บทที่ 78 ลอบสังหารด้วยศรหนึ่งดอก
ครั้นลงไปถึงชั้นล่าง หลัวเฉิงจึงหยิบคัมภีร์วรยุทธออกมาแล้วลงทะเบียน
“คุณชายเฉิงต้องการฝึกเพลงกระบี่งั้นหรือเจ้าคะ?” หญิงรับใช้ผู้งดงามเอ่ยถามด้วยความสงสัย
หลัวเฉิงพยักหน้า
หญิงรับใช้ผู้งดงามแย้มยิ้มพลางกล่าวว่า “นักกระบี่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดมาโดยตลอด แต่พวกเขาต้องมีความเข้าใจในเคล็ดวิชาสูงมาก เนื่องจากคุณชายเฉิงมีความเข้าใจในเคล็ดวิชาที่ยอดเยี่ยม ดังนั้นจึงเหมาะสมกับท่านมากที่จะฝึกเพลงกระบี่เจ้าค่ะ”
“แม้นเป็นเช่นนั้น แต่เคล็ดวิชาทลายสวรรค์สี่กระบวนต้องใช้แก่นแท้ในการปลดปล่อยปราณกระบี่ ซึ่งจะดีที่สุดหากฝึกฝนหลังจากทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์แล้วเจ้าค่ะ”
หลัวเฉิงยิ้มและกล่าวว่า “ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะของเจ้า แต่ข้าได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์แล้ว”
“อะไรนะ คุณชายเฉิงได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์แล้วหรือเจ้าคะ!”
หญิงรับใช้ผู้เลอโฉมพลันผงะตกตะลึงไปครู่ นางนิ่งอึ้งอยู่อย่างนั้นกระทั่งหลัวเฉิงจากไปแล้ว
นางจำได้ชัดเจนว่า หลัวเฉิงเพิ่งปลุกวิญญาณยุทธ์ของเขาได้เพียงสองเดือนเท่านั้น!
จากระดับสี่ของขั้นหลอมกายา ไปจนถึงขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ เขากลับใช้เวลาเพียงแค่สองเดือนเท่านั้น!
คนที่ปลุกวิญญาณยุทธ์ขยะขึ้นมา สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้จริงงั้นหรือ?
หากนางไม่ได้รู้จักหลัวเฉิงในฐานะบุคคลสำคัญคนหนึ่งของตระกูล นางคงคิดว่าหลัวเฉิงกำลังคุยโวโอ้อวดอยู่เป็นแน่!
หลัวเฉิงออกจากศาลาวรยุทธ และกำลังจะกลับไปฝึกฝนเคล็ดวิชาทลายสวรรค์สี่กระบวน แต่เมื่อเขาเดินผ่านโถงหลักของตระกูลหลัว ยามลาดตระเวนของตระกูลหลัวหลายคนก็เดินผ่านไปด้วยท่าทางร้อนรน โดยสองคนที่เดินผ่านไปในกลุ่มนั้น อาภรณ์เขาเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
หลัวเฉิงหยุดหนึ่งในนั้นแล้วเอ่ยถามด้วยความฉงนสงสัย
“คุณชายเฉิง! เรากำลังจะไปพบท่านอยู่พอดี!”
เมื่อเห็นหลัวเฉิง ยามลาดตระเวนหลายคนก็หยุดทันที ยามลาดตระเวนวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “ตระกูลหลิน! วันนี้ตระกูลหลินได้ส่งคนไปยังเมืองหนานเฉิงฟางเพื่อบอกว่าเขาจะมอบเมืองให้กับตระกูลหลัว”
“งั้นหรือ ดูเหมือนพวกเขาจะตั้งอกตั้งใจมอบเมืองให้เราแต่โดยดี”
หลัวเฉิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“มิใช่เช่นนั้นขอรับ!”
ยอมราดตระเวนวัยกลางคนกล่าวด้วยสีหน้าเป็นทุกข์ “ตระกูลหลินเคยให้สัญญากับเราว่าจะมอบเมืองหนานเฉิงฟางให้ แต่กระนั้น กลับไม่มีคนในตระกูลหลินคนใดย้ายออกจากเมืองนานเฉิงฟางแม้แต่น้อย อีกทั้งพวกเขากลับเพิ่มกองกำลังป้องกันมากขึ้น! เมื่อตอนเราไปถึงที่นั่น พวกเขาก็ให้คนทำร้ายพวกเราอีกต่างหาก! เห็นได้ชัดว่าตระกูลหลินเล่นลิ้นกับพวกเรา!”
“นั่นสินะ มันจะง่ายเช่นนั้นได้อย่างไร”
หลัวเฉิงสูดจมูกอย่างเย็นชา แล้วหัวเราะด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
เขาคิดไว้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้คงไม่ราบรื่นนัก แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือ ตระกูลหลินไฉนจึงทำตัวไร้ยางอายไม่กลัวคำครหาจากผู้คนเช่นนี้ และดูเหมือนจะไม่ยอมมอบเมืองหนานเฉิงฟางให้ตระกูลหลัวแต่โดยดีด้วยซ้ำ
“แล้วท่านปู่คิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้” หลัวเฉิงถาม
ยามวัยกลางคนเปลี่ยนสีหน้าเป็นอาฆาตแค้น “ผู้นำตระกูลและเหล่าผู้อาวุโสยังปรึกษาหารือเรื่องนี้กันอยู่ แต่มีแนวโน้มมากว่าจะต้องทำการนองเลือดกับตระกูลหลินขอรับ!”
“ทั้งสองตระกูลจะเริ่มทำสงครามกันงั้นหรือ?”
หลัวเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาขบคิดอยู่ครู่แล้วเอ่ยขึ้นว่า “บอกท่านปู่ว่าข้าจะออกไปข้างนอกสักพัก”
“คุณชายเฉิง ท่านจะไปที่ใดหรือขอรับ” ยามวัยกลางคนถามด้วยสีหน้าสงสัย
“ศาลาหลิงอวิ๋น!”
หลัวเฉิงทิ้งวาจาไว้เพียงสามคำ แล้วเดินออกจากจวนตระกูลหลัวอย่างรวดเร็ว มุ่งตรงไปยังศาลาหลิงอวิ๋นทันที
ตระกูลหลัวและตระกูลหลินมีความแข็งแกร่งทัดเทียมกัน หากเกิดสงครามระหว่างตระกูลขึ้น ย่อมต้องมีผู้คนล้มตายจำนวนมากอย่างแน่นอน เว้นเสียแต่ว่าจะมีมือที่สามเข้าแทรกแซงเรื่องนี้!
สิ่งแรกที่หลัวเฉิงนึกถึงคือศาลาหลิงอวิ๋น!
พื้นหลังของศาลาหลิงอวิ๋นนั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ หากว่าศาลาหลิงอวิ๋นยื่นมือเข้าช่วย ตระกูลหลินก็จำต้องยอมมอบเมืองหนานเฉิงฟางให้เป็นแน่
หลัวเฉิงเชื่ออย่างสุดใจ ว่าลั่วเหยาจะไม่ปฏิเสธที่จะช่วยเขา หากนางได้เห็นโอสถพันดาราที่เขานำไปในครั้งนี้
ยามนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน พระอาทิตย์ลอยเด่นอยู่กลางนภา แสงอันแรงกล้าทำให้ผู้คนไม่ออกมาเดินอยู่นอกเรือน
บนหลังคาเรือนหลังหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก มีสองร่างยืนซุ่มซ่อนอยู่ในเงามืด แววตาของพวกมันจ้องยังหลัวเฉิงที่กำลังเดินผ่านไปอยู่เบื้องล่าง
สองร่างนั้นหาใช่ผู้ใดอื่น นอกจากนายน้อยของตระกูลหลิน หลินเหยียนและหลินซาน!
ซึ่งพวกเขาได้ซ่อนตัวในเงามืดอยู่ภายนอกตระกูลหลัว และรอให้หลัวเฉิงปรากฏตัวเพื่อจะลอบสังหาร
“นั่นเจ้าดูสิ ในที่สุดมันก็ออกมาแล้ว!”
หลินเหยียนมองยังหลัวเฉิงแล้วเหยียดยิ้มอำมหิต
หลินซานมิได้กล่าวสิ่งใดออกมา เพียงเอื้อมมือคว้าคันธนูเหล็กอยู่ด้านหลังพร้อมกับลูกเกาทัณฑ์ เขาเริ่มโคจรพลังยุทธ์ไปทั่วร่าง แล้วโก่งคันธนูง้างศร
“ไปตายซะ!”
ขณะที่หลัวเฉิงโดนเปลี่ยวอยู่ในตรอกซึ่งไร้ผู้คนสัญจร หลินซานก็ใช้โอกาสนี้ลั่นธนูออกไปทันที
ครึง!
สิ้นเสียงคันธนูลั่น ลูกทัณฑ์ทันก็กลายเป็นเส้นแสงสีดำสายหนึ่ง พุ่งทะลวงผ่านอากาศเข้าที่ด้านหลังตรงหัวใจของหลัวเฉิงทันที พลังของลูกศรที่อัดแน่นไปด้วยปราณแท้ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ ความรุนแรงนั้นย่อมมหาศาลเป็นธรรมดา
ทันทีที่มันสัมผัสแผ่นหลังของหลัวเฉิง เขาก็ถูกซัดกระเด็นไปกระแทกเข้ากับกำแพงขนาดใหญ่ จนมันพังทลายแตกกระจายในพริบตา!