ประวัติวัยเด็กที่สาบสูญ (100%)(อ่านฟรี 05/10/2567)
“ไม่มีปัญหา พวกเราก็ไม่ใช่พวกบ้านป่าเมืองเถื่อนสักหน่อย รับไปสิ!” หัวหน้าของเหล่าชายฉกรรจ์กล่าวออกมา พลางยื่นเอกสารหลายฉบับที่อยู่ในกระเป๋าหนังอย่างดีให้ชายหนุ่มดู
เย่เซวียนรับเอกสารเหล่านั้นมาดูด้วยความคล่องใจ หลังจากที่ดูเอกสารเหล่านั้นเสร็จแล้วเขาก็พบว่าพวกนักเลงเหล่านี้ไม่ได้โกหก! ปู่ของเขาทำสัญญากู้ยืมไว้หลายฉบับ จำนวนเงินโดยรวมอยู่ที่สิบล้านหยวน!!
เพียงแต่ว่ามีอัตราดอกเบี้ยที่แพงเป็นอย่างมาก ทำให้การใช้หนี้มาโดยตลอดหลายปีนั้นเป็นเพียงการจ่ายเงินชดใช้ในส่วนดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เงินต้นกลับไม่ลดแม้แต่หยวนเดียว!!
“นี่ปู่ไปกู้ไว้เป็นสิบล้านจริงด้วยเหรอเนี่ย!! ทำไมไม่เห็นเคยบอกกันก่อนเลยล่ะ” เย่เซวียนกล่าวออกมาด้วยความหัวเสีย นี่ปู่เขาแอบไปทำสัญญากู้ยืมมากมายขนาดนี้โดยไม่บอกเขาเนี่ยนะ!
“ไอ้สัญญาขูดเลือดขูดเนื้อนี่มันอะไรกัน! ผิดกฎหมายไม่ใช่รึไง?” แต่พออ่านมาถึงตรงดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายร้อยละ20%ต่อเดือน เขาก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ
“ไม่หรอก ๆ ก็คนกู้กับคนให้กู้เห็นพ้องต้องกัน สัญญาจึงเกิดขึ้นไงล่ะ แถมปู่ของแกก็จ่ายหนี้มาหลายปีแล้วไม่เห็นจะบ่นสักคำ” หัวหน้าของเหล่าชายฉกรรจ์กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงปกติ
เหมือนกับสัญญากู้ยืมฉบับนี้เป็นเพียงเรื่องทั่วไปที่พบเห็นได้ในชีวิตประจำวันก็เท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงมันผิดกฎหมายชัด ๆ !
“ฉันจะแจ้งตำรวจ! ต่อให้ต้องขึ้นศาลอย่างมากก็จ่ายแค่เงินต้นคืนแค่นั้นแหละ” แม้ว่าเขาจะไม่ได้ฉลาดมากนักแต่ความรู้พื้นฐานก็พอมีอยู่บ้าง เย่เซวียนกล่าวออกมาด้วยเสียงอันดัง
“แหม ๆ ใจเย็นก่อนเถอะ อย่าทำให้พวกเราต้องลำบากใจเลย...นะ” หัวหน้าของชายฉกรรจ์เดินเข้ามาใกล้พลางกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
เหล่าชายฉกรรจ์ที่เหลือเมื่อเห็นว่าหัวหน้าเดินไปหาไอ้หน้าหล่อ พวกเขาก็พากันเดินตามไปด้วยในทันที ชายฉกรรจ์นับร้อยคนยืนล้อมวงเย่เซวียนเอาไว้อย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มที่เห็นว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดีเท่าไรก็ไม่ได้ร้อนใจมากนัก เขายังมั่นใจว่าถ้าอีกฝ่ายไม่ได้มีปืนช็อตไฟฟ้าหรืออาวุธร้ายแรง เขาก็ยังพอที่จะฝ่าออกไปได้
“เอาล่ะ! จะใช้หนี้มาดี ๆ หรือจะให้เอาร้านโทรม ๆ นั่นไปขายดีล่ะ แต่ต่อให้ขายไปก็คงได้ไม่กี่แสนหยวนหรอก หนี้ส่วนที่เหลือก็ขายอวัยวะสักนิดหน่อยดีไหม?” หัวหน้าชายฉกรรจ์กล่าวออกมาพลางเดินเข้าใกล้มากขึ้น
หน้าที่ที่เขาได้รับมอบหมายมานั้นชัดเจนเป็นอย่างมาก คือการทวงหนี้กลับไปให้ได้โดยสันตี แต่ถ้าไม่อาจทวงโดยสันติได้ก็ให้ใช้วิธีอื่นซะ!
“...ฉันขอโทรศัพท์แปปนึงนะ” เย่เซวียนนิ่งไปแปปนึงก่อนจะกล่าวออกมา
“ก็เอาสิ! ต่อให้แกโทรหาตำรวจยังไงสุดท้ายก็ต้องจ่ายเงินอยู่ดีนั่นแหละ ฉันก็อยากเห็นเหมือนกันว่าแกจะโทรหาใคร” หัวหน้าชายฉกรรจ์ยักไหล่ให้อย่างไม่ใส่ใจพลางกล่าวออกมา
“...” เย่เซวียนที่เห็นที่ทีของอีกฝ่ายก็รู้สึกสับสนขึ้นมาไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องลองโทรไปหาใครบางคนอยู่ดี
ชายหนุ่มกดหาเบอร์ที่เพิ่งจะเพิ่มขึ้นมาเมื่อไม่นานนี้ก่อนจะกดโทรออกไป หลังจากรอสายอยู่ไม่ถึงสิบวินาทีอีกฝ่ายก็รับสายของเขา
“สวัสดีครับ คุณเย่เซวียนมีเรื่องอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ” หวังเฉากล่าวขึ้นมาทันทีที่เขารับสาย
เขาพอจะรู้อยู่บ้างว่าการที่อีกฝ่ายโทรมาคงไม่ได้ต้องการถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของเขาหรอก แต่น่าจะเป็นเพราะว่าอีกฝ่ายกำลังมีปัญหาอยู่มากกว่า
“คืออย่างนี้นะครับ พอดีว่ามีนักเลงกลุ่มใหญ่มาทวงหนี้ผมน่ะครับ ผมเห็นว่าดอกเบี้ยในใบสัญญามันออกจะมากเกินไปสักหน่อย แต่พวกเขาก็ไม่ยอมเจรจาผมเลยอยากจะโทรมาถามว่าคุณพอจะช่วยอะไรผมได้ไหม” เย่เซวียนกล่าวออกมาในทันที
เขามีตัวเลือกไม่มากนักเพราะคนที่เขารู้จักก็มีเพียงคนของตระกูลฮวา หวังเฉา แมรี่ ซึ่งตัวเลือกที่ดูจะเหมาะสมที่สุดก็คงจะเป็นหวังเฉาที่เขาดูแล้วน่าจะเป็นหัวหน้าแกงค์หรืออะไรสักอย่าง
ในตอนแรกชายหนุ่มก็อยากจะโทรไปรบกวนตระกูลฮวาอยู่หรอก แต่เมื่อคิดให้ดี ๆ ก็พบว่าเขารบกวนตระกูลฮวาหลายเรื่องแล้ว ดังนั้นจึงเลือกที่จะโทรไปหาหวังเฉาดีกว่า
ครึ่งหลัง
“ใครมันตาถั่วมาหาเรื่องคุณแบบนั้นกัน? ช่วยส่งโทรศัพท์ให้ผมคุยกับหัวหน้าของพวกมันหน่อยได้ไหมครับ” หวังเฉากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน
“มีคนอยากคุยกับคุณครับ” เย่เซวียนหันไปกล่าวกับหัวหน้าของเหล่าชายฉกรรจ์ พลางยื่นส่งโทรศัพท์ของตนไปให้อีกฝ่าย
“เฮอะ! ฉันก็อยากรู้จริง ๆ ว่าใครหน้าไหนมันจะช่วยแกได้” หัวหน้าชายฉกรรจ์แค่นเสียงกล่าวอย่างดูถูก เขารับโทรศัพท์จากอีกฝ่ายก่อนจะกล่าวออกมาว่า
“ฮัลโหล! แกเป็นใครมายุ่งอะไรด้วยวะ!”
“ฉันหวังเฉา แล้วแกเป็นใคร? กล้ามาหาเรื่องคนที่คุณท่านให้การคุ้มครองนี่คิดดีแล้วใช่ไหม?” หวังเฉากล่าวสวนขึ้นมาอย่างไม่หวาดกลัว น้ำเสียงของเขาในเวลานี้ดูจริงจังเป็นอย่างมาก
ซึ่งนั่นก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร เพราะคุณท่านคือบุคคลที่มีอิทธิพลเป็นอย่างมากในจังหวัดนี้ การที่มีคนกล้ามาท้าทายหมายความได้สองอย่าง กรณีที่หนึ่งฝ่ายตรงข้ามไม่ทราบว่าคนที่พวกมันกำลังเล่นด้วยคือใคร ส่วนกรณีที่สองก็คืออีกฝ่ายไม่กลัวตายกล้ามาท้าทายซึ่งหน้า ถ้าเป็นกรณีที่สองก็คงได้เกิดสงครามนองเลือดระหว่างสองกลุ่มอิทธิพลเป็นแน่!
“อะ..อะ..ลูกพี่หวังเฉาเหรอครับ! ผมโม่หลี่เองครับคนจากแก๊งแมงป่องดำ” หัวหน้าชายฉกรรจ์ที่ได้ยินชื่อของอีกฝ่ายก็กล่าวขึ้นด้วยความร้อนลน
เขามั่นใจว่าเขาจำน้ำเสียงนั้นได้ไม่ผิดแน่! อีกอย่างคงไม่มีใครโง่พอจะแอบอ้างชื่อของหวังเฉาหรอก ถ้าไม่อยากตายอะนะ
“แก๊งแมงป้องดำ? อ๋อ! แก๊งที่ดูแลพื้นที่เล็ก ๆ แถวถนนชิงจีใช่ไหม?” หวังเฉานึกอยู่สักพักนึงก็กล่าวขึ้นมา ที่แท้ก็เป็นพวกลูกน้องของเพื่อนเขานี่เอง
“ใช่ครับ ๆ” โม่หลี่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่สุภาพเป็นอย่างมาก
ตอนนี้ในหัวของเขาพยายามคิดหาทางเชื่อมโยงว่าชายหนุ่มหน้าหล่อเจ้าของหนี้ยี่สิบล้าน กับหวังเฉาผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าแก๊งทั้งหมดของเมืองชางโจวเกี่ยวข้องกันได้ยังไง หรือว่าจะเป็นคนรู้จักกัน? ถ้าแบบนั้นเขาก็คงต้องไปบอกให้ลูกพี่ได้รับรู้ว่าหนี้ก้อนนี้ให้ทิ้งมันไปซะเถอะ!
ถึงยังไงเงินมันก็ไม่สำคัญเท่าชีวิตหรอก จริงไหมล่ะ?!
“แล้วแกไปยุ่งอะไรกับคุณเย่เซวียน?” หวังเฉากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง โม่หลี่ที่กำลังถือโทรศัพท์อยู่รู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาในตอนนี้มีเหงื่อออกมาเต็มไปหมด
ถ้าตอบคำถามได้ไม่ดี มีหวังเขาได้กลายเป็นผู้หายสาบสูญคนต่อไปแน่ ๆ
“คะ..คือว่า คุณปู่ของเขาเคยมากู้เงินของทางเราน่ะครับ แล้วผมก็ถูกสั่งให้มาทำตามหน้าที่ในการทวงเงิน” โม่หลี่พยายามกล่าวอธิบายออกมา
“อย่างนี้นี่เอง ยอดเท่าไร?” หวังเฉากล่าวถามออกมาต่อ แต่ความตรึงเครียดในน้ำเสียงของเขาลดลงไปบ้างแล้ว
ถ้าเรื่องแค่นี้ก็คุยกันง่ายหน่อย อย่างมากที่สุดเขาก็แค่จ่ายแทนให้ก็พอ
มันจะได้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกติดค้างบุญคุณได้อีกด้วย พอเป็นแบบนั้นหนี้ที่ช่วยชีวิตคุณท่านไว้ก็จะได้คลี่คลายลง ถึงแม้ตอนที่ยกชุมชนและบริษัทก่อสร้าง รวมถึงเหม่ยฟาสให้ไปจะเกินพอแล้วก็เถอะ
จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าคุณท่านคิดอะไรถึงสั่งให้คอยช่วยเด็กหนุ่มที่มีภูมิหลังธรรมดามากมายขนาดนี้ จากที่เขาสืบมาเย่เซวียนจัดได้ว่าเป็นเพียงเด็กยากจนที่อยู่อาศัยกับปู่ของตนมาตั้งแต่เด็กก็เท่านั้น
แต่น่าแปลกที่ประวัติตั้งแต่เกิดจนถึงอายุได้สามขวบของชายผู้นี้กลับไม่อาจสืบทราบได้เลยแม้แต่น้อย เหมือนกับว่ามีใครจงใจปิดบังมันเอาไว้ไม่มีผิด