บทที่ 46 เหตุผล
“ท่านหมายถึงความซื่อสัตย์อย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่แค่ผู้หญิงเท่านั้น แต่ข้าปฏิบัติกับทุกคนด้วยความซื่อสัตย์ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย” หลงเฉินพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“ไม่ใช่อย่างนั้น ข้าหมายถึง เจ้าชมผู้หญิงทุกคนที่เจ้าเจอแบบนี้เสมอเลยเหรอ?” เย่วเฟ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เลย ตั้งแต่เริ่มแรกข้ายกย่องผู้หญิงเพียงคนเดียวเท่านั้น และนั่นก็คือท่าน องค์หญิงเฟ่ย และมันไม่ใช่แค่การยกย่องเท่านั้น แต่มันคือความจริง” หลงเฉินพูดขณะที่เขานั่งห่างจากเย่วเฟ่ยเพียงไม่กี่เมตร ซึ่งนางดูสับสนเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“โอ้? พวกเจ้าทั้งสองคนยังไม่นอนอีกหรือ? พวกเจ้ากำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่?” ขณะที่เย่วเฟ่ยกำลังจะตอบหลงเฉิน เสียงของเย่วหลวนก็ดังมาจากด้านหลัง
“เอ่อ ใช่แล้ว องค์หญิงเฟ่ยเพิ่งจะเล่าเรื่องราวความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ขององค์ชายรองให้ข้าฟัง” หลงเฉินมองไปที่เย่วหลวนขณะที่เขาพูดอย่างนั้น
“หืม? น้องสาวข้าเล่าเรื่องของข้า? ข้าไม่เคยรู้เลยว่าเจ้าจะชื่นชมข้ามากขนาดนี้ เช่นนั้นข้าจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ในอนาคตเพื่อที่เจ้าจะได้ภาคภูมิใจในตัวพี่ชายของเจ้ามากขึ้น” เย่วหลวนพูดด้วยรอยยิ้ม
'หืออ...เมื่อกี้เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามไม่ใช่เหรอ? แต่ตอนนี้เจ้ากลับโกหกพี่ชายของข้าต่อหน้าข้า แต่พี่ใหญ่ก็ช่างหูเบายิ่งนัก ถึงขั้นเชื่อเลยด้วยซ้ำ” เย่วเฟ่ยอดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะเมื่อคิดเช่นนั้น
"เกิดอะไรขึ้น?" เย่วหลวนถามด้วยสีหน้าสับสนขณะที่เขาสังเกตเห็นว่าเย่วเฟ่ยพยายามกลั้นเสียงหัวเราะของตัวเอง
“ไม่มีอะไร ข้าจะไปแล้ว ราตรีสวัสดิ์ทั้งสองคน” เย่วเฟ่ยกล่าวขณะที่นางเข้าไปในกระโจมของนาง และแอบชำเลืองมองหลงเฉินเล็กน้อยก่อนที่จะเข้าไปข้างใน
“ตอนนี้นางไปแล้ว ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเจ้า” เย่วหลวนยิ้มขณะที่เขาเดินเข้าไปใกล้หลงเฉินและนั่งข้างเขา
“ฝ่าบาทต้องการจะพูดอะไรกับข้าอย่างนั้นหรือ?” หลงเฉินถาม
“ไม่ต้องมากพิธี ข้าไม่อยากให้เจ้าเรียกข้าว่าองค์ชายรองหรือฝ่าบาทอีกแล้ว” เย่วหลวนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“เช่นนั้นข้าควรเรียกท่านอย่างไร?” หลงเฉินถาม
“ในเมื่อข้าเรียกเจ้าว่าน้องชาย เจ้าก็สามารถเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ได้ แต่ถ้าเจ้าไม่ชอบ เจ้าจะเรียกชื่อของข้าเลยก็ย่อมได้”
“ข้าไม่สามารถเรียกท่านห้วนๆ ได้ เนื่องจากท่านอาวุโสกว่าข้าและข้าก็ให้ความเคารพท่าน เช่นนั้น ข้าจะเรียกท่านว่าพี่ใหญ่แล้วกัน” หลงเฉินกล่าวด้วยยิ้ม
“แบบนั้นดีกว่า ยังไงก็ตาม มีเพียงเรื่องเดียวที่ข้าอยากรู้ ซึ่งข้าสังเกตเห็นครั้งสุดท้ายที่เราพบกัน ข้าไม่สามารถสัมผัสได้ถึงการบ่มเพาะพลังของเจ้า ซึ่งนั่นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อระดับบ่มเพาะพลังของเจ้าสูงกว่าของข้ามาก หรือเพราะเจ้า กำลังใช้สิ่งประดิษฐ์เพื่อปกปิดการฝึกฝนของเจ้า” เย่วหลวนพูดขณะจ้องมองไปที่หลงเฉิน
“ข้าไม่ได้คิดถึงความเป็นไปได้ที่เจ้าจะมีระดับบ่มเพาะพลังสูงกว่าข้าเมื่อพิจารณาจากอายุของเจ้า ดังนั้น คำอธิบายเดียวที่เป็นไปได้ก็คือเจ้ากำลังปกปิดพลังของตัวเอง” เย่วหลวนกล่าวต่อ
'ข้าคิดว่าข้าสามารถเดาได้ว่าบทสนทนานี้จะจบลงอย่างไร' หลงเฉินคิดในใจขณะที่เขาฟังเย่วหลวนกล่าว
“แล้วตอนนี้มันก็ยังเหมือนเดิม ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าเจ้าทำแบบนี้ได้ยังไง และทำไมเจ้าถึงต้องปกปิดพลังของตัวเอง น้องชายเจ้าสามารถคลายความสงสัยของข้าได้หรือไม่? เจ้าไม่จำเป็นต้องบอกทุกเรื่องให้ข้ารู้ ถ้าเจ้าไม่ต้องการเช่นนั้น” เย่วหลวนกล่าว
'อย่างที่ข้าคิด... ข้าไม่สามารถบอกเหตุผลที่แท้จริงแก่เขาได้ และข้าไม่สามารถพูดได้ด้วยซ้ำว่าข้าไม่สามารถตอบคำถามของเขาได้เลย เพราะนั่นจะทำให้เขาคิดว่าข้ากำลังใช้สิ่งประดิษฐ์ล้ำค่าบางอย่างที่สามารถปกปิดพลังได้ นั่นจะเลวร้ายยิ่งขึ้นไปอีก” หลงเฉินคิดในใจขณะที่เขาได้ยินคำพูดของเย่วหลวน
“มันไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ พี่ใหญ่ เหตุผลก็แค่ข้าต้องการบางอย่างที่สามารถปกปิดพลังของข้าได้เมื่อข้าออกไปข้างนอก เพื่อที่ข้าจะได้ไม่นำความอับอายมาสู่ตระกูลของข้า เนื่องจากระดับบ่มเพาะพลังของข้านั้นยังต่ำต้อย หลังจากได้ยินคำขอของข้า ผู้อาวุโสจากหอสมบัติก็ได้มอบเครื่องรางให้กับข้า เป็นเพราะเครื่องรางล้ำค่าอันนั้นทำให้ข้าสามารถปกปิดพลังของข้าได้” หลงเฉินโกหกเย่วหลวนโดยที่สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย
“แต่น่าเสียดายที่มันเป็นเครื่องรางที่ใช้ได้ครั้งเดียวเท่านั้น เหมือนกับเครื่องรางส่วนใหญ่ และผลของมันจะคงอยู่เพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น แล้วตอนนี้เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วันผลของมันก็จะหายไป” หลงเฉินพูดต่อโดยไม่ให้โอกาสเย่วหลวนได้ถาม
“โอ้ว ข้าไม่เคยได้ยินเครื่องรางแบบนั้นมาก่อน มันต้องเป็นเครื่องรางที่มีราคาแพงพอสมควรอย่างแน่นอนถึงมีประสิทธิภาพน่าทึ่งขนาดนี้ ข้าไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตระกูลหลงถึงเป็นหนึ่งในสามตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองมังกรของเรา พวกเขาถึงขั้นมีเครื่องรางแบบนี้ด้วย” เย่วหลวนแสดงความคิดเห็นขณะมองไปที่หลงเฉิน
“น้องชาย แล้วเจ้ามีเครื่องรางแบบนั้นเหลืออีกไหม? ถ้าเจ้ามีอีกเจ้าสามารถนำมาขายให้ข้าได้ แล้วข้าจะจ่ายให้เจ้าอย่างงาม” เย่วหลวนถามขณะที่เขาจมอยู่ในความคิดอันลึกซึ้ง
“ข้าขอโทษพี่ใหญ่ เพราะเครื่องรางชิ้นนั้นมีเพียงชิ้นเดียวในตระกูลของข้า และข้าก็ใช้มันไปแล้ว ว่าแต่ทำไมท่านถึงต้องการมันล่ะ?” หลงเฉินถามกลับ
“อ่าา... ไม่มีอะไร ไม่เป็นไร ข้าเองก็จะไปนอนแล้ว นี่มันก็ดึกมากแล้ว ราตรีสวัสดิ์น้องชาย และเจ้าอย่าเพิ่งหายตัวไปก่อนที่พวกเราจะตื่นเหมือนครั้งที่แล้วล่ะ” เย่วหลวนพูดอย่างจริงจังขณะที่เขาเดินกลับไปที่กระโจมของตัวเอง
'มีบางอย่างที่เขาต้องการอย่างแน่นอน! ยังไงก็ตามนั่นไม่เกี่ยวอะไรกับข้า แต่ข้าจะต้องทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับคนที่ไม่สามารถมองเห็นระดับบ่มเพาะพลังของข้าได้ ซึ่งนั่นอาจนำปัญหามากมายมาให้กับข้า’ หลงเฉินคิดในใจ ขณะที่เขานึกถึงการแสดงออกของเย่วหลวนก่อนหน้านี้
หลังจากนั่งอยู่ที่เดิมและครุ่นคิดได้สักพัก หลงเฉินก็เดินเข้าไปกระโจมของตัวเองเพื่อนอนหลับ
------------------------
'ได้เวลาไปแล้ว'
ในตอนเช้าตรู่ เมื่อหลงเฉินตื่นขึ้นมา เขารีบออกไปนอกกระโจมและเริ่มเก็บข้าวของ
“เจ้าพยายามแอบหนีเหมือนกับครั้งก่อนอย่างนั้นหรือ?” ขณะที่หลงเฉินเก็บข้าวของเสร็จ เสียงของเย่วเฟ่ยก็ดังมาจากด้านหลัง
“องค์หญิงเฟ่ย ข้าจะจากไปก่อนที่จะได้เห็นใบหน้าที่งดงามของท่านได้อย่างไร? ไม่ใช่ว่าข้าจะมีโอกาสแบบนี้เสมอไป ข้าแค่เก็บข้าวของเท่านั้น แล้วจากนั้นข้าก็จะรอให้พวกท่านตื่นก่อนที่จะกล่าวคำอำลา” หลงเฉินพูดพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยน