให้อยู่บนยอดเขาของเราตลอดไป”

"มันฟังดูน่าเบื่อเกินไป" หลินเป่ยโต้กลับ "หากการปฏิบัติของข้าสิ้นสุดลง ข้าจะลงเขาเพื่อเปิดสถานเริงรมณ์ ไม่ใช่เพื่อธุรกิจ แต่เพื่อความบันเทิงให้ตัวเองเท่านั้น"

ชูเหลียงไม่เข้าใจและดูถูกเล็กน้อย ถามว่า "แล้วนั่นมันแตกต่างจากการมีภรรยาหลายคนอย่างไร"

หลินเป่ยอธิบายอย่างมั่นใจ “การทําบางสิ่งกับภรรยาตัวเองและการทําอะไรกับภรรยาของคนอื่นนั้นแตกต่างกันมาก”

"ห้ะ" ชูเหลียงไม่อยากเชื่อคําพูดที่ได้ยินเมื่อกี้

เรื่องตลกของหลินเป่ยที่กล่าวออกมาแบบไม่คิดของหลินเป่ยทำให้ชูเหลียงแทบไม่เชื่อหูตัวเองเลยทีเดียว

แต่ละรุ่นนิกายฉูซานมีลูกศิษย์ไม่ต่ำกว่าร้อยคน อย่างมากก็พันคน นอกจากยอดฝีมือสามสิบหกคนและศิษย์หลักบางคนแล้ว คนที่เหลือหลังจากการฝึกฝนและความก้าวหน้าเป็นเวลาหลายปี ในที่สุดก็จะออกจากฉูซานไปในที่สุด

การบ่มเพาะเป็นเหมือนการผจญภัยที่ช้าและท้าทาย แม้ว่านิกายฉูซานจะรับสมัครผู้ที่มีความสามารถพิเศษเท่านั้น แต่ความสามารถของแต่ละบุคคลนั้นมีข้อจํากัดภายใน บางคนอาจไปถึงเพียงระดับการตระหนักรู้ทางจิตวิญญาณ แต่ไม่สามารถก้าวข้ามไปสู่ด่านแห่งโลกได้ หลายคนอาจติดอยู่ในระดับแกนทองคําและบางคนอาจละทิ้งการบ่มเพาะไปในระดับธาตุทั้งห้า

ผู้บ่มเพาะมักจะเลือกชีวิตใหม่เมื่อการบ่มเพาะของพวกเขามาถึงจุดสูงสุด แนวคิดนี้ถูกตีความโดยชูเหลียงว่าเป็นการจบการศึกษาของพวกเขา

ผู้บ่มเพาะระดับล่าง สามารถประกอบธุรกิจเล็กๆ หรือเป็นคนรับใช้ตระกูลที่มีชื่อเสียง ใช้ชื่อเสียงของนิกายฉูซาน ใช้ชีวิตอย่างสบาย ผู้ที่มีระดับการฝึกฝนสูงสามารถสร้างสำนักหรือนิกายของตนเองและพัฒนาศิษย์กลุ่มเล็ก ๆ ได้

นิกายเซียนอมตะทั้งเก้าและกำลังอมตะแห่งโลกทั้งสิบสร้างนิกายเล็กๆ มานับไม่ถ้วน

อย่างไรก็ตาม ชูเหลียงไม่คิดจะออกจากฉูซาน เขาอยากฝ่าด่านแห่งมนุษย์ไปให้ได้ เป็นผู้บ่มเพาะชั้นสูง เป้าหมายของเขาคือการบรรลุจากการฝึกตน และในจุดนั้น เขาสามารถแข่งขันชิงตำแหน่งปรมาจารย์ขุนเขาแห่งฉูซาน มีศิษย์และชี้แนะศิษย์ที่มีความสามารถจำนวนหนึ่ง ใช้ชีวิตที่สงบสุขและไม่ต้องทำงานหนักเกินไป นั่นคือเป้าหมายคร่าวๆ ของเขาในตอนนี้

เมื่อผู้ดูแลซุยพาพวกเขาผ่านทางเดินไปเรื่อยๆ พวกเขาบังเอิญเห็นกลุ่มหญิงสาวรวมตัวกันในลานด้านล่างซึ่งดูเหมือนจะเข้าร่วมการคัดเลือกหรือการแข่งขันบางรูปแบบ

กรรมการหลายคนยืนอยู่แถวหน้า หญิงสาวผลัดกันแสดงการเต้นรํา พวกเธอส่วนใหญ่มีรูปร่างที่สวยงามการเคลื่อนไหวเบาๆ ของพวกเธอช่างเจริญหูเจริญตาเหลือเกิน

ซึ่งหลินเป่ยก็อดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นฉากนี้ "ช่างคึกคักดีจริงๆ เมื่อใดเราจะได้เห็นฉากแบบนี้บนฉูซานบ้างนะ"

"พวกเขากําลังทําอะไรอยู่หรือ" ชูเหลียงเอ่ยถาม

ผู้ดูแลซุยกล่าวอธิบาย "นี่คือการคัดเลือกนักเต้นสำหรับงานของแม่นางซูขอรับ เมื่อนักดนตรีเล่นเพลงต่างๆ บนเวทีจะก็จะต้องมีนักร้องหรือนักเต้นมาช่วยแสดงด้วย เราต้องเตรียมพร้อมสําหรับเรื่องนี้ เพราะสวนหลี่เจียจวงมักจะไม่มีสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นเราจึงต้องทำการคัดเลือกอย่างกะทันหัน

“ไม่น่าแปลกใจที่มีสาวสวยมากมายขนาดนั้น ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสเต้นให้แม่นางซู ตอนนี้นักเต้นทุกคนในเมืองต้องมาที่นี่เป็นแน่” หลินเป่ยกล่าว ดวงตาของเขาสว่างขึ้นและพูดขึ้นอีกว่า "ผู้หญิงคนนั้นดูสวยมาก"

แม้หลินเป่ยจะไม่ชี้ตำแหน่ง แต่ชูเหลียงก็สังเกตเห็นหญิงสาวที่เพิ่งขึ้นเวที

เป็นจังหวะที่นักเต้นคนก่อนหน้าโดนกรรมการหลายคนตำหนิ ปาดน้ำตาคลอเบ้า แล้วจากไปอย่างกะทันหัน เมื่อเธอจากไป ความสดใสใหม่ก็ได้ดึงดูดความสนใจของพวกเขาทันที

หญิงสาวดูมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษในชุดสีสันที่สง่างาม ผิวของเธอขาวเหมือนหยกไขมันแพะ ผมของเธอดำขลับยุ่งเหยิงเล็กน้อยควบคู่ไปกับคิ้วที่พอดีใบหน้าและดวงตาขนาดใหญ่ซึ่งให้ความรู้สึกของความไร้เดียงสาในทุกพริบตา ดวงตาของเธอดูเหมือนจะคลุมเครือเล็กน้อย แต่มารยาทของเธอมีเสน่ห์ที่ไม่อาจต้านทานได้

ในเวลาตกเย็นเช่นที่ท้องฟ้ากำลังมืดครึ้ม การปรากฏตัวของเธอดูเหมือนจะทําให้แสงแดดส่องสดใสขึ้นมาอีกครั้ง

"หลิวเสี่ยวยู่เอ๋อ.. เจ้าค่ะ"

ความขี้ขลาดในเสียงของเธอถ่ายทอดความรู้สึกเปราะบางและกระตุ้นให้เกิดความเห็นอกเห็นใจ

ผู้ตัดสินหลักเป็นผู้หญิงอายุ 40-50 ปี ทําหน้าที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเต้นในเมืองหนานเหมิน เธอเคยเรียนที่โรงเรียนดนตรีทางใต้และเป็นคนที่เข้มงวดมาก

อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นหลิวเสี่ยวยู่เอ๋อ เธอทําให้น้ําเสียงของเธออ่อนลงโดยสัญชาตญาณ "หนูน้อย เจ้าสามารถเต้นรำอะไรได้บ้างล่ะ"

"ข้า.. ข้าเต้นไม่เป็นเจ้าค่ะ" หลิวเสี่ยวยู่เอ๋อยอมรับพลางกะพริบตาด้วยตากลมโตของเธอ

"ไม่เป็นไร แค่แสดงท่าทางการเต้นที่เจ้าได้เรียนรู้ก็พอแล้ว" ผู้ตัดสินกล่าวอย่างอ่อนโยน

หลิวเสี่ยวยู่เอ๋อพยักหน้าเบาๆ

ด้วยนิ้วมือที่พันกันอย่างสวยงาม เธอพลิกมือและแกว่งสะโพกซ้ายและขวา ทุกการเคลื่อนไหวบิดเบี้ยวไปมา

จากนั้นเธอก็ยืนนิ่งอยู่กับที่

"เอาล่ะ ในเมื่ออุ่นเครื่องแล้ว ก็เริ่มเต้นเถิด" กรรมการอีกคนให้กําลังใจ

หลิวเสี่ยวยู่เอ๋อตกตะลึงและนิ่งไปครู่หนึ่งและอธิบายว่า "ข้าเต้นเสร็จแล้วเจ้าค่ะ"

"..."

ทั่วทั้งลานเงียบกริบ

กรรมการเงียบไปครู่หนึ่งและกล่าวในตอนท้ายว่า "สาวน้อย แม้ว่าข้าจะชอบเจ้ามาก แต่เรากําลังเลือกนักเต้น การแสดงของเธอไม่ได้มาตรฐานเลย"

หลิวเสี่ยวยู่เอ๋อเบะปากและเกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว "แล้วข้าควรทําอย่างไรดีเจ้าคะ"

"ทักษะการเต้นไม่ใช่สิ่งที่เข้าใจได้ในชั่วข้ามคืน แต่เสียงของเจ้าฟังดูดีจริง ๆ เจ้าเคยคิดที่จะเป็นนักร้องบ้างหรือไม่" กรรมการการแนะนําโดยที่ทุกคนตั้งตัวไม่ทัน

หลิวเสี่ยวยู่เอ๋อพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า "ได้เจ้าค่ะ!"

เมื่อได้ยินเช่นนั้นกรรมการอีกคนที่ทำหน้าที่ประเมินการร้องก็สั่งว่า “มา หัดร้องเพลงนี้กับข้า”

จากนั้นกรรมการก็เริ่มร้องเพลง "แสงเทียนกะพริบ เปลวไฟทะลุผ้าม่านที่ประณีต ความหนาวเย็นที่อ่อนโยนตกลงมาหลังฝนตก"

"อืม..." หญิงสาวฟังแล้วเปิดปากของเธอร้องเพลง "แสงเทียน ... กะพิบเปลวไฟทะลุ ... ผ้าหม่านที่ปาณีต ความหนาวเย๋นที่อ่อนโยนตกลงมาหลัง.."

“หยุด” กรรมการฝ่ายร้องเพลงขัดจังหวะเธอทันที

"อืม.." หญิงสาวพูดตะกุกตะกักและไม่กล้าร้องเพลงต่อ

"เอาล่ะพอแค่นี้เถอะ" กรรมการร้องเพลงรีบหยุดเธออย่างรวดเร็ว "เรื่องร้องเพลงข้าว่ามันก็ยังไม่ได้อีกนั่นแหละ"

"ไม่เป็นไร เจ้าอายุยังน้อย กลับไปฝึกฝนในเรื่องที่สนใจเสียเถอะ" กรรมการเต้นรําถอนหายใจ "สาวน้อย ที่นี่ไม่เหมาะกับเจ้าหรอก"

หลิวเสี่ยวยู่เอ๋อรีบอ้อนวอนทันที "ท่านให้โอกาสข้าอยู่ต่อไม่ได้หรือเจ้าคะ ข้าเรียนรู้ได้..."

ผู้ตัดสินหลักหันหลังกลับและตะโกน “ยาม พาเธอออกไป”

เด็กหญิงร้องไห้ออกมาทันที

หลินเป่ยเห็นฉากนี้แล้วก็อดถอนหายใจไม่ได้

"น่าเสียดาย" เขาส่ายหัว "ถ้าเธอสามารถร้องเพลงหรือเต้นได้เหมือนคนปกติ เธออาจจะมีโอกาสได้รับเลือก"

ด้วยประสบการณ์ในวงการบันเทิงมาหลายปี ผู้ดูแลซุยให้การตัดสินที่แม่นยํา "จริงๆ แล้ว ถ้าสาวน้อยคนนี้สามารถแสดงบนเวทีได้ ผู้ชมต้องชอบเธอมากแน่ๆ "

ชูเหลียงมองท้องฟ้าในขณะที่ทั้งสองกําลังตั้งอกตั้งใจมองพรสวรรค์ของเหล่าสาวๆ เขาพูดเบาๆ กับตัวเองว่า "อืม.. มีแค่ข้าคนเดียวหรือที่สนใจว่าสัตว์ประหลาดจะปรากฏตัวเมื่อใด.."

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด