บทที่ 45 หน้ากากแห่งความชั่วร้าย
ทันทีที่หลงเฉินสวมหน้ากาก ความรู้เกี่ยวกับหน้ากากนี้ก็เข้ามาในใจของเขา เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะหน้ากากนี้หรืออย่างอื่น
'หน้ากากแห่งความชั่วร้ายช่างเป็นชื่อที่แปลกประหลาดจริงๆ' หลงเฉินคิดในใจขณะที่เขาศึกษาความรู้ของหน้ากากที่ไหลเข้ามา
หลังจากอ่านข้อมูลทั้งหมดแล้ว ในที่สุดหลงเฉินก็เข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับหน้ากากนี้
''หมายความว่าข้ามีเรื่องสามอย่างที่ข้าต้องจำเกี่ยวกับหน้ากากนี้ อย่างแรก มันสามารถเปลี่ยนหน้าตาของข้าได้ ซึ่งจะทำให้ข้าดูเหมือนคนอื่นได้ ข้าแค่ต้องจินตนาการว่าข้าอยากจะมีหน้าตาอย่างไร แล้วมันก็เปลี่ยนโฉมให้กับข้า”
“อย่างที่สอง มันจำกัดเวลาใช้งาน และสามารถใช้งานได้เพียงแค่สิบนาทีต่อวันเท่านั้น และอย่างที่สาม การจำกัดเวลานี้จะเพิ่มขึ้นตามระดับบ่มเพาะพลังของข้า ดังนั้น มันอาจใช้งานได้นานกว่านี้ เมื่อข้าทะลวงผ่านระดับแก่นทอง” หลงเฉินคิดกับตัวเอง
“แต่น่าเสียดายที่ไม่มีอะไรบ่งบอกว่ามันเป็นสมบัติระดับไหน มันอาจเป็นสมบัติที่เหนือกว่าระดับจิตวิญญาณหรือสูงกว่านั้นไปอีกก็ได้ นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่องหนึ่งคือมันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงร่างกายของข้าได้ แต่ก็ยังดีที่สามารถเปลี่ยนโฉมหน้าและผมได้” หลงเฉินพึมพำกับตัวเอง
“ข้าสามารถสวมใส่มันเหมือนหน้ากากธรรมดาได้เหมือนกัน แต่นั่นจะสะดุดตาเกินไป” หลงเฉินคิดขณะถอดหน้ากากออกและมองดูมัน
หลงเฉินเก็บหน้ากากนี้เข้าไปในแหวนมิติของเขา เมื่อเขาตัดสินใจว่าถึงเวลาที่เขาต้องไปจากที่นี่แล้ว
“ข้าควรเข้าไปในป่าลึกกว่านี้อีกเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่อสู้ให้มากขึ้นหรือควรกลับไปดี?” หลงเฉินพูดกับตัวเองขณะที่มองไปข้างหน้า
“ไม่ ตอนนี้ข้าควรกลับ เพราะข้าได้ทำในสิ่งที่ข้าต้องทำแล้ว หากจะมาที่นี่ใหม่ครั้งหน้ามันก็ยังไม่สาย” หลงเฉินพึมพำขณะที่เขาเริ่มเดินกลับ
“ข้าหวังว่าท่านแม่จะไม่รู้ว่าข้าโกหกเรื่องที่ป่านปู่อนุญาตให้ข้ามาที่นี่” หลงเฉินคิดขณะที่เขาเร่งความเร็วขึ้น และเขายังคงใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาเป็นระยะเพื่อรับรู้ถึงสภาพแวดล้อมของเขา
เขาพบกับสัตว์อสูรสองสามตัวระหว่างทาง แต่ก็ฆ่าพวกมันอย่างง่ายและเดินหน้าต่อ
หลังจากเดินมาครึ่งวัน เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดลง หลงเฉินก็ตัดสินใจเตรียมที่นอนของเขา ในตอนที่เขาจะทำเช่นนั้น เขาก็ยิ้มออกมาเมื่อใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ และเริ่มเดินไปในทิศทางที่มีค่ายกลตั้งอยู่อย่างตั้งใจ
'เขายังใช้ค่ายกลแบบเดิม' หลงเฉินคิดขณะเดินเข้าไป หลังจากเดินได้ไม่กี่วินาที เขาก็เห็นคนที่เขากำลังมองหาอยู่
“พวกเราพบกันอีกแล้ว คารวะองค์ชายรองและองค์หญิง” หลงเฉินกล่าวทักทายเย่วหลวนกับเย่วเฟยขณะที่นางยิ้มอย่างสดใส
'น้องชายคนนี้หล่อเหลามากขึ้นมื่อเขายิ้ม' เย่วหลวนคิดขณะที่เขามองไปที่หลงเฉิน
“น้องชาย เจ้าจงใจรอให้ถึงกลางคืนและเข้ามาในค่ายกลของข้าเพื่อทำให้ข้าตกใจใช่หรือไม่?” เย่วหลวนพูดติดตลกขณะที่เขายิ้มกลับ
“ข้าพูดได้คำเดียวว่าข้าเป็นคนที่โชคดีมากที่ได้เห็นพระจันทร์สองดวงพร้อมกัน ตอนกลางวันคงทำไม่ได้ ใช่ ไหม?” หลงเฉินพูดขณะที่เขามองไปที่องค์หญิงเย่วเฟ่ย ซึ่งหน้ากลายเป็นสีแดงเมื่อได้ยินคำพูดของเขา
“น้องชาย เจ้ากล้าทำตัวชู้สาวกับน้องสาวข้าต่อหน้าข้าเลยอย่างนั้นรึ? เจ้าไม่ละอายใจเลยหรือ?” เย่วหลวนกล่าวและมองเข้าไปในดวงตาของหลงเฉิน
“ฝ่าบาท ท่านจะเรียกว่าข้าเจ้าชู้ก็ย่อมได้ แต่ในสายตาของข้า มันเป็นแค่ความซื่อสัตย์” หลงเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
''ฮ่าๆๆๆ...สหายตัวน้อย เจ้าเป็นคนที่น่าสนใจยิ่งนัก คนแบบที่น้องสาวของข้าชอบคือ... อ๊ากกก" เย่วหลวนหัวเราะขณะที่เขาพูดติดตลก แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่เขาจะกรีดร้องออกมาเหมือนกับเด็กเมื่อถูกเย่วเฟ่ยหยิก
“ยังไงก็ตาม เจ้ามาจากทิศนั้นใช่ไหม? นั่นหมายความว่าเจ้าอยู่ข้างหน้าพวกเรา แล้วเจ้าเห็นศพระหว่างทางหรือไม่?” เย่วหลวนเปลี่ยนหัวข้อสนทนาและถาม
“ข้าเห็นศพสองแห่ง มันอาจกระทำโดยคนคนเดียวกัน” หลงเฉินกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ใช่ ข้าเองก็คิดเหมือนกับเจ้า แล้วเจ้าสังเกตเห็นใครข้างหน้านี้ที่สามารถทำเช่นนั้นได้หรือไม่?” เย่วหลวนถามอีกครั้ง
"ข้าไม่เห็น ข้าแค่เดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ และเห็นคนไม่กี่คนเท่านั้น คนพวกนั้นไม่มีใครดูผิดปกติสำหรับข้า และหลังจากนั้นสักพักข้าก็ตัดสินใจว่าถึงเวลาต้องกลับบ้านแล้ว แล้วระหว่างทางกลับข้าก็มาเจอพวกท่านโดยบังเอิญ” หลงเฉินพูดพร้อมกับมองไปที่เย่วหลวน
“ทำไม? เจ้าไม่อยากต่อสู้มากขึ้นและแข็งแกร่งขึ้นหรือ?” เย่วหลวนถาม
“ข้าสู้เต็มที่แล้ว ครอบครัวของข้าอนุญาตให้ข้าอยู่ที่นี่ได้ไม่กี่วันเท่านั้น พวกเขาคงจะเป็นห่วงหากข้ากลับไปช้า” หลงเฉินมองไปทางทิศใต้ขณะที่เขาพูด
“หากเจ้าพูดเช่นนั้น ยังไงก็ตาม คืนนี้เจ้าจะอยู่กับพวกเราใช่ไหม?” เย่วหลวนถามอีกครั้ง
“แน่นอนฝ่าบาท เนื่องจากที่นี่เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในป่าทมิฬ”
“เอาล่ะ เจ้าไปตั้งกระโจมของเจ้าได้แล้ว” เย่วหลวนพูดขณะที่เขากลับไปนั่งลงกับเย่วเฟ่ย ขณะเดียวกันหลงเฉินก็ตั้งกระโจมของเขา
หลังจากตั้งกระโจมเสร็จแล้ว หลงเฉินก็ไปนั่งกับเย่วหลวน แล้วพวกเขาก็เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขาในป่าแห่งนี้ ซึ่งหลงเฉินตัดสินใจที่จะปกปิดเรื่องต่างๆไว้ เรื่องส่วนใหญ่ที่เขาพูด เขาจะพูดถึงสัตว์อสูรไม่กี่ตัวที่เขาพบ หลังจากพูดคุยกันได้สักพัก พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะแยกย้ายไปนอน
ขณะที่หลงเฉินเข้าไปในกระโจมของเขา เขาก็ตัดสินใจเริ่มฝึกฝนบ่มเพาะพลัง หลังจากที่เขาฝึกฝนเป็นเวลาสองชั่วโมง ความก้าวหน้าของเขาก็เพิ่มขึ้นมาก แล้วหลังจากนั้นเขาก็นำไข่ออกมาและเริ่มป้อนพลังปราณให้กับมันเหมือนกับเป็นกิจวัตรประจำวันของเขา
หลงเฉินไม่ได้กังวลว่าทหารองครักษ์จะตรวจพบมันหากพวกเขาใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ เท่าที่หลงเฉินทราบมาก่อนหน้านี้ ไข่ใบนี้มีการป้องกันต่อสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ เช่นเดียวกับหน้ากากของเขา
“ออกมาได้แล้วเจ้าตัวเล็ก เจ้าจะให้ข้ารอนานแค่ไหน?” หลงเฉินพูดขณะมองดูไข่
หลังจากป้อนพลังปราณให้ไข่นี้แล้ว หลงเฉินก็เก็บมันกลับเข้าไปในแหวนมิติของเขา และตัดสินใจออกไปข้างนอกกระโจม
'ข้าหวังว่าจะเจอนางเหมือนกับคืนนั้น’ หลงเฉินคิดอยู่ในใจ เมื่อเขาเห็นองค์หญิงเฟ่ยนั่งอยู่หน้ากระโจมของนางเหมือนกับวันแรกที่เขาได้เจอนาง
“ท่านอยู่ที่นี่อีกแล้ว ท่านคงชอบความงดงามของธรรมชาติมากแน่ๆ” หลงเฉินแสดงความคิดเห็นขณะที่เขาดึงดูดความสนใจของเย่วเฟ่ย
“เจ้าเองก็เหมือนกันไม่ใช่รึ?” เย่วเฟยตอบกลับ
“แน่นอน ข้าเองก็ชอบความงามของธรรมชาติเช่นกัน” หลงเฉินกล่าวพร้อมกับยิ้มให้เย่วเฟ่ย
“เจ้าชอบทำตัวแบบนี้ต่อหน้าผู้หญิงทุกคนเลยหรือยังไง?” เย่วเฟ่ยหัวเราะขณะที่ถาม