ตอนที่ 40 หยอกล้อ
ตอนที่ 40 หยอกล้อ
ซ่งลุ่ยตกใจเมื่อเขาได้ยินเรื่องของช่องโหว่ที่ประธานจางได้บอกตนเอง ก่อนหน้านั้นเขาได้วิเคราะห์และพิจารณาแผนของเขาเองแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะไม่สมบูรณ์แบบมาก แต่ก็ไม่ได้คิดลวก ๆ ขนาดนั้น ! ขณะเดียวกันเขาก็คิดในใจว่าบังเอิญโชคดี โชคดีที่เขาไม่วู่วามลงมือทำไปก่อน หากช่องโหว่เหล่านี้ถูกพบเจอในตอนนั้นคงยากที่จะจัดการมากแน่ ๆ !
เมื่อมีช่องโหว่ก็ต้องคิดหาวิธีแก้ปัญหา เมื่อคิดถึงวิธีแก้ปัญหา ซ่งลุ่ยก็คิดถึงจางชูหยา เพราะช่องโหว่เหล่านี้ถูกจางชูหยาคิดและพูดมันออกมา ถ้างั้นเธอก็จะต้องมีวิธีแก้ปัญหาที่สอดคล้องกันอย่างแน่นอน แต่ดูเหมือนตอนนี้เขาคงจะไม่สามารถคิดวิธีการแก้ปัญหาออกอย่างแน่นอน มันจะดีกว่าที่จะไปถามจางชูหยาโดยตรง !
เมื่อซ่งลุ่ยคิดถึงตรงนี้ ในใจของเขาก็สงบลง หาช่องโหว่ก่อนที่เรื่องราวจะเริ่มขึ้น พบเจอช่องโหว่ในตอนแรกดีกว่าพบเจอตอนลงมือไปแล้ว ! ในเวลานี้ ซ่งลุ่ยเรียบเรียงคำพูดอยู่ภายในใจ มองไปที่ประธานจางอย่างมีจุดประสงค์ทันที หลังจากนั้นก็พูดอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ กับประธานจาง
“เอ่อ ประธานจาง ผมเป็นคนโง่เขลา คิดวิธีแก้ปัญหาที่ประธานจางบอกไม่ออกเลย ผมหวังว่าท่านประธานจะช่วยชี้แนะผมมากกว่านี้อีกหน่อยครับ” พูดจบ ก็มองไปที่ประธานจางด้วยสีหน้าเจื่อน ๆ ไปด้วยความขอโทษ
ซ่งลุ่ยที่กล่าวประโยคนี้ออกมาก็เพื่อคาดการณ์ผลลัพธ์จากประธานจาง ถ้าซ่งลุ่ยคิดออก เขาคงจะไม่ถามเธอ ประธานจางเรียบเรียงคำพูด ก่อนจะส่งเสียงบ่นพึมพำ หลังจากนั้นก็มองไปซ่งลุ่ยเช่นเดียวกันแล้วค่อย ๆ พูดว่า
“เกี่ยวกับปัญหาที่ฉันบอกก่อนหน้านี้ล้วนมีแผนการที่สอดคล้องกันอยู่ ก่อนหน้านี้ฉันส่งฮงเหมยเพื่อให้เธอไปเจาะจงเตือนนายโดยเฉพาะ ดูจากท่าทางของนายแล้ว คาดว่าฮงเหมยก็ยังไม่บอกนายสินะ แต่มันก็ไม่สำคัญอะไร นายคิดว่ามีที่ไหนที่ยั่วยุเธอได้บ้างล่ะ ค่อย ๆ พูดกับเธอ เธออาจจะมีแผนการให้นายอย่างค่อนข้างละเอียด”
ซ่งลุ่ยได้ยินประธานจางพูดแบบนั้น ในใจก็อดที่จะเกิดอารมณ์โกรธไม่ได้ ในตอนแรกเขาอยากจะบีบคอฮงเหมยเอามาก ๆ ฮงเหมยก็ทำเป็นพูดจาอ้ำอึ้งไม่ยอมบอก เดิมทีฮงเหมยก็ยังคงปกปิดไม่ยอมบอกความจริงแก่เขา ถ้าไม่อย่างนั้นเธอก็คงจะอยู่ตอบคำถามที่นี่ไปแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าซ่งลุ่ยจะถูกเมินไปแล้วจริง ๆ ฮงเหมยนี้จริง ๆ เลยนะ ตอนนี้มันใช่เวลาจะมาเจ้าแง่แสนงอนเหรอ ? ถ้าไม่ใช่ว่าเขาต้องการจะแก้ปัญหาเรื่องการเก็บค่าเช่านี่ จะทำอย่างไรล่ะ ตอนนี้ฮงเหมยก็เปลี่ยนไป ไม่สนใจเขาแล้ว !
เฮ้อ ! ซ่งลุ่ยก็รู้สึกทะแม่ง ๆ มากในเวลานี้ ไม่ใช่ว่าเรื่องมันแปลก ๆ แต่เป็นเพราะประธานจางมองเขาด้วยสายตาที่แปลก ๆ โดยเฉพาะตอนที่พูดถึงฮงเหมย แววตาเปลี่ยนไปมีความหมายที่ลึกซึ้งมากกว่าเดิม ทำไมตอนที่ประธานจางถึงว่าข้อมูลอยู่ที่ฮงเหมย สายตาของเธอจะต้องแปลกไปด้วย ? มันมีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลคลุมเครืออยู่ในคำพูด !
ในหัวของซ่งลุ่ยรู้สึกตื้อ ๆ เขาก็อดที่จะเดาไม่ได้ หรือว่าเรื่องราวของเขากับฮงเหมย ประธานจางจะรู้แล้ว ? คิดไปคิดมาในตอนนี้แล้ว จะรู้ก็รู้ไปเถอะ เขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิดกับประธานจางหรือผิดกับบริษัท เขาก็ไม่ได้รู้สึกละอายใจอะไร คิดดูดี ๆ แล้ว มันก็แค่ความคิดมั่ว ๆ ส่งเดชที่จะรบกวนตัวเขาก็เท่านั้นเอง ซ่งลุ่ยส่ายหัวอย่างลับ ๆ และหยุดคิด รู้วิธีแก้ปัญหาเหล่านั้นก็พอแล้ว อย่างอื่นเขาไม่สนหรอกและก็ไม่ควรเอาตัวเองไปสนใจด้วย แก้ปัญหาของตัวเองให้ดีก็พอแล้ว
ซ่งลุ่ยคิดอยู่พักหนึ่งแล้วก็รู้สึกว่าไม่มีปัญหาอะไรที่ต้องรบกวนประธานจางแล้ว เขาจึงยืนขึ้นและโค้งคำนับประธานจาง หลังจากนั้นก็กล่าวกับประธานจางด้วยความสุภาพว่า
“ประธานจางครับ ปัญหาของผมก็ได้ถามประธานไปหมดแล้ว ประธานมีอะไรที่จะชี้แนะผมอีกมั้ยครับ ? ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ผมจะถือโอกาสนี้รีบไปเก็บค่าเช่า เรื่องนี้มันสำคัญกว่า” พูดจบก็ยืนตัวตรงแล้วมองไปที่ประธานจางด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย
ประธานจางได้ยินซ่งลุ่ยพูดแบบนั้นก็คิดอยู่ในใจพักหนึ่ง รู้สึกว่าไม่มีอะไรที่จะรบกวนเขาแล้ว เธอจึงโบกมือและปล่อยให้ซ่งลุ่ยไป เมื่อซ่งลุ่ยเห็นประธานจางปล่อยให้เขาไป ในใจก็อดที่จะดีใจขึ้นมาเสียไม่ได้ ! ดูเหมือนว่าแผนของเขาจะใช้ได้ผล ผลลัพธ์ก็คือประธานจางลืมเรื่องที่จะพูดก่อนหน้านี้ไปเพราะถูกเขาเอาเรื่องการเก็บค่าเช่ามาดึงความสนใจของเธอ ประธานจางคงจำไม่ได้จริง ๆ แต่เมื่อมองจากมุมนี้จะเห็นได้ว่าการเก็บค่าเช่ามันสำคัญมากแค่ไหน !
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ซ่งลุ่ยก็ไม่อยากจะชักช้าอืดอาดอยู่ที่นี้ ตัดสินใจเด็ดขาดในยามวิกฤติ พยักหน้าให้ประธานจาง จากนั้นก็หันหลังแล้วเดินตรงไปที่ประตู แต่ใครจะไปรู้ซ่งลุ่ยที่เพิ่งมาถึงประตู เอามือจับที่ลูกบิดประตูแล้วเปิดประตู ร่างของเขาขยับ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงของโทรศัพท์ดังกริ๊ง จากนั้นเขาก็เดินออกจากห้องทำงานของประธานจาง
ซ่งลุ่ยที่อยู่นอกห้องทำงานของประธานจางยังคงไม่รีบเดินไป ยังคงยืนหอบหายใจอยู่หน้าห้องทำงานของเธอ เพราะว่าถูกทรมานด้วยคำถามของประธานจางซึ่งใช้เวลานานมาก สิ้นเปลืองแรงใจมาก ต้องค่อย ๆ เป็นค่อยไปไม่งั้นเขาไปสู่สุขคติแน่ ๆ !
เมื่ออาการของซ่งลุ่ยค่อยยังชั่วแล้ว เขาก็เดินไปที่ห้องทำงานของเขา หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เดินไปที่ประตูห้องทำงานของฮงเหมยและยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องทำงานของฮงเหมย ในใจก็เกิดความลังเลขึ้นอีกครั้ง ฮงเหมยจะต้องโกรธแน่ ๆ เพราะตอนที่ฮงเหมยออกจากห้องทำงานมา เธอยังคงยิ้มอยู่ แต่ว่าตอนที่เขามองเข้าไปข้างในจากหน้าห้องทำงานของประธานจาง ฮงเหมยกลับโดนตำหนิอยู่ หลังจากนั้นฮงเหมยจะต้องโกรธเขามากแน่ ๆ สีหน้าก็ไม่ค่อยดี ดังนั้นซ่งลุ่ยจึงลังเลมาก ๆ เขาควรจะเข้าไปหรือไม่เข้าไปสัมผัสกับความโชคร้ายนี้ !
ซ่งลุ่ยกำลังครุ่นคิดอยู่หน้าห้องทำงานของฮงเหมย เขาตัดสินใจที่จะเข้าไป ถึงอย่างไรก็ตามฮงเหมยก็เคยช่วยเหลือเขามาก่อน เขาต้องเข้าไปหยอกล้อเธอให้อารมณ์ดี ถ้าหากเขาไม่รู้ว่าฮงเหมยโกรธก็ยังดี รู้แบบนี้ก็สามารถแกล้งทำเป็นไม่รู้ได้และไม่ไปง้อเธอ แต่ว่าเมื่อตอนบ่ายเจอหน้ากันไปแล้ว ดังนั้นซ่งลุ่ยก็ไม่มีอะไรจะอธิบายแล้ว ต้องเข้าไปอย่างแน่นอน !
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ซ่งลุ่ยก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ใช้มือเคาะไปที่ประตูห้องทำงานของฮงเหมย ไม่มีการตอบกลับ เขาจึงใช้มือเคาะไปอีกรอบ รอบนี้เขาเรียกเธอด้วยก็ยังคงไม่มีเสียงใดตอบกลับมา สุดท้ายซ่งลุ่ยก็รู้สึกไม่สบายใจ จะเป็นไปได้อย่างไร เขาเห็นชัดเจนว่าฮงเหมยเดินเข้าห้องไป หรือว่าฮงเหมยออกไปแล้ว ? ทันทีต่อจากนั้น เขาก็เปิดระบบมองทะลุ เมื่อมองผ่านประตูเข้าไปก็พบว่าฮงเหมยนั่งอยู่บนเก้าอี้ หูก็ไม่ได้มีสิ่งของอะไรมากั้นเสียงไว้ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูและเสียงตะโกนเรียกของเขา !
ซ่งลุ่ยคิดไปคิดมา ไม่ได้ ตอนนี้เขาต้องเกลี้ยกล่อมฮงเหมยให้เปิดประตู หลังจากนั้นก็ให้เขาเข้าไปในห้องและพูดกับเธอต่อหน้า ถ้าเป็นแบบนั้นค่อยชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูด ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหน รูปแบบไหน ถึงแม้ว่าไม่สามารถทำให้ฮงเหมยอารมณ์ดีขึ้นได้ แต่อย่างน้อยก็ไม่ทำให้เธอโกรธไปมากกว่านี้ อีกอย่าง ยังสามารถรับประกันได้ด้วย เขาพูดกับฮงเหมยที่หน้าประตูห้องว่า
“เอ่อ ฮงเหมย ประธานจางเพิ่งจะให้ฉันมาหาเธอที่ห้องทำงานเธอไม่ใช่เหรอ ? เธอก็เห็นแล้ว ตอนนี้ฉันออกมาแล้ว ประธานจางให้ฉันมาหาเธอเพื่อสั่งงาน รบกวนเธอเปิดประตูด้วย”