บทที่ 79 ศพในตรอก
บูม!
หลังยิงศรสังหารหลัวเฉิงแล้ว ทั้งสองก็สวมผ้าปิดหน้าสีดำเพื่อปกปิดตัวตน ก่อนปรากฏตัวออกมาจากมุมมืดในตรอกด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ
เมื่อมองยังหลัวเฉิง ที่ครึ่งหนึ่งของร่างถูกปกคลุมไปด้วยซากปรักหักพังอย่างแน่นิ่ง หลินเหยียนจึงเหยียดยิ้มเยาะ
“อัจฉริยะผู้ที่สามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาขั้นสุดยอด ไฉนมีร่างกายที่เปราะบางเช่นนี้ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองตายอย่างไร”
“เร็วเข้า เดี๋ยวผู้อื่นมาเห็นเสียก่อน” หลินซานกล่าวอย่างรวดเร็ว
“ข้ารู้แล้วน่า หากพวกเราวางศพของเขาไว้ใกล้กับเขตแดนของตระกูลฉี สิ่งที่เราต้องทำต่อจากนั้นคือการนั่งมองดูมังกรสู้กับพยัคฆ์เท่านั้น!”
หลินเหยียนก้าวเท้าไปข้างหน้า จากนั้นเริ่มยกเศษหินและกระเบื้องออกไป แต่ขณะที่กำลังจะลากร่างแน่นิ่งของหลัวเฉิงออกมา ใบหน้าก็พลันเปลี่ยนสีกะทันหัน
บูม!
จู่ๆ ก็มีหมัดหนึ่งระเบิดออกมาจากภายใต้ซากปรักหักพัง
หลินเหยียนมิทันตั้งตัว ศีรษะของเขาจึงถูกระเบิดจนแตกกระจายในทันใด พานให้ทั่วพื้นเต็มไปด้วยเศษชิ้นเนื้อทั้งแดงและขาว
“หลินเหยียน!”
หลินซานเปิดปากร้องอุทานด้วยความตกใจ
ระหว่างนั้น หลัวเฉิงก็ลุกขึ้นยืนออกจากซากปรักหักพัง เขากวาดสายตามองไปทั่วร่างเขา จากนั้นทอดมองยาวไปยังหลินซานด้วยแววตาเย็นเยียบ
“หลินเหยียนงั้นหรือ แท้จริงแล้ว พวกเจ้าเป็นคนของตระกูลหลินนี่เอง”
หลินซานจ้องเขม็งยังหลัวเฉิงก่อนแผดเสียงคำรามลั่น “ทำไมกัน ข้ายิงถูกเจ้าเข้าอย่างจังแล้ว ไฉนเจ้ายังยืนอยู่ได้อีก”
หลัวเฉิงสืบเท้าเข้าหาทีละก้าวพร้อมกับกล่าวน้ำเสียงเยือกเย็น “ทำไมงั้นหรือ ไฉนคนที่กำลังจะตายเช่นเจ้าจึงตั้งคำถามมากมายเช่นนี้”
“ฝีปากเจ้าไม่เลว! แค่ขั้นหลอมกายาขั้นสุดยอด คอยดูเถอะ ข้าจะฉีกร่างเจ้าออกเป็นชิ้นๆ แล้วโยนให้สุนัขกินซะ!”
ดวงตาของหลินซานทอประกายแสงเย็นเยียบ เขาพุ่งเข้าหาหลัวเฉิงอย่างรวดเร็วประดุจสายฟ้าแลบ แล้วฟาดฝ่ามือเข้าหาศีรษะของหลัวเฉิงทันที
ฝ่ามือนี้เป็นเพียงฝ่ามือปกติเท่านั้น ในความคิดของหลินซาน การฆ่าคนไร้ค่าเช่นหลัวเฉิงไม่จำเป็นต้องใช้วรยุทธแม้แต่น้อย!
หลัวเฉิงเหยียดยิ้มอย่างเย็นชา ปราณแท้ของเขาโคจรไปทั่วร่าง จากนั้นมันก็พวยพุ่งออกมาจากร่างเขาอย่างรุนแรง
“ปราณแท้นี่มัน ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์”
หลินซานพลันเปลี่ยนสีหน้าด้วยความตระหนก แต่นี่มันก็สายเกินไปแล้วที่เขาจะรู้สึกเสียใจ
บูม!
หลัวเฉิงชกหมัดสวนออกไปพลัน มือขวาของหลินซานก็แตกเป็นชิ้นๆ ก่อนร่างของเขาจะลอยลิ่วออกไปราวกับดาวตกแล้วกระแทกเข้าที่พื้นอย่างแรง เมื่อยกศีรษะขึ้นเขาก็กระอักเลือดออกมาคำใหญ่
“ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์! เจ้าทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์แล้วงั้นหรือ! ไม่สิ ด้วยพลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้ เกรงว่าเจ้าใกล้จะทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสามแล้วเป็นแน่! แต่นี่มันเป็นไปได้อย่างไร ในงานชุมนุมล่าสัตว์ เห็นได้ชัดว่าเจ้าอยู่ในขั้นหลอนกายา!”
หลินซานมองยังหลัวเฉิงด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ความหวาดกลัวเปล่งประกายอยู่ในแววตานั้น พานให้ทั่วร่างของเขาสั่นเทาทันที!
หลัวเฉิงยังคงก้าวเท้าเข้าหาหลินซานโดยไม่กล่าววาจาใด
“ฝ่ามือแยกคลื่น!”
หลินซานรู้ดีว่า หากอยู่ที่นี่ต่อเขาต้องตายอย่างแน่แท้ ดังนั้นจึงโคจรพลังยุทธ์ทั้งหมดไปรวมไว้ที่ฝ่ามือเดียว แล้วฟาดเข้าใส่หลัวเฉิงทันที
เหตุที่ทำเช่นนี้เนื่องจาก หลินซานต้องการที่จะทำให้หลัวเฉิงถอยหรือหลบเลี่ยง แล้วอาศัยจังหวะนี้หนีไปจากตรอก!
หากเขาสามารถออกไปยังพื้นที่โล่งซึ่งมีคนพลุกพล่าน เขาก็ยังมีโอกาสที่จะมีชีวิตต่อ!
แต่มันช่างน่าเสียดายนัก ที่ตัวของหลินซานเองประเมินความสามารถตนสูงไป
“ไปตายซะ!”
หลัวเฉิงไม่ได้ถอยแม้เพียงก้าว หนำซ้ำยังไม่หลบอีกต่างหาก เขาตะคอกอย่างเย็นชา แล้วออกกระบวนท่าเพลงหมัดสยบภูผาทันที
บูม!
เสียงปะทะดังสนั่น หลินซานถึงกับกระอักเลือดพร้อมอวัยวะภายในออกมาเต็มปาก ร่างของเขาถูกซัดกระเด็นดุจเดียวกับร่างกุ้ง แล้วสิ้นใจขณะร่างลอยอยู่กลางอากาศ
เพียงพลังหมัดธรรมดาของหลัวเฉิงก็มีความรุนแรงมากกว่าแปดพันจินแล้ว เมื่อรวมเข้ากับเพลงหมัดที่ถูกฝึกฝนจนเข้าขั้นปรมาจารย์ พลังที่ถูกปลดปล่อยออกมานั้น ผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสามอย่างหลินซาน ย่อมมิอาจรับมันไว้ได้อยู่แล้ว
หลังจากสังหารหลินซานแล้ว หลัวเฉิงก็เอื้อมมือไปแตะที่หลังของตน จากนั้นดึงมือกลับมาดูก็เห็นว่ามีคราบเลือด
อาภรณ์ที่ด้านหลังของเขาถูกฉีกเป็นรูขนาดใหญ่ ซึ่งบนผิวหนังตรงแผ่นหลังเขามีบาดแผลขนาดใหญ่ราวหนึ่งชุ่น
ในวินาทีสุดท้ายเขารับรู้ถึงลูกเกาทัณฑ์ที่พุ่งมาพอดีจึงใช้ปราณแท้ในร่างต่อต้านมัน หากเขาไม่ได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสองและมีผิวทองแดงกระดูกเหล็ก เขาคงต้องตายตรงนี้เป็นแน่!
“ตระกูลหลิน! ในเมื่อสงครามครั้งนี้พวกเจ้าเป็นผู้เริ่ม ข้าก็จะน้อมรับมันด้วยความเต็มใจ!”
ดวงตาของหลัวเฉิงประกายแสงเย็นชาซึ่งเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น เขารักษาบาดแผลของตนเล็กน้อยแล้วหันหลังกลับเดินออกจากตรอกทันที
“นั่นคือหลัวเฉิง นายน้อยของตระกูลหลัวมิใช่หรือ! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน?”
เสียงการปะทะเมื่อครู่นั้นเริ่มดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมาก หลายคนมายืนรวมตัวกันอยู่นอกตรอกนั้น หลังหลัวเฉิงจากไปแล้วพวกเขาก็ชะเง้อศีรษะมองเข้าไปในตรอก
ทันทีที่แววตาเหลือบไปเห็น ใบหน้าผู้คนโดยรอบก็ซีดเผือดลงทันที ภาพที่เห็นในตรอกคือมีศพนอนอยู่ตรงนั้นสองศพ ซึ่งศพหนึ่งในนั้นไม่มีศีรษะ พื้นที่โดยรอบก็เต็มไปด้วยเศษชิ้นเนื้อกระจัดกระจายอย่างน่าสยดสยอง
“สองคนนั้นเป็นคนของตระกูลหลินมิใช่หรือ!”
หลังสตรีหลายนางในกลุ่มฝูงชนเหลือบเห็นศพเหล่านั้น พวกนางก็แผดเสียงกรีดร้องทันที
หลัวเฉิงรีบเดินอย่างรวดเร็วมุ่งหน้าไปยังศาลาหลิงอวิ๋น ไม่นานเขาก็บรรลุถึง
“คุณชายหลัว!”
เมื่อเถ้าแก่ซูเห็นหลัวเฉิง เขาก็รีบเข้าไปหาหลัวเฉิงทันที ขณะเดียวกันเขาก็สังเกตเห็นบาดแผลที่กลางหลังของหลัวเฉิง ก่อนเอ่ยถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“คุณชายหลัว ท่านได้รับบาดเจ็บมางั้นหรือ?”
“แค่แผลเล็กน้อยเท่านั้น”
หลัวเฉิงส่ายศีรษะแล้วถามว่า “ลั่วเหยาและผู้อาวุโสโม่หลินอยู่ที่นี่หรือเปล่า”