ประกาศจาก นักเขียน และ นักแปล
นักแปล: เรื่องนี้ตัดจบที่ตอน 265 ฝังเทพเจ้า สปอยสั้นๆ หลังจากฝังเทพเสร็จก็เปิดหีบแล้วก็ตัดจบ ผมขอไม่แปลต่อนะครับ เพราะมันจบเหมือนไม่จบ
นักเขียน:
เรื่อง หยุดอัปเดต
บทนี้ออกมาโดนด่าแน่ๆ
ผมไม่อาจขอให้ทุกคนให้อภัย แต่เพื่อให้ทุกคนคลายความโกรธและความอึดอัดใจ ผมขออธิบายเหตุผลให้ชัดเจน
สรุปเหตุผลสั้นๆ : [นิยายเรื่องนี้มันพังไปแล้ว แรงบันดาลใจหดหาย ไม่มีประกายไฟแห่งความคิดบรรเจิด การอัปเดตแต่ละครั้งเหมือนท้องผูก บีบเค้นออกมาอย่างยากลำบาก ทุกคนอ่านแล้วจืดชืด ส่วนตัวผมเขียนเหมือนเคี้ยวเอากาก ผมไม่ได้รู้สึกสนุกกับการเขียนเหมือนตอนที่เขียนร้อยกว่าบทแรกๆ ที่ทุกคนอ่านอย่างเพลิดเพลิน]
ทุกคนคงสังเกตเห็น นิยายเรื่องนี้มันพังไปตั้งแต่ตอนที่พระเอกปิดตัวฝึกฝนสิบปี ข้ามช่วงเวลาเติบโตของศิษย์น้องหญิงไป นั่นแหละคือจุดที่มันเปลี่ยนรสชาติไป ไม่สนุกและน่าตื่นเต้นเหมือนเดิมอีกต่อไป
นิยายทุกเรื่องย่อมมีแก่นของเรื่อง
จุดประสงค์และแก่นเรื่องของนิยายเรื่องนี้ในตอนแรก สรุปสั้นๆ คือ ศิษย์น้องหญิงจอมอ่านใจ คู่กับศิษย์พี่ชายผู้ไร้เทียมทาน เป็นการจับคู่ตัวละครที่น่าสนใจ
เนื้อเรื่องดำเนินผ่านมุมมองของศิษย์น้องหญิง บวกกับนิสัยเด็กน้อยที่ใสซื่อและไม่ประสีประสา ผ่านการเดินทางเติบโตของเธอ สำรวจโลกใบนี้ เธอต่อสู้กับคนรุ่นเดียวกัน ส่วนพระเอกรับมือกับคนรุ่นเก่า สุดท้ายร่วมมือกันต่อสู้กับบอสใหญ่ด้วยพลังแห่งหัวใจ
ข้อเท็จจริงพิสูจน์แล้วว่าแก่นเรื่องในตอนแรกนั้นถูกต้อง ช่วงแรกมันสนุกและน่าตื่นเต้นมาก มีมุกตลกและเรื่องราวแปลกใหม่ผุดขึ้นมาไม่หยุด
แต่หลังจากข้ามช่วงเวลาสิบปีของศิษย์น้องหญิงไป แก่นเรื่องก็เปลี่ยนไป เนื้อเรื่องเข้าสู่เส้นเรื่องหลัก มุมมองของพระเอกมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนรสชาติ
ช่วงเวลาที่ศิษย์น้องหญิงน่ารักที่สุดถูกข้ามไป… ช่วงเวลาที่พระเอกยังไม่เก่งเทพก็ถูกข้ามไปเช่นกัน กลายเป็นเก่งเกินไป
หลังจากนั้น พัฒนาการของเรื่องราวก็หลุดออกจากราง นิยายไม่สามารถเขียนความรู้สึกที่ทำให้ผู้อ่านอมยิ้มและรู้สึกประทับใจได้อีกต่อไป
การที่โครงสร้างหลักไม่ดี ย่อมส่งผลต่อส่วนประกอบย่อยๆ นิยายก็เช่นกัน
นิยายทุกเรื่องล้วนต่อเนื่องและเชื่อมโยงกัน ขยายความเป็นไปได้ไม่สิ้นสุดโดยอิงจากแก่นเรื่อง บริบท และองค์ประกอบที่มีอยู่
ยิ่งองค์ประกอบที่มีอยู่น่าสนใจมากเท่าไหร่ ยิ่งสามารถขยายเรื่องราวได้มากขึ้นเท่านั้น
เมื่อพระเอกเก่งเกินไป กระบวนการเติบโตของนางเอกถูกตัดออก สิ่งเดียวที่นิยายเรื่องนี้เขียนได้คือเหล่าทวยเทพ
หลังจากกำจัดร่างแยกของทวยเทพแล้ว ทุกคนคงเดาได้ว่ามหาภัยพิบัติจากทวยเทพนั้นแทบจะไม่มีอะไรน่าลุ้นอีกต่อไป
แม้ว่าเนื้อเรื่องที่คาดเดาได้อาจไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป แต่เรื่องราวที่ไม่มีอะไรให้ลุ้น มันจืดชืด ไร้ค่า เหมือนกับเคี้ยวเอากาก
ตั้งแต่นั้นมา ผมก็ตกอยู่ในวังวนแห่งความลำบากใจ
ผมพยายามหาทางแก้ไข แต่ไม่ว่าจะพยายามคิดอย่างไร สุดท้ายก็ต้องจบลงด้วยความล้มเหลว มันทำให้ผมรู้สึกสิ้นหวัง
การฝืนเขียนต่อไปโดยปราศจากแรงบันดาลใจ เนื้อหาที่ออกมาจะดูถูกๆ ผลลัพธ์คือความพังพินาศ เขียนไปก็เหนื่อยเปล่า
ผมจะไม่พูดพล่ามทำตัวน่าสงสาร ผมรู้สึกผิดต่อทุกคน ผมจะพูดถึงสิ่งที่ทุกคนอยากรู้ นั่นคือการเติมเต็มช่องว่างและไขข้อข้องใจ
อย่างแรกคือปริศนาแรกของเรื่อง
ถาม : ศิษย์น้องหญิงมีที่มาอย่างไร ทำไมพระเอกถึงสามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้ และทำไมเธอถึงอ่านใจพระเอกได้เท่านั้น?
ตอบ : [ที่ศิษย์น้องหญิงสามารถอ่านใจได้ เพราะพระเอกจากเส้นเวลาอื่นได้เปลี่ยนแปลงกาลเวลา มอบความสามารถนี้ให้กับเธอ]
แม้ว่าในนิยายจะมีเส้นเวลาเดียว แต่ในความเป็นจริง พระเอกในอนาคตสามารถสร้างเส้นเวลาได้นับไม่ถ้วน เขาเก่งเกินไป
ในเส้นเวลาก่อนที่ศิษย์น้องหญิงจะเกิดใหม่ พระเอกใช้เวลาหลายสิบปีแต่ก็ไม่พบเบาะแสการบุกรุกของทวยเทพ เพราะพวกมันซ่อนตัวเก่งเกินไป
บวกกับการที่พระเอกไม่ได้จงใจฆ่าคนและฝังศพ พลังยุทธจึงยังไม่ถึงขีดสุด เมื่อร่างจริงของทวยเทพปรากฏตัวขึ้น เขาไม่มีพลังพอที่จะต่อกรได้ ทำได้เพียงมองดูทุกคนถูกฆ่าตาย เขาเอาชีวิตรอดมาได้ด้วยเสื้อคลุมของผู้ฝังศพและวิชาฝังศพ
ในยุคสมัยนั้น เนื่องจากยังมีพระเอกอยู่ จึงสามารถควบคุมจอมมารอมตะได้ เหล่าเซียนจึงยังไม่ตาย รอยแยกแห่งเวลาก็ยังไม่หายไป มีชีวิตรอดไปจนถึงยุคถัดไป
หนึ่งยุคผ่านไปหลายล้านปี พระเอกใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวมาหลายล้านปี
จนกระทั่งทวยเทพกลับมาอีกครั้ง พระเอกในร่างอวตารผู้ไร้เทียมทาน มองเห็นภาพรวมของสงครามระหว่างเซียนและเทพ และเป็นผู้ฝังศพพวกเขา
ในตอนนั้นเอง พระเอกได้พบกับเทพแห่งกาลเวลา พระเอกมองเห็นจุดยืนและความตั้งใจของเทพแห่งกาลเวลา จึงตกลงร่วมมือ ส่งเขากลับไปยังหลายล้านปีก่อน มอบความสามารถในการอ่านใจให้ เพื่อให้เขาค้นพบสถานการณ์ของตัวเอง เพื่อให้เขาสร้างอนาคตที่สดใส
ถาม : ทำไมวันตายของศิษย์น้องหญิงถึงไม่แน่นอน ???
ตอบ : [ศิษย์น้องหญิงสามารถรับรู้ได้ตลอดเวลาผ่านเสียงในใจของพระเอกว่าเธอใกล้จะตายแล้ว และสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้]
ระบบจะกำหนดวันตายเมื่อพระเอกไม่เข้าไปแทรกแซงใดๆ ทั้งสิ้น
เนื่องจากศิษย์น้องหญิงสามารถอ่านใจได้ ดังนั้นความตั้งใจของพระเอกจึงสามารถส่งผลต่อการตัดสินใจของเธอได้ตลอดเวลา ระบบจึงไม่สามารถกำหนดวันตายของเธอได้
ถาม : ระบบมีที่มาอย่างไร? ทำไมระบบถึงให้พระเอกฝังศพ? พลังเซียนคืออะไร?
ตอบ : [ทวีปเทียนซวน สวรรค์ และความโกลาหลคือสิ่งเดียวกัน สามารถเข้าใจได้ว่าเป็นเซียนจักรพรรดิผู้เป็นอมตะ บาดเจ็บสาหัส เข้าสู่สภาวะหลับใหล และพยายามรักษาตัวเองด้วยการเวียนว่ายตายเกิด
พระเอกเป็นคนนอก มีภารกิจในการฆ่าเซียนจักรพรรดิผู้นี้ ด้วยความช่วยเหลือจากระบบ เขาค่อยๆ กลืนกินพลังชีวิตของเซียนจักรพรรดิ นั่นคือพลังเซียน จนกระทั่งฝังศพเขาได้อย่างสมบูรณ์]
ถาม : ทำไมหนานเฉิงหยางถึงบอกว่าพระเอกจะฝังโลกทั้งใบ? เขาเป็นบอสใหญ่จริงๆ เหรอ?
ตอบ : [ไม่ว่าเซียนและเทพจะต่อสู้กันอย่างไร จำนวนสิ่งมีชีวิตในทวีปเทียนซวนจะคงที่เสมอ ตราบใดที่พระเอกไม่ฝังศพพวกมัน ในการเวียนว่ายตายเกิดครั้งต่อไป พวกมันก็จะกลับมาอีกครั้ง แต่ทุกครั้งที่พระเอกกลืนกินพลังเซียน จะมีสิ่งมีชีวิตตายจากไปอย่างแท้จริง]
ถาม : มังกรโบราณในยุคเริ่มต้นคืออะไร?
ตอบ : [เป็นพลังของเซียนจักรพรรดิแห่งความโกลาหลที่ปรากฏขึ้น มีจิตสำนึกเป็นของตัวเอง มันตัดขาดกาลเวลา และตัดขาดการแพร่กระจายของบาดแผล รักษาความปลอดภัยในบางส่วนเอาไว้]
ถาม : ทำไมเผ่ามังกรและเผ่าพันธุ์ศพผีดิบถึงพิเศษนัก? ทำไมถึงไม่สามารถให้กำเนิดผู้แข็งแกร่งแห่งวิถีมหาบรรลุได้?
ตอบ : [เผ่ามังกรมีมังกรโบราณ เผ่าพันธุ์ศพผีดิบมีเทพปีศาจอมตะ ควบคุมจุดจบของชีวิต เผ่ามังกรมีต้นกำเนิดเดียวกับมังกรโบราณ ทุกครั้งที่มีการเวียนว่ายตายเกิด พวกมันจะถูกเรียกตัวไปเป็นแหล่งพลังงาน เสริมพลังให้กับมังกรโบราณ
ส่วนเผ่าพันธุ์ศพผีดิบเป็นผลมาจากพลังอมตะ สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งตายแล้วมีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นปีศาจศพ แม้ว่าทวยเทพจะไม่ฆ่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมด แต่สิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้ออกจากสวรรค์ จะถูกเรียกตัวไปยังดินแดนต้องห้ามทั้งสี่ เป็นแหล่งพลังงานที่จำเป็น เสริมพลังให้กับเทพปีศาจแห่งความตาย]
ถาม : ทำไมทวยเทพถึงไม่สนใจเผ่าพันธุ์มนุษย์?
ตอบ : [เพราะเหล่าเซียนรู้ดีว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์มีจำนวนมาก อารมณ์อ่อนไหว และมีชนชั้นที่แตกต่างกันมาก เป็นเผ่าพันธุ์ที่ง่ายต่อการถูกปนเปื้อนและครอบงำโดยเทพภายนอก เคยสร้างปัญหาใหญ่ในหลายยุคสมัย ภายใต้การนำของเทพแห่งกาลเวลา เหล่าเซียนจึงตั้งใจประจำการอยู่ในดินแดนของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ทวยเทพเรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีต จึงรู้ดีว่าเหล่าเซียนซ่อนตัวอยู่ที่ไหนในดินแดนของเผ่าพันธุ์มนุษย์ พวกมันจึงหลีกเลี่ยงและรอจังหวะที่เหมาะสม]
ถาม : เจ้าแห่งดินแดนต้องห้ามทั้งสี่คืออะไรกันแน่?
ตอบ : [ในมุมมองของสิ่งมีชีวิต พวกมันตัดขาดความเป็นไปได้ที่สิ่งมีชีวิตจะออกไปสำรวจโลกภายนอก กักขังทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้นในสายตาของเทพแห่งกาลเวลา พวกมันคือผู้คุม ในมุมมองของพวกมัน พวกมันต่างทำหน้าที่ของตนเอง รักษาสมดุลของการเวียนว่ายตายเกิด รักษาความเป็นอมตะ]
ถาม : ในเมื่อพระเอกกำลังจะฝังโลก ทำไมเจ้าแห่งดินแดนต้องห้ามทางใต้ถึงไม่ลงมือ?
ตอบ : [การเวียนว่ายตายเกิดของโลกใบนี้ดำเนินมาอย่างยาวนาน นานกว่ายุคสมัยที่เทพแห่งกาลเวลาประสบพบเจอ ระเบียบแบบนี้ดำเนินมานานจนน่าเบื่อ เจ้าแห่งดินแดนต้องห้ามทางใต้ค้นพบว่าที่มาของพระเอกไม่ธรรมดา เสียงคำรามของเขาไม่สามารถใช้พลังอำนาจฆ่าพระเอกได้ในทันที เขาจึงสนใจในที่มาที่ไปของพระเอก จึงคอยเอบดูทุกการกระทำของพระเอก หวังว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างออกไป]
ข้างต้นคือปริศนาที่น่าสนใจ ต่อไปจะเป็นการเล่าถึง [เนื้อเรื่องในภายภาคหน้า หรือโครงเรื่องคร่าวๆ]
หลังจากจัดการกับแผนการของทวยเทพแล้ว พระเอกก็ไร้เทียมทานอย่างแท้จริง การเวียนว่ายตายเกิดในอีกสิบสี่ปีข้างหน้าไม่ใช่ภัยคุกคามอีกต่อไป เมื่อถึงเวลา ทุกอย่างจะคลี่คลาย
ในระหว่างนี้ พระเอกไม่ต้องกังวลอะไรอีกต่อไป จึงเริ่มใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี พาศิษย์น้องหญิงและซื่อไจ้เสินซิงไปท่องเที่ยวสัมผัสประสบการณ์ต่างๆ และเริ่มมีความรักก่อตัวขึ้น
ส่วนการแข่งขันจัดอันดับเผ่าพันธุ์ในอีกหนึ่งปีต่อมา เนื่องจากมีพระเอก ซือซินซุ่ย และซื่อไจ้เสินซิง แม้ว่าการแข่งขันจัดอันดับเผ่าพันธุ์จะไม่ได้ตัดสินจากความแข็งแกร่งของคนๆ เดียว แต่ต้องผ่านการประลองหลายรอบเพื่อวัดความแข็งแกร่งโดยเฉลี่ยของเผ่าพันธุ์ แต่พวกเขาก็แข็งแกร่งเกินไป เอาชนะเผ่ามังกรและเผ่าวิญญาณได้สามในห้ารอบ ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งได้สำเร็จ
สำหรับการจัดอันดับเผ่าพันธุ์ จักรพรรดิมังกรเจิ้นเทียนไม่ได้ใส่ใจนัก แต่เขาก็ไม่ลืมแผนการดั้งเดิม นั่นคือการรวบรวมพลังของเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่ง สร้างเมืองที่สามารถอยู่รอดได้ในสงครามระหว่างเซียนและปีศาจ
จนกระทั่งการเวียนว่ายตายเกิดมาถึง เย่ยู่ต้องต่อสู้กับทวยเทพด้วยตัวคนเดียว
แม้ว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะผ่านพ้นภัยพิบัติจากทวยเทพไปได้ แต่ภัยพิบัติที่แท้จริงเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น
ระบบได้รับการอัปเกรดสำเร็จ และได้มอบหมายภารกิจสองอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ภารกิจที่หนึ่ง: [ฝังศพสรรพสิ่ง]
เป้าหมายภารกิจ: [ฝังศพสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในทวีปเทียนซวนระหว่างการเวียนว่ายตายเกิด]
รางวัลภารกิจ: [อายุขัยไม่สิ้นสุด]
ภารกิจที่สอง: [ฝังศพเซียนและเทพ]
เป้าหมายภารกิจ: [สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในความโกลาหล]
รางวัลภารกิจ: [อมตะ]
แม้ว่ารางวัลภารกิจจะน่าดึงดูดใจ แต่เย่ยู่พยายามอย่างหนักเพื่อช่วยโลกใบนี้ เขาจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร เขาไม่เคยคิดถึงมันเลย
จากเหตุการณ์นี้ เขาจึงค้นพบที่มาและแผนการของระบบ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะไม่ทำเช่นนั้น ภัยพิบัติที่แท้จริงของการเวียนว่ายตายเกิดก็ยังไม่จบสิ้น
เพราะการนับถอยหลังสู่ความตายของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดได้รับการรีเฟรชอีกครั้ง เหลือเวลาเพียงหนึ่งปีเท่านั้น
เมื่อการเวียนว่ายตายเกิดผ่านพ้นไป สวรรค์จะตื่นจากการหลับใหล ดินแดนต้องห้ามทั้งสี่จะส่งเสียงเรียก สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ยังคงอยู่ในสวรรค์จะสูญเสียความตั้งใจของตนเอง ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และถูกดึงดูดเข้าสู่ดินแดนต้องห้ามทั้งสี่ เข้าสู่วัฏจักร
เพื่อความปลอดภัยของอาจารย์ เจิ้นเทียน ซื่อไจ้เสินซิง และเพื่อนๆ เย่ยู่จึงต้องทำสงครามกับดินแดนต้องห้ามทั้งสี่
ในบรรดาดินแดนต้องห้ามทั้งสี่ มีสองแห่งที่เป็นที่อยู่ของมังกรโบราณแห่งกาลเวลาเริ่มต้น และเทพปีศาจแห่งกาลเวลาสิ้นสุด
อย่างไรก็ตาม เย่ยู่ไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง เจ้าแห่งดินแดนต้องห้ามทางใต้เฝ้าสังเกตเย่ยู่มาเป็นเวลานาน รู้ดีว่าเขาไม่ได้ตั้งใจทำลายโลก จึงตัดสินใจร่วมมือกับเขาเพื่อทำลายวัฏจักร ค้นหาทางออกใหม่
การต่อสู้นี้ไม่มีผู้ชม เกิดขึ้นจนกระทั่งทวีปเทียนซวนแตกเป็นเสี่ยงๆ
อย่างไรก็ตาม การต่อสู้นี้ไม่มีผู้ชนะ เย่ยู่สามารถช่วยเจิ้นเทียน เจิ้นเสวียน ศิษย์น้องหญิง เพื่อนสนิท และศิษย์บางส่วนของสำนักเก้าเทียนเก๋อได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อภัยพิบัติจากการเวียนว่ายตายเกิดผ่านพ้นไป สิ่งที่มองเห็นคือความพินาศ
แม้ว่ากระบวนการจะถูกขัดจังหวะ แต่วัฏจักรยังคงดำเนินต่อไป ความพินาศไม่คงอยู่ตลอดไป สวรรค์และโลกเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ทุกสิ่งฟื้นคืนชีพ ทวีปเทียนซวนที่เปิดขึ้นใหม่ทุกๆ ล้านปี พลังปราณไม่เคยเหือดแห้ง ยังคงเป็นยุคที่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดสามารถฝึกฝนได้
เช่นเดียวกับทุกยุคสมัย เผ่ามังกรที่แท้จริงปรากฏตัวขึ้น เผ่าพันธุ์ต่างๆ ออกมา เผ่าพันธุ์ศพผีดิบถือกำเนิดขึ้น วัฏจักรใหม่เริ่มต้นขึ้น
เผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ เย่ยู่พาเพื่อนๆ ไปจุดประกายไฟแห่งอารยธรรมของมนุษย์ในยุคใหม่ นับตั้งแต่เริ่มต้นยุคสมัย เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็กลายเป็นผู้นำของเผ่าพันธุ์ทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ยุคนี้ไม่ใช่ยุคแห่งความหลากหลาย เพราะเผ่าพันธุ์มนุษย์ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร บวกกับการปกป้องของเย่ยู่ ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งเกินไป นำภัยพิบัติมานานัปการสู่เผ่าพันธุ์อื่น
เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ เย่ยู่จึงกำหนดกฎเกณฑ์ตามกฎหมายการอยู่ร่วมกันของเผ่าพันธุ์ทั้งหมดของเจิ้นเทียน ห้ามเผ่าพันธุ์ต่างๆ ล่วงละเมิดซึ่งกันและกัน ผู้ฝ่าฝืนจะต้องตาย
หลังจากผ่านไปหลายยุคสมัย มีสิ่งมีชีวิตออกจากดินแดนต้องห้าม ค้นพบว่าเย่ยู่ทำสงครามกับดินแดนต้องห้ามทั้งสี่ในทุกยุคสมัย ฝังศพสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน
ในช่วงเวลานี้ หนานเฉิงหยางในฐานะอัจฉริยะของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ได้เติบโตขึ้นอย่างเต็มที่โดยปราศจากการกดขี่จากเผ่าพันธุ์อื่น เขาได้ติดต่อกับมังกรโบราณเจ้าแห่งดินแดนต้องห้ามโดยบังเอิญ และตระหนักว่าเย่ยู่มาจากนอกความโกลาหล สักวันหนึ่งเขาจะฝังโลกทั้งใบ
อย่างไรก็ตาม เย่ยู่รู้ถึงการเติบโตของเขามานานแล้ว รู้ถึงการมีอยู่ของเขามานับไม่ถ้วน แต่เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะสนใจ
เพราะเขาค้นพบแล้วว่าโลกใบนี้เดิมทีมีเส้นเวลาเพียงเส้นเดียว แต่นับตั้งแต่เขามาถึง ก็มีเส้นเวลาอีกเส้นหนึ่งปรากฏขึ้น
สำหรับเส้นเวลาที่มีอยู่ เว้นแต่จำเป็นจริงๆ เขาไม่อยากเข้าไปยุ่ง เกี่ยวข้อง ปล่อยให้หนานเฉิงหยางทำตามใจชอบ เพราะมันไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวม
จนกระทั่งผ่านไปหลายยุคหลายสมัย ระบบก็เริ่มหมดความอดทน บังคับให้เย่ยู่ฝังศพสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลก ดูดซับพลังเซียน มิฉะนั้นจะยึดพลังของเขากลับคืน
อย่างไรก็ตาม เย่ยู่เข้าใจวิถีมหาบรรลุทุกวิถีทางตั้งแต่ที่เขาบรรลุธรรมผ่านพลังของเขาแล้ว หลังจากผ่านไปหลายยุคสมัย เขาก็แข็งแกร่งจนไร้เทียมทาน แม้ว่าพลังของเขาจะถูกยึดคืนไปก็ไม่ส่งผลกระทบใดๆ
เขาไม่มีความทะเยอทะยาน ไม่อยากออกจากโลกใบนี้ แค่อยากอยู่กับศิษย์น้องหญิง ซื่อไจ้เสินซิง และเพื่อนๆ ตลอดไป
ในช่วงเวลานี้ มีสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ถูกเรียกตัวมาโดยระบบ แต่เขาก็จัดการไปทั้งหมด
เรื่องราวจบลงเพียงเท่านี้ (จบ)
อาจมีผู้อ่านบางคนพูดว่า: “คุณมีไอเดียและความคิดมากมายขนาดนี้ ทำไมไม่เขียนต่อล่ะ?”
คำตอบของผมคือ: “การมีไอเดียสำหรับเนื้อเรื่อง ไม่ได้หมายความว่าจะเขียนได้… เพราะการอธิบายพล็อตเรื่องสั้นๆ นั้นง่าย แต่การขยายพล็อตเรื่อง เขียนให้น่าสนใจ น่าตื่นเต้น และมีรสชาตินั้นยากมาก
เหมือนกับที่ผมอยากจะเขียนเรื่องราวในชีวิตประจำวันแสนสนุกของเย่ยู่และศิษย์น้องหญิง การเขียนเรื่องราวในชีวิตประจำวันไม่ใช่เรื่องยาก แต่การเขียนให้ออกมาน่าสนใจนั้นยากมาก ทำให้ผมรู้สึกกังวลอย่างมาก
การที่รู้ว่าเขียนแย่ แต่ก็ต้องฝืนเขียนต่อไป มันทรมานมาก การฝืนเขียนต่อไป มีแต่จะทำให้เรื่องพัง
และอาจมีผู้อ่านบางคนพูดว่า: “ถึงจะจบแบบแย่ๆ ก็เถอะ แค่สิบกว่าบทก็จบได้แล้ว อย่างน้อยก็ได้เคลียร์ปม”
ความเข้าใจของผมคือ: “การที่รู้ว่าจบแบบแย่ๆ แล้วยังฝืนเขียนต่อไป แถมยังตัดเนื้อหาสำคัญๆ ไปจนถึงตอนจบ จะยิ่งทำให้ดูไม่ใส่ใจ ทำให้คนอ่านเสียเงินและเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
เรื่องราวที่ปราศจากแรงบันดาลใจ ก็เหมือนกับร่างที่ไร้วิญญาณ ทำไมช่วงแรกถึงสนุกขนาดนั้น เพราะมันยังไม่พังไงล่ะ การจับคู่ศิษย์น้องหญิงจอมอ่านใจที่ไร้เดียงสา กับศิษย์พี่ชายผู้ช่วยโลกที่แข็งแกร่งไร้เทียมทาน สามารถสร้างประกายไฟและแรงบันดาลใจได้มากมาย”
นับตั้งแต่ข้ามช่วงเวลาสิบปีนั้นไป นิยายเรื่องนี้ก็พัง แรงบันดาลใจของผมก็หดหาย การเขียนแต่ละครั้งเหมือนกับท้องผูก ต้องฝืนเขียนออกมา คุณภาพที่ลดลงไม่ใช่แค่ผู้อ่านที่เห็น ผมเองก็รู้ดี
ยิ่งไปกว่านั้น พลังต่อสู้ก็พังด้วย ผู้อ่านบางคนรู้สึกว่าสงครามกับทวยเทพมันดูธรรมดาเกินไป ผมเองก็รู้สึกแบบนั้น แต่ทำไงได้ มันเป็นแนวแฟนตาซีที่เน้นพลังยุทธมากเกินไป เกี่ยวข้องกับกฎเกณฑ์ ผมไม่รู้ว่าจะบรรยายมันอย่างไร
บทนี้เขียนมาเยอะมาก ไม่อาจขอให้ทุกคนให้อภัย เพียงแต่อยากอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ และเป็นวิธีเดียวที่ผมสามารถชดเชยผู้อ่านที่รักทุกคนได้
ขอโทษด้วย ผลงานชิ้นนี้น่าจะมีศักยภาพและพื้นที่พัฒนาที่ดีกว่านี้ แต่ด้วยประสบการณ์และความสามารถที่น้อยเกินไปของผม มันจึงเริ่มต้นดีแต่จบไม่สวย
(จบ)