บทที่ 68 กระบี่คู่ม่วงคราม
ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล ทะเลหมอกทอดยาวอย่างไม่มีที่สิ้นสุดภายใต้การจ้องมองบนยอดเขายู่เจียน (ยอดเขากระบี่หยก)
บนยอดเขายู่เจียนชายชราร่างสูงในเสื้อคลุมสีน้ำเงินยืนอยู่บนยอดเขาคนเดียว ผมขาวหงอกและเครายาวของเขากระพือในสายลมและเสื้อผ้าของเขาส่งเสียงกรอบแกรบพริ้วไหวให้ความรู้สึกเก่าแก่และสง่างาม ดวงตาของเขาเปล่งประกายเหมือนดาวโดดเดี่ยวในยามกลางคืน
นี่ก็คือหวังซวนหลิง เจ้าแห่งยอดเขายู่เจียน
ตั้งแต่สมัยโบราณ นิกายฉูซานมียอดเขาห้ายอดเป็นที่เคารพนับถือของนิกาย ยอดเขาทั้งห้าแห่งนี้มีคำว่า "กระบี่" เพื่อดึงดูดผู้บ่มเพาะกระบี่ที่กล้าหาญและขยันขันแข็งที่สุด ในช่วงสองสามร้อยปีแรกของการก่อตั้ง พวกเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นพลังชั้นยอดของฉูซาน พวกเขามีส่วนร่วมในการสนับสนุน การสํารวจ และความก้าวหน้าของนิกายเป็นอย่างมาก
ในช่วงหลายปีแรกนั้นภายใต้โลกแห่งความเกรียงไกรของฉูซาน ยอดเขาทั้งห้านั้นทําหน้าที่เป็นแนวหน้าในการต่อต้านกับปีศาจ มารร้ายและเข้าร่วมการต่อสู้อย่างกล้าหาญ การกระทำของพวกเขาทำให้นิกายได้รับเกียรติยศอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ในที่สุดอิทธิพลและอํานาจของนิกายฉูซานก็ค่อยๆ ลดลงและด้อยกว่านิกายอื่นๆ ในหมู่นิกายเซียนอมตะ ภูเขาห้าลูกที่เคยสง่างามและขึ้นชื่อเรื่อง "เต๋าแห่งกระบี่" ก็ค่อยๆ ถูกบดบัง
ห้าร้อยปีที่ผ่านมาอำนาจและการปกครองของยอดเขาทั้งห้าเกือบถูกลืม สถานการณ์นี้บังคับให้พวกเขาสงวนท่าทีมากขึ้น ในขณะเดียวกัน จํานวนผู้เชี่ยวชาญด้านสงครามก็ค่อยๆ ลดลง
ตัวอย่างเช่น ทั้งยอดเขาจินเจี้ยน (กระบี่ทอง) และยอดเขาหยินเจี้ยน (กระบี่เงิน) ไม่มีใครสามารถสืบทอดมรดกการฝึกฝนของพวกเขาต่อได้ ดังนั้นสายเลือดของพวกเขาจึงสิ้นสุดลงในช่วงเวลาหนึ่ง พวกเขายังคงมีชื่อเสียงดำเนินต่อไปก็จริง แต่พวกเขาก็ไม่ได้แสดงอำนาจเดียวกันกับยอดเขาทั้ง 5 แห่งซึ่งเดิมมีชื่อเสียงในการเดินตามวิถีเต๋าแห่งกระบี่อีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ที่หวังซวนหลิงกลายเป็นปรมาจารย์ของยอดเขายู่เจียน ชื่อของยอดเขาที่น่ากลัวทั้งห้านี้ดูเหมือนจะผงาดกลับมาบนเวทีแห่งยุทธจักรอีกครั้ง เขาได้รับการยกย่องว่ามีอำนาจอย่างยิ่งทั้งในและนอกนิกาย จนทันทีที่กล่าวถึงฉูซาน ก็จะทำให้คนชั่วร้ายและปีศาจมากมายนึกถึงปรมาจารย์ยอดขุนเขาที่ใช้วิธีการรุนแรงและเด็ดขาดคนนี้ขึ้นมาแทนที่เจ้านิกายฉูซานเสียด้วยซ้ำ
ปรมาจารย์ยอดเขาหวังซวนหลิงผู้นี้ เปรียบเสมือนธง ธงแห่งสงครามของฉูซาน!
สำหรับลูกศิษย์รุ่นหลัง เขาเป็นตัวแทนของบุคคลที่ยึดมั่นในการฝึกฝนบ่มเพาะแบบดั้งเดิมของฉูซาน และเลี้ยงลูกศิษย์เหมือนแมลงปีศาจ [1] เขาจะเกณฑ์ลูกศิษย์หลายคนและแข่งขันกันอย่างดุเดือด
หวังซวนหลิงเคยมีศิษย์ยู่เจียนกว่า 100 คน และกลายเป็นกองกำลังที่โดดเด่นที่สุดในฉูซาน ในยอดเขานี้ ลูกศิษย์ทุกคนเติบโตขึ้นมาด้วยการแข่งขันกันและแย่งชิงทรัพยากรของตนเอง
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่การปรากฏตัวขึ้นชายคนหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน การแข่งขันดังกล่าวก็ลดลงเรื่อยๆ ..
เบื้องหน้าของหวังซวนหลิง เมฆหมอกจากทะเลหมอกเริ่มปั่นป่วนและจู่ๆ ก็เดือดปุด ราวถูกจุดไฟ เสียงฟ้าร้องดังก้องไปทั่วภูเขาสูงชัน ชี่แห่งกระบี่ที่รุนแรงบุกฝ่าหมู่เมฆเข้ามา
ครืนน
ชี่แห่งกระบี่เหมือนมังกรตกลงบนพื้นดิน เผยชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ สง่างาม คิ้วดั่งดาบ เปล่งประกายความมุ่งมั่นอันแรงกล้า
ทันทีที่ชายหนุ่มลงถึงพื้น เขาก็คุกเข่าลงทันที เขายกมือขึ้นเพื่อแสดงความเคารพต่อหวังซวนหลิง
"ท่านอาจารย์ผู้ทรงเกียรติ ข้า ศิษย์ของท่านขอคารวะ"
"ลุกขึ้น" หวังซวนหลิงกล่าว เขาหันสายตาไปที่ชายหนุ่มและเอ่ยถามเบาๆ “สำเร็จหรือไม่”
"เรียบร้อยขอรับ ข้าทําให้ท่านผิดหวังมิได้" ชายหนุ่มตอบอย่างสงบเมื่อยืนขึ้น
"ฮ่าฮ่า ดีมาก" หวังซวนหลิงยิ้มและชื่นชม "สมเป็นศิษย์ผู้มีอนาคตไกลที่ข้าได้คาดหวังไว้ หากเจ้าเติบใหญ่ขึ้นอีก ข้าก็คงด้อยกว่าเจ้าในสักวัน"
ชายหนุ่มคนนี้คือศิษย์คนโปรดของเขา ซูจื่อหยาง
หวังซวนหลิงยิ้มแย้ม แต่ซูจื่อหยางไม่สะทกสะท้านและกล่าวว่า "ต้องขอบคุณคําสอนของท่าน ข้ามิกล้าคิดว่าจะไปเกินท่านเลยขอรับ"
"มิกล้าคิดงั้นหรือ.." หวังซวนหลิงส่ายหัว "หากเจ้าไม่คิดก้าวข้ามข้า เจ้าจะเป็นอัจฉริยะที่เหนือกว่าคนรุ่นก่อนได้อย่างไร เจ้าจะเป็นผู้นำทางแห่งฉูซานได้อย่างไรเล่า เจ้าจะทําสิ่งยิ่งใหญ่ที่พวกเขาทําไม่สําเร็จได้อย่างไร"
"ขอรับ ข้าเข้าใจแล้วขอรับท่านอาจารย์" ซูจื่อหยางกล่าวและโค้งคํานับอย่างลึกซึ้งอีกครั้ง
"ในชีวิตนี้ ข้ามีความปรารถนาอยู่สองประการ หนึ่งคือหวังว่าชูซานจะจะสามารถครอบครองเจดีย์มารได้อีกครั้งและทําให้ฉูซานเป็นกําลังสําคัญของนิกายเซียนอมตะอย่างไร้ข้อกังขา
"อีกประการคือการเดินสู่เต๋าที่ยิ่งใหญ่และไปถึงระดับของการควบคุมสวรรค์.. หรือจนความรู้ของข้าสามารถก้าวข้ามและเข้าใจความลึกลับของโลกได้"
หวังซวนหลิงถอนหายใจและกล่าวว่า "น่าเสียดายที่ความสามารถของฉันไม่เพียงพอ ความเฉื่อยชาได้ขัดขวางความก้าวหน้าของข้า ความทะเยอทะยานนี้อาจต้องฝากไว้กับเจ้าในอนาคต"
เมื่อได้ยินตรงนี้ ริมฝีปากของซูจื่อหยางขยับ ดูเหมือนเขาต้องการพูดอะไรบางอย่างแต่กลับลังเล
เมื่อหวังซวนหลิงจึงกล่าวว่า "เจ้าอยากพูดอะไรก็พูดเถอะ"
ซูจื่อหยางไม่ลังเลอีกต่อไป "สิ่งที่ฉันอยากจะพูดก็คือ แม้ว่าเราจะไม่สามารถเรียกคืนเจดีย์มารมาได้ แต่พวกฉูซานก็สามารถกลายเป็นกําลังหลักในนิกายเซียนอมตะได้ขอรับ"
หวังซวนหลิงหันความสนใจไปที่เขา
"ข้าจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าเจดีย์มาร!" ซูจื่อหยางประกาศอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
ความหมายของคำพูดของเขาชัดเจนมาก เขาจะไปเหนือขอบเขตและกลายเป็นผู้ปฏิบัติในระดับที่เก้า เขาจะกลายเป็นผู้ที่อยู่เหนืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในโลก
หวังซวนหลิงจ้องมองซูจื่อหยาง ในความเห็นของเขา ซูจื่อหยางเป็นเหมือนกระบี่ที่ชักออกมาแล้ว แต่หากควบคุมไม่ดี เขาก็อาจจะตกอยู่ในความสับสนได้
เมื่อกว่าร้อยปีก่อนเขาก็เคยเผชิญหน้ากับทะเลหมอก กราบกรานต่อหน้าอาจารย์ของเขาเมื่อเขายังเด็ก เขาก็เคยเสนอข้อเสนอที่กล้าหาญเช่นนี้
หลังจากที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนยอดเขายู่เจียนยังคงรักษาประวัติศาสตร์นับพันปี การเรียนรู้ศิลปะและทักษะศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องรอง มรดกที่สำคัญที่สุดคือเจตจำนงแห่งกระบี่ของพวกเขา
"ฮ่าๆ ดีมาก" หวังซวนหลิงพยักหน้าเบา ๆ "อัจฉริยะทุกคนในโลกควรทะเยอทะยานเช่นนี้ ข้าหวังว่าคุณจะแสดงความเฉียบแหลมเช่นนี้ต่อไป จงกล้าหาญและขยันหมั่นเพียรเพื่อขจัดอิทธิพลปีศาจและมารทั้งหมด"
ซูจื่อหยางพยักหน้า "ศิษย์ของท่านผู้นี้ จะจดจําให้ขึ้นใจขอรับ"
เมื่อกวาดแขนเสื้อออกแล้ว หวังซวนหลิงก็หันไปพูดเบาๆ "ข้ามีเรื่องที่ต้องบอกเจ้า"
ซูจื่อหยางเงยหน้าขึ้นและฟังอย่างตั้งใจ
หวังซวนหลิงพูดต่อ "ข่าวว่าเทพปีศาจกําลังจะกลับมาในเร็วๆ นี้ และยังมีกระบี่คู่ม่วงครามที่ปรากฏเมื่อวานนี้ด้วย"
ซูจื่อหยางเลิกคิ้ว "กระบี่คู่ม่วงครามหรือขอรับ"
กระบี่คู่ม่วงครามอยู่ในอันดับที่ 17 ในรายการสมบัติแห่งโลก ตั้งแต่เจดีย์มารหายไป กระบี่คู่นี้ก็กลายเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุดของฉูซาน มันมีบทบาทสําคัญในการปกป้องฉูซานเป็นอย่างมาก
มันไม่เหมือนอุปกรณ์วิเศษอื่นๆ กระบี่คู่ม่วงครามถือเป็นวิญญาณกระบี่และมีเจตจํานงเป็นของตัวเอง ในช่วงหลายพันปีของฉูซาน พวกมันได้ซ่อนตัวอยู่ในยอดเขาพิเศษ ยอดเขาเจี้ยนฝู่ (ฝักกระบี่)
กระบี่คู่นี้จะปรากฏขึ้นก็ต่อเมื่อพวกเขาตระหนักว่าฉูซานกําลังตกอยู่ในอันตราย
ดังนั้น การปรากฏตัวของกระบี่คู่ม่วงครามจึงบ่งบอกได้ถึงวิกฤติแห่งฉูซานที่กำลังใกล้เข้ามา
ด้วยข่าวการกลับมาของเทพปีศาจไม่ใช่เรื่องเกินจริงนักที่จะอนุมานว่าเหตุการณ์สําคัญกําลังจะเกิดขึ้น
"ตามธรรมเนียมแล้ว เมื่อกระบี่คู่ กระบี่ม่วงและกระบี่ครามปรากฏขึ้น ศิษย์สองคนของนิกายฉูซานจะได้รับเลือกให้เป็นเจ้าของกระบี่ทั้งสองนี้ ครั้งนี้ก็คงมิต่างกัน" หวังซวนหลิงอธิบาย "ท่านเจ้านิกายของเราได้ตัดสินใจที่จะเลือกหนึ่งในสองศิษย์ที่มีผลงานที่สุดของยอดเขาฉูซาน และให้การยอมรับพวกเขาเป็นเจ้าของกระบี่คู่ม่วงคราม"
ซูจื่อหยางเข้าใจความหมายของอาจารย์ของเขาและดวงตาเปล่งประกาย
"ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่ขอรับ" ซูจื่อหยางพูดอย่างมั่นใจ
"ในเมื่อเจ้าประสบความสําเร็จในการพัฒนาตนเช่นนี้ ข้าก็เชื่อว่าเจ้าสามารถทำได้อย่างแน่นอน" หวังซวนหลิงพูดด้วยรอยยิ้มเบา “ในบรรดาศิษย์รุ่นนี้ คนที่โดดเด่นที่สุดน่าจะเป็นเจ้าและเจียงเยว่ไป๋ นอกจากเจ้าสองคนแล้ว ไม่มีใครคู่ควรกับกระบี่คู่ฟ้าสวรรค์นั่น”
ซูจื่อหยางไม่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้เขาจะมีความมั่นใจมาก แต่การประกาศชัยชนะก่อนเวลาอันควรไม่ใช่วิถีของเขา
หวังซวนหลิงพูดต่อว่า "เจ้าจะสำแดงพลังจนทุกคนในนิกายฉูซานไร้ข้อกังขา เมื่อเจ้าได้เป็นศิษย์เอกและได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในผู้ใช้กระบี่คู่ม่วงคราม ข้าจะส่งคำขอแต่งงานไปที่ยอดเขาเว่ยหลานลั่ว (ยอดเขาฟ้าคราม) "
"หือ.." สีหน้าของซูจื่อหยางเริ่มงุนงง "ท่านอาจารย์ที่เคารพ เหตุใดท่านถึงกล่าวเช่นนั้นล่ะขอรับ"
"ด้วยความสามารถและบุคลิกของเจ้า เจ้าสมควรได้คู่กับผู้หญิงที่โดดเด่นที่สุด ในฉูซาน คนที่เหมาะกับเจ้ามากที่สุดคือเจียงเยว่ไป๋ ถ้าไม่ใช่เธอแล้วจะมีใครอีก" หวังซวนหลิงยืนยันอย่างหนักแน่น "เจ้าถึงวัยแต่งงานแล้ว ได้เวลาหาเมียแล้ว"
เจ้าแห่งยอดเขาผู้นี้มีชื่อเสียงในด้านวิธีการทําสิ่งต่างๆ ที่รวดเร็วและเด็ดขาด แม้จะมีปัญหาในใจเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เขาก็ยังมีทัศนคติที่ตรงไปตรงมาและเด็ดขาด
ได้เวลาหาเมียแล้ว..
ทั้งสองเหมาะสมที่สุด..
เขาจะส่งคำขอแต่งงานเอง..
เหตุผลของเขาเป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นธรรมชาติ
ในขณะที่ซูจื่อหยางกําลังฟังเขาก็สงสัยไปชั่วขณะหนึ่ง
เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วตอบอย่างรวดเร็ว "ศิษย์ของท่านผู้นี้อุทิศตนเพื่อการฟื้นฟูนิกายฉูซานและการแสวงหาเส้นทางแห่งเต๋า ข้าไม่สนใจเรื่องแบบนั้นหรอกขอรับ"
"อืม.. ข้าก็เคยคิดเช่นนั้น" หวังซวนหลิงกล่าว "ข้าตั้งใจฟื้นฟูนิกายฉูซาน ไล่ตามเต๋าแห่งกระบี่มาโดยตลอด ข้าไม่สนใจเรื่องหนุ่มสาวเลย และตอนนี้ข้าก็แก่แล้ว.. เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเสียใจเพียงใด"
"..." ซูจื่อหยางเงียบไปครู่หนึ่ง
เขาเห็นอาจารย์ของเขาเป็นแบบอย่างมาโดยตลอด เขาถึงมีความทะเยอทะยานเช่นนี้ ในเมื่ออาจารย์ของเขาพูดเช่นนี้แล้ว เขาจึงอดรู้สึกขัดแย้งมิได้
"อีกอย่าง ข้าจะบอกเจ้าว่านี่มิใช่เพียงเพื่อความรักใคร่เท่านั้นท่านั้น" หวังซวนหลิงเปลี่ยนเรื่อง "กระบี่คู่ม่วงครามไม่มีใครเห็นมาหลายปีแล้ว ดังนั้นมันจึงมีความลับเล็กๆ น้อยๆ ที่หลายคนไม่รู้
"ตำนานเล่ากันว่าวิญญาณกระบี่ในกระบี่คู่ม่วงครามเป็นวิญญาณคู่รัก ดังนั้นผู้ใช้กระบี่ที่ถูกเลือกในประวัติศาสตร์จึงมักเป็นคู่รักอยู่หลายครั้ง หากถูกใช้โดยผู้ที่มิได้รักกัน พลังของกระบี่คู่จะลดลงอย่างมาก ถ้าคนสองคนรักกันอย่างลึกซึ้งประสานพลังของกระบี่คู่ก็สามารถเทียบได้กับอาวุธวิเศษชั้นยอดเลยทีเดียว"
เขาจ้องมองซูจื่อหยางและอธิบาย “นี่คือเหตุผลที่ข้าต้องทำเช่นนี้ ข้าทำเพื่อเจ้าและเพื่อฉูซาน ในเมื่อเจ้ารู้เหตุผลแล้ว เจ้า.. จะปฏิเสธอีกหรือ”
"อืม..." ซูจื่อหยางแสดงสีหน้าที่ซับซ้อน ครั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ได้แต่ก้มศีรษะลงและประกาศ "ในฐานะศิษย์ การฟื้นคืนราศีแห่งฉูซานเป็นหน้าที่ที่ข้าจะปฏิเสธมิได้ขอรับ"
1.แมลงแห่งการสาปแช่ง พวกมันเติบโตมาจากการปล่อยให้ฆ่ากันเองเพื่อความแข็งแกร่ง