บทที่ 70 ออกจากการเก็บตัวบ่มเพาะ
หลังจากพูดอะไรแปลกๆ เจียงเสี่ยวไป๋ก็ออกจากภูเขาเพื่อออกไปทําภารกิจของเธอ
ไม่กี่วันผันผ่าน ชูเหลียงยังคงศึกษาและฝึกฝนรอยประทับกระบี่เวทย์และสิ่งอื่นๆ ต่อไป..
..หวืดด
แสงสีเขียวรูปพระจันทร์เสี้ยวส่องผ่านป่าบนยอดเขาหยินเจี้ยน ต้นไม้ที่ถูกมันพุ่งผ่านล้มโค่นแหว่งไปในพริบตา แสงสีเขียวนี้ส่องผ่านยอดเขาไปทั่วบริเวณ
ก่อนที่แสงสีเขียวนี้จะพุ่งออกไปจากยอดเขา ในที่สุดมันก็หยุดลง โครม.. หน้าผาแตก ชูเหลียงได้กระโดดจากใบไม้อย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้กระแทกกับขอบผา
"เห้อ.. มันน่าหวาดเสียวเกินไปหรือเปล่าเนี่ย"
ชูเหลียงยืนตัวตรงและเช็ดเหงื่อที่หน้าผากออก เขารู้สึกราวกับว่าเขาเพิ่งเครื่องเล่นที่น่าหวาดเสียวไป
ใบไม้สีเขียวที่ฝังอยู่บนภูเขายังคงส่งเสียงหึ่งๆ ออกมา ชูเหลียงได้ยกมือและเรียกให้มันกลับมา
เมื่อดูจากร่องรอย เขาได้แต่คิดว่าแม้แต่กระบี่บินธรรมดาก็ยังไม่คมถึงเพียงนี้
ชูเหลียงต้องยอมรับว่าเหวินหยู่หลงเป็นอัจฉริยะในการสร้างเครื่องมือวิเศษอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม กระบวนการคิดของอัจฉริยะคนนี้กลับแตกต่างจากคนทั่วไปอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่เขาทำค่อนข้างแปลก แต่เขาก็มีเหตุผลที่จะพิสูจน์ความจำเป็นในทุกแง่มุมความผิดปกติของเขา
เหวินหยู่หลงชี้ให้เห็นว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่เครื่องมือวิเศษที่เขาสร้างขึ้น ในทางตรงกันข้าม เป็นเพราะชูเหลียงและผู้บ่มเพาะทั่วไปมักขาดความเฉียบแหลมยืดหยุ่นในการใช้สัมผัสการควบคุม
หลังจากคิดอย่างจริงจังแล้ว ชูเหลียงก็ตระหนักว่าเขาสามารถเรียนรู้ได้มากมายจากมัน
ผู้บ่มเพาะในยุคนี้เน้นไปที่การเพิ่มระดับการบ่มเพาะและเน้นขยายขอบเขตครอบคลุมของสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มความยืดหยุ่นในการควบคุมสัมผัสของพวกเขาเท่าใดนัก
ตัวอย่างเช่น การเดินทางด้วยกระบี่บินของคนสองคนอาจบินด้วยความเร็วเท่ากันในท้องฟ้าเปิด อย่างไรก็ตาม ถ้าพวกเขาต้องบินผ่านพื้นที่ที่มีภูมิประเทศซับซ้อน คนที่สามารถใช้สัมผัสควบคุมได้ดีกว่าก็จะชนะ
ในทำนองเดียวกัน หนึ่งในสองคนที่ใช้กระบี่สามารถควบคุมกระบี่ของตนให้เคลื่อนที่ไปได้ในทิศทางเดียวเท่านั้น โดยไม่เปลี่ยนวิถีของมัน ขณะที่อีกฝ่ายก็สามารถควบคุมกระบี่ของตนได้อย่างคล่องแคล่วด้วยวิถีที่คาดเดาไม่ได้ ถ้าสองคนนี้ต่อสู้กัน ผู้ที่ควบคุมกระบี่ได้ดีกว่าย่อมเป็นผู้ชนะ
ชูเหลียงเข้าใจแนวคิดนี้ว่าเป็นการควบคุมที่ละเอียดอ่อน
หากผู้บ่มเพาะใช้กระบี่เพียงเล่มเดียวมันอาจไม่เห็นผลมากนัก อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาใช้รอบประทับร้อยกระบี่ ความสามารถในการโจมตีของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก และด้วยกระบี่ร้อยเล่มพวกเขาจะใช้มันในการสร้างค่ายกลสำหรับการต่อสู้ได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม วิธีคิดกระแสหลักในปัจจุบันนั้นเป็นไปในทางที่ว่า ขอแค่พยายามฝึกฝน ระดับการฝึกฝนก็จะดีขึ้น หากท่านใช้รอยประทับร้อยกระบี่ ข้าก็จะใช้รอยประทับพันกระบี่ ถ้าระดับการบ่มเพาะของข้าสูงกว่า ข้าก็สามารถบดขยี้ท่านด้วยกําลังของข้า"
ซึ่งแนวคิดนี้ไม่สามารถปฏิเสธได้ แต่ชูเหลียงเชื่อว่าการเปิดหูเปิดตาและวิธีคิดกระแสหลักไม่ควรนำมาขัดแย้งกันให้เสียเวลา ถ้าผู้ฝึกฝนบ่มเพาะมีพลังมากพอที่จะเน้นทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกันมันก็จะดีกว่าสำหรับพวกเขาเอง
นอกจากนี้ การควบคุมสัมผัสได้อย่างละเอียดอ่อนไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่กับใบไม้เขียวของเขา แต่มันยังส่งผลถึงการควบคุมกระบี่บินของเขารวมไปถึงการประยุกต์ใช้ในกระบวนท่าต่างๆ ของเขาในอนาคตอีกด้วย
ดังนั้น ในวันนี้ชูเหลียงจึงอยากใช้ใบไม้เขียวเพื่อเพิ่มฝึกฝนความยืดหยุ่นสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขา และพยายามควบคุมสัมผัสของเขาให้ได้ดีขึ้น
หลังจากพยายามปรับปรุงการควบคุมสัมผัสสึกศักดิ์สิทธิ์ เขาประสบความสําเร็จในการบินที่ดีกว่าครั้งแรกที่เขาพยายามใช้ใบไม้เขียว ชูเหลียงมองร่องรอยโค่นล้มของต้นไม้ใหญ่และรอยแตกบนผา จู่ๆ เขาก็คิดได้ว่าตัวเองพบวิธีการโจมตีใหม่แล้ว
หากเขาให้พลังชี่แก่ใบไม้เขียวมากเพียงพอและใช้มันเพื่อโจมตีฝ่ายตรงข้าม ใบไม้เขียวของเขาอาจมีพลังโจมตีมากกว่าทักษะกระบี่ทั่วไปเสียอีก
ตอนนี้ชูเหลียงมีความเชี่ยวชาญในอักขระลมและไฟแล้ว ทําให้เขาสามารถใช้กระบี่เวทย์ลมและไฟได้ มันมีพลังมากกว่ากระบี่เวทมนตร์ทั่วไปหลายเท่า
พอคิดอยู่ครู่หนึ่งชูเหลียงก็เห็นว่ามีเส้นพลังพุ่งพาดผ่านท้องฟ้าเข้ามาและตกอยู่ข้างกระท่อมของเขา
ข้ามีแขกสินะ เขาคิดพลางเก็บใบไม้เขียวแล้วมุ่งไปต้อนรับแขก
...
หลังจากกลับมาที่กระท่อม ชูเหลียงพบว่าเป็นหลินเป่ยที่หายไปหลายวันนั่นเอง เขายืนอยู่หน้ากระท่อมของชูเหลียงพร้อมด้วยรอยยิ้มที่สดใส
"ฮ่าๆ " หลินเป่ยยิ้มทักทายเขา
ชูเหลียงเองก็ยิ้มเล็กน้อยและเอ่ยถาม “เหตุใดวันนี้ท่านถึงมีเวลาว่างมาหาข้าได้ล่ะขอรับ”
"อ๊ะ" หลินเป่ยฟังแล้วจึงถามกลับทันที "ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าทะลวงไปถึงระดับกลางของขั้นการตระหนักรู้ทางวิญญาณแล้ว"
"..." ชูเหลียงเงียบไปครู่หนึ่ง พลางคิดว่าเขายังไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับการบ่มเพาะเลย จากนั้นเขาก็พูดขึ้นว่า “ยินดีด้วยขอรับ”
"ช่วงที่ผ่านมานี้ข้าฝึกฝนอย่างหนักและระงับความปรารถนาของข้ามากมาย ตอนนี้ในที่สุดข้าก็ก้าวไปสู่ขั้นต่อไปแล้ว" เมื่อพูดถึงความยากลําบากที่เขาประสบเมื่อเร็วๆ นี้ การแสดงออกของหลินเป่ยเต็มไปด้วยความสงสารในตัวเอง "ยิ่งคิดข้าก็ยิ่งเหนื่อย แต่อย่างน้อยข้าก็ผ่านมันมาแล้ว"
"ท่านฝึกหนักเลยทีเดียว" ชูเหลียงพยักหน้า
"โชคดีที่ในที่สุดข้าก็ประสบความสําเร็จ ตอนนี้ข้า สหายของท่านก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในระยะกลางของระดับตระหนักรู้ทางจิตวิญญาณแล้ว ในที่สุดเราก็อยู่ในขั้นเดียวกันแล้ว" หลินเป่ยอุทานอย่างตื่นเต้น
"อืม..." ชูเหลียงยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน "อันที่จริง.. มันก็มิใช่เช่นนั้น.."
"อะไรนะ" หลินเป่ยตกใจ
"บังเอิญมากที่ข้าตื่นขึ้นมาเมื่อเช้านี้และพบว่าตัวเองมีความก้าวหน้าไปแล้ว" ชูเหลียงพูดอย่างใจเย็น "ตอนนี้ข้าอยู่ในระดับสุดท้ายของขั้นตระหนักรู้ทางจิตวิญญาณแล้วขอรับ.."
รอยยิ้มของหลินเป้ยเริ่มแข็งขึ้นอย่างกะทันหัน จากนั้นก็กลายเป็นสีหน้าไม่เชื่อโดยสิ้นเชิง
“...งั้นหรือ”
หลังจากพวกเขาเสร็จสิ้นภารกิจในเมืองหยานเจียว นี่เป็นเพียงเวลาไม่นานหลังจากแยกย้ายกันไป ข้าพยายามฝ่าฟันบ่มเพาะอย่างรวดเร็ว
ข้าคุยโวมาตลอดว่าข้าจะมาถึงระยะกลางได้อย่างไร แต่เขากลับไปถึงระยะสุดท้ายอย่างเงียบๆ งั้นหรือ
นอกจากนี้ ถ้าเขาก้าวหน้าด้วยความเร็วเช่นนี้.. ไม่ใช่ว่าเขาจะไปถึงระดับแกนทองคำได้ในไม่กี่วันหรือ
ตื่นเช้ามาก็พบว่าตัวเองก้าวหน้าไปแล้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน ไม่ใช่ว่าเราจําเป็นต้องฝึกฝนอย่างหนักเพื่อก้าวหน้าหรือ
ไม่ว่าหลินเป่ยจะคิดอย่างไร คําพูดของชูเหลียงก็ดูปลอมมาก
อย่างไรก็ตาม หลินเป่ยกลับรู้สึกได้ถึงการไหลของชี่ที่ชูเหลียงปล่อยออกมา มันมีอำนาจเหนือกว่าพลังของเขาอย่างชัดเจน ดังนั้นสิ่งที่ชูเหลียงพูดปฏิเสธมิได้เลยว่ามันเป็นความจริง
หลังจากผ่านรถไฟเหาะทางอารมณ์ที่ซับซ้อน หลินเป่ยไขว้มือและริมฝีปากเป็นเส้นตรง ก่อให้เกิดการแสดงออกที่ไม่พอใจ
"เพราะเหตุใดกันล่ะเนี่ย" หลินเป่ยบ่น "ข้าฝึกหนักมาหลายวันแล้ว เหตุใดช่องว่างระหว่างเรายังกว้างขึ้นเรื่อยๆ เล่า"
ยิ่งผู้ฝึกมีความก้าวหน้าในขั้นตอนการบ่มเพาะมากเท่าใด การบ่มเพาะในระดับต่อไปก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าช่องว่างระหว่างระยะเริ่มต้นไปถึงระยะกลางนั้นน้อยกว่าช่องว่างระหว่างกลางไปถึงระยะปลายมิใช่หรือ
"บางทีการเก็บตัวของท่าน ท่านอาจจับทางถูกได้ช้าไป" ชูเหลียงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจเหมือนเมฆที่ลอยอยู่ในสายลมอารมณ์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก
หุ่นกระบอกหัวโตของเขาทำงานทั้งวันทั้งคืนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ถ้าการฝึกฝนของเขาช้าก็แปลกแล้ว
"อา ช่างมันเถอะ" หลินเป่ยน้อยใจอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นไม่นานก็ยิ้มให้เขาอีกครั้ง "อย่างไรก็ตาม นี่เป็นสิ่งที่ดี ตอนนี้พวกเราสองสหายก็แข็งแกร่งขึ้นแล้ว"
“ท่านมาหาข้าเพียงเรื่องความก้าวหน้านี้หรือ” ชูเหลียงถาม
"ฮ่า..." หลินเป้ยหัวเราะเสียงดัง "มิใช่เช่นนั้น ข้ามาหาท่านเพราะมีเรื่องใหญ่"
“เรื่องใหญ่หรือ”
ชูเหลียงมองหลินเป่ยอย่าจริงจัง สงสัยในความร้ายแรงของเรื่องนี้
หลินเป่ยถามว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่าศิษย์พี่ใหญ่ของยู่เจียนเของเราได้ออกจากการเก็บตัวบ่มเพาะเมื่อวานนี้”
"ซูจื่อหยางหรือ"
ศิษย์แห่งฉูซานตั้งชื่อให้เขาว่า "ศิษย์พี่ใหญ่" ด้วยความเคารพ หากไม่มีความแตกต่างด้านอายุอย่างมีนัยสำคัญ คุณวุฒิจะขึ้นอยู่กับระดับการบ่มเพาะ ศิษย์ที่มีระดับกระบ่มเพาะสูงจะถือว่าเป็นศิษย์พี่
ดังนั้น “ศิษย์พี่ใหญ่” ไม่จำเป็นต้องหมายถึงศิษย์ที่เข้ามาที่ยอดเขาเป็นคนแรก เฉพาะผู้ที่มีพรสวรรค์และได้รับการฝึกฝนอย่างดีเท่านั้นที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็น “ศิษย์พี่ใหญ่”
ในยอดเขาทั้งสามสิบหกยอดแห่งฉูซานนั้นมีศิษย์ไม่มากนักที่ได้รับ ตำแหน่งเป็น “ศิษย์พี่ใหญ่” เช่นที่ยอดเขายู่เจียน ศิษย์พี่ใหญ่ก็คือซูจื่อหยาง ที่ยอดเขาเว่ยหลานลั่ว ศิษย์พี่ใหญ่ก็คือเจียงเยว่ไป๋ ในขณะเดียวกัน ที่ยอดเขาหยินเจี้ยน คือชูเหลียง...
เฉพาะศิษย์ที่ได้รับการเคารพนับถือของเพื่อนวัยเดียวกันส่วนใหญ่เท่านั้นที่มีสิทธิ์ถูกเรียกว่า พี่ใหญ่ หรือ ศิษย์พี่ใหญ่
"ถูกต้อง" หลินเป้ยพยักหน้า "เขาอาจจะนําปัญหามาให้ท่าน"
"หือ เพราะเหตุใดเล่า" ชูเลี่ยงถามด้วยสายตาเริ่มระมัดระวังมากขึ้น
ซูจื่อหยางเป็นลูกศิษย์ที่ภาคภูมิของหวังซวนหลิง ถ้าเขาอยากสร้างปัญหาให้ข้า คงต้องรอจนกว่าจะเป็นวันประชุมสุดยอดฉูซานมิใช่หรือ นอกจากนั้น เขาคงมิได้มีแรงจูงใจใดในการสร้างปัญหาให้ข้า..
..ทันใดนั้นชูเหลียงก็คิดถึงซูจื่อซิงขึ้นมา
“เป็นเพราะศิษย์น้องจื่อชิง” หลินเป่ยกล่าว
"หือ งั้นหรือ" ชูเหลียงพูดอย่างสงสัย
"ศิษย์น้องจื่อชิงเป็นน้องสาวแท้ๆ ศิษย์พี่ใหญ่จื่อหยาง ทั้งสองพึ่งพาอาศัยกันตั้งแต่เด็ก ดังนั้นพี่ใหญ่จื่อชิงจึงรักเธอมาก" หลินเป่ยอธิบาย "ศิษย์น้องจื่อชิงดูเปลี่ยนไป เธอดูไม่มีความสุขตั้งแต่เรากลับมาจากภารกิจนั้น พอศิษย์พี่ใหญ่เห็นเธออยู่ในสภาพแบบนี้ ก็ย่มสงสัยว่าเหตุใดเธอถึงดูไม่มีความสุขถึงเพียงนั้น"
หลินเป่ยลูบคางและวิเคราะห์สถานการณ์อย่างใจเย็น “ข้าว่าอาการของศิษย์น้องจื่อชิงตอนนี้น่าจะเกิดจากเรื่องหัวใจ ตามภาษิตที่ว่าไม่มีหญิงใดไม่คิดทุกข์เรื่องความรัก”
"ตอนที่พวกเราออกเดินทางที่ภูเขาหนานไซ มีแค่พวกเราไม่กี่คน พี่ฟางถิงอายุมากแล้ว ศิษย์พี่ลู่เหรินก็ไม่ต้องพูดอะไรมาก ดังนั้นก็เหลือพวกเราสองคนแล้ว ข้าจึงรู้สึกว่าคนที่ศิษย์น้องจื่อชิงแอบรักหากมิใช่ข้าก็อาจจะเป็นท่าน"
"..." ชูเหลียงพูดไม่ออก
“พี่ใหญ่เป็นห่วงน้องของเขามาก เขาไม่ปลื้มกับการที่น้องของเขาเป็นทุกข์ ตามความเข้าใจของข้า เขาน่าจะต้องสร้างปัญหาให้กับคนที่น้องของเขาชอบเป็นแน่ ดังนั้น ข้าจึงคิดว่าเราควรออกจากฉูซานนี้และเก็บตัวเงียบๆ กันไปก่อน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นชูเหลียงจึงเอ่ยถาม “ออกจากฉูซาน ไปปฏิบัติภารกิจหรือ”
เขาเข้าใจเจตนาของหลินเป่ยแล้วและกำลังพิจารณาข้อเสนอของหลินเป่ยอย่างจริงจัง เพราะเขาไม่ได้ปฏิบัติภารกิจใดๆ มาระยะหนึ่งแล้วตั้งแต่กลับมาจากเมืองหยานเจียว..
เหตุผลหนึ่งคือเขายุ่งกับการบ่มเพาะ อีกเหตุผลหนึ่งคือเขาไม่มีความจำเป็นต้องปฏิบัติภารกิจเลย กําไรที่เขาได้รับจากการขายชาผลไม้หนึ่งวันเท่ากับรางวัลที่จะได้จากการปฏิบัติภารกิจถึงสองครั้ง เขาจึงไม่มีความปรารถนาที่จะปฏิบัติภารกิจอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของชูเหลียงกลับเปลี่ยนไป ตอนนี้เจียงเยว่ไป๋ได้ออกจากฉูซานแล้ว ชูเหลียงก็ไม่จําเป็นต้องไปเรียนกับเธอในช่วงนี้ นอกจากนี้เนื่องจากเขาไม่ได้ปฏิบัติภารกิจใดๆ มาระยะหนึ่งแล้วเขาไม่มีโอกาสต่อสู้กับสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ใดๆ เลย การฆ่าผึ้งพิษตัวเล็กๆ ทุกวันนั้นก็ค่อนข้างน่าเบื่อ
นอกจากนี้เขายังใช้เจดีย์ขาวสมบัติมหัศจรรย์เป็นเครื่องทำน้ำชาไปเสียแล้ว มันช่างฟังดูเสียเปล่าจริงๆ
ดังนั้นในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาเขาจึงคิดมาตลอดว่าควรออกไปปฏิบัติภารกิจบ้างหรือไม่
"ใช่แล้ว" หลินเป้ยพยักหน้า "สหาย ข้าเพิ่งได้รับภารกิจจากเมืองหนานเหมิน (เมืองประตูทิศใต้) มา นี่เป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมมาก"
"เมืองหนานเหมินหรือ เหตุใดต้องเป็นที่นั่นล่ะ" ชูเหลียงเอ่ยถาม
"ฮ่าฮ่า..." หลินเป้ยยิ้มอย่างลึกลับ "นั่นเพราะที่นั่นมีของดีน่ะสิ"