บทที่ 363: ความร่วมมือสมบูรณ์แบบ! จิตรกร!
ฉินหลินขุดกุยช่ายเป็นโหล ๆ ขึ้นมาทั้งรากพร้อมดิน จากนั้นเขาก็เอาดินวิเศษเทลงกระถางแล้วย้ายปลูกกุยช่ายทั้งหมดลงไป
เสร็จแล้วฉินหลินก็เอากุยช่ายทั้งหมดออกจากเกมไปวางไว้ในสนามหญ้า จากนั้นจึงโทรเรียกหลี่ไข่
ก็ปกติที่ต้องมีเหตุผลอันสมควรที่สิ่งนี้จะปรากฏตัวขึ้นในโลกความจริง
และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่จะหลอกให้พี่หลี่มาร่วมแสดงด้วย
เวลาคุยกับคนนอกก็จะมีพี่หลี่คอยช่วยแบกอีกครั้ง
หลี่ไข่รับสายฉินหลินเสร็จก็รีบวิ่งมาหาทันที พอเห็นหน้ากันก็รีบถามเลยว่า “น้องฉิน ทำไมถึงเรียกให้รีบมาขนาดนี้ล่ะ มีไร”
ฉินหลินการละครก็มาอีกครั้ง “ผมพึ่งได้กุยช่ายแปลก ๆ จากดินพิเศษน่ะ สีใบมันผิดปกติมากก็เลยอยากให้พี่เอาไปเช็กให้หน่อย”
“ไหนกุยช่าย” หลี่ไข่ถามทันที
ไม่บอกก็รู้ว่ากุยช่ายมันต้องกลายพันธุ์จากดินพิเศษชัวร์ ๆ
ในห้องทดลองชิงหลินมีผักธรรมดาที่กลายพันธุ์มาแล้วสองครั้ง
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีพืชผักกลายพันธุ์จากดินพิเศษเพิ่มมาอีก ที่สำคัญคือเนื่องจากมีการกลายพันธุ์เกิดขึ้นทางห้องแล็บจึงได้มีเรื่องให้ศึกษาเพิ่มเติมซึ่งก็คือสายพันธุ์ใหม่ที่ได้จากการกลายพันธุ์เหล่านั้นนั่นแหละ
“ทางนิ” ฉินหลินลุกขึ้นและพาหลี่ไข่ไปที่ลานด้านใน
หลี่ไข่ก็ตามไป
คนทั้งคู่ต่างมีทักษะการละครที่ยอดเยี่ยมและเข้าใจซึ่งกันและกันดีดังนั้นความร่วมมือจึงได้สมบูรณ์แบบ
เมื่อมาถึงลานด้านในหลี่ไข่ก็เห็นกุยช่าย เขาสามารถบอกได้ทันทีว่าสีของกุยช่ายเหล่านี้มันผิดปกติเห็น ๆ แต่มันผิดปกติเพราะปลูกในดินพิเศษแล้วกลายพันธุ์หรือว่าเพราะมีโลหะหนักมากเกินไปกันแน่
ทว่าเมื่อพูดถึงดินพิเศษแล้วหลี่ไข่ย่อมแน่ใจว่ามันต้องกลายพันธุ์ชัวร์ ๆ และยิ่งไปกว่านั้นด้วยหญ้าบริสุทธิ์มากมายในคฤหาสน์ชิงหลินจึงไม่อาจมีมลพิษทางอากาศจากโลหะหนักได้
“เดี๋ยวฉันเอาซักกระถางกลับไปทดสอบดูให้ละกัน” หลี่ไข่พูดแล้วหยิบกระถางกุยช่ายแล้วออกจากคฤหาสน์ไปเลย
หลังจากที่กลับมาถึงห้องแล็บหลี่ไข่ก็เรียกให้ผู้ช่วยมาเอากุยช่ายไปทดสอบทันที
ตอนนี้ห้องทดลองชิงหลินได้รับสมัครนักวิจัยเพิ่มขึ้นแล้ว หลี่ไข่จึงไม่จำเป็นต้องทำการทดสอบอย่างยากลำบากด้วยตัวเองอีกต่อไป เรื่องแบบนี้สามารถให้ผู้ช่วยเอาไปทำแทนได้ทั้งหมด
แล้วหลี่ไข่ก็ได้รับรายงานผลการทดสอบในวันรุ่งขึ้น
ผู้ช่วยรายงานด้วยสีหน้าประหลาด ๆ “ศาสตราจารย์หลี่ไข่ได้พืชผักพันธุ์ใหม่อีกแล้วเหรอครับ เพราะกุยช่ายนี้มีความพิเศษมาก จากที่เราวิเคราะห์ได้ก็คือมันมีสารกระตุ้นอารมณ์ทางเพศที่รุนแรงมาก”
“นอกจากนั้นยังมีสารชนิดพิเศษที่สามารถช่วยสลายแอลกอฮอล์ได้ เมื่อเรานำสารนี้มาทดลองใช้ก็พบว่ามันสามารถช่วยสลายแอลกอฮอล์ในเลือดได้ด้วย ซึ่งมันยังไม่ส่งผลต่อการทำงานปกติของตับอีกต่างหาก หากมีการส่งเสริมให้เพาะปลูกในวงกว้างล่ะก็เกรงว่าเจ้าของโรงเหล้าคงจะยิ้มหน้าบานเป็นจานเรดาร์กันเลยเชียวล่ะครับ”
แน่นอนว่าในสายตาของผู้ช่วยเหล่านี้แล้วนี่คือผลงานของศาสตราจารย์หลี่ไข่ เพราะว่าทุกทีมันก็เป็นแบบนี้
ก็ไม่แปลกหรอกที่นอกเหนือจากการเพาะปลูกพืชในห้องทดลองแล้วศาสตราจารย์หลี่ไข่จะมีการปลูกพืชอย่างอื่นโดยส่วนตัวด้วย
หลี่ไข่ไม่ได้ปฏิเสธ เพราะเขารู้ดีว่าสาเหตุมันมาจากดินพิเศษล้วน ๆ แต่ว่าเรื่องนี้ก็ยังถือเป็นความลับอยู่ เหล่าผู้ช่วยย่อมไม่มีสิทธิ์รู้ดังนั้นพวกเจ้าตัวอยากจะคิดอะไรก็ปล่อยให้คิดไป
อย่างไรก็ตามข้อมูลของไอ้เจ้ากุยช่ายกลายพันธุ์นี่มันก็ประหลาดเกินไปจริง ๆ
ถ้าน้องฉินรู้ล่ะก็น่าจะมีอึ้งแน่ ๆ และเขาก็อยากเห็นหน้าอึ้ง ๆ ของน้องฉินแล้วเหมือนกัน
หลี่ไข่รีบนำรายงานไปที่คฤหาสน์ชิงหลินแล้วยื่นผลการทดสอบให้พร้อมกับแสร้งทำเป็นอมพะนำถามว่า “น้องฉิน ลองเดาดูซิว่ากุยช่ายนี่มีผลยังไง”
แน่นอนว่าฉินหลินรู้อยู่แล้วว่ามันมีผลยังไง แต่ว่าเขาก็ต้องใช้ฉินหลินการละครแสดงออกว่าเป็นกังวลให้เห็น “อย่ามัวอมพะนำอยู่เลยพี่หลี่ ผมน่ะอ่านรายงานไม่รู้เรื่องหรอกแล้วจะไปรู้ได้ไงว่าผลมันจะเป็นยังไง”
หลี่ไข่ยิ้มและบอกว่า “นายต้องนึกไม่ถึงแน่ ๆ ว่านอกจากจะเสริมหยางแล้วกุยช่ายนี่ยังช่วยแก้เมาได้ดีกมากด้วย ผลที่ได้ก็แรงมาก เป็นของดีสำหรับเหล่านักดื่มทั้งหลายชัวร์ ๆ”
“แก้เมาเนี่ยนะ?” ฉินหลินแกล้งทำหน้าแปลก ๆ ซึ่งโคตรเนียนเนื่องจากทำบ่อย บางอย่างเมื่อได้ทำเป็นเวลานานก็จะเกิดความช่ำชองเป็นธรรมดา ทักษะการละครนั้นสามารถออกอากาศได้ทุกเมื่อโดยไม่ต้องเตี๊ยม
“อาฮะ” หลี่ไข่มองดูสีหน้าแปลก ๆ ของฉินหลินด้วยความรูสึกถึงความสำเร็จ
ฉินหลินเองก็มองหลี่ไข่โดยรู้ว่าพี่หลี่คิดอะไรอยู่ และตัวเองก็รู้สึกถึงความสำเร็จในใจด้วยเช่นกัน
พี่หลี่นี่ก็ยังหลอกง่ายอยู่เหมือนเดิมเลย
แล้วในตอนนี้เองหลี่ไข่ก็ถามด้วยคำที่บอกเป็นนัย ๆ “นี่น้องฉิน นายมีเหล้าสมุนไพรชิงหลินเยอะมากหนิ เอามาลองผลของกุยช่ายนี่ดูดีปะ”
ฉินหลินเข้าใจทันทีที่ได้ยิน
ทำไมแค่ทดสอบผลของกุยช่ายถึงขนาดต้องใช้เหล้าสมุนไพรชิงหลินด้วยล่ะหืม?
“โอเคเด๋วไปเอาแป๊บ” ในที่สุดฉินหลินก็เลือกที่จะยอมให้หลอกและไปเอาเหล้าที่ห้องเก็บเหล้า
เมื่อหลี่ไข่เห็นว่าเป้าหมายของตนบรรลุแล้วก็ยิ้มแป้นหน้าบาน
หลังจากนั้นไม่นานชิงหลินก็กลับมาพร้อมกับเหล้าสมุนไพรชิงหลิน เปิดฝาแล้วส่งให้หลี่ไข่
หลี่ไข่ยังมีจรรยาบรรณของนักวิจัยอยู่ เขาดื่มเหล้าสมุนไพรเข้าไปอย่างจริงจัง จากนั้นก็ขอให้อาจารย์หลินเอากุยช่ายไปอังไฟให้ซักหน่อยพอสุก จากนั้นในที่สุดก็ลองกิน
แน่นอนว่าอาการเมาดีขึ้นมากตามที่คาดไว้ ซึ่งทำให้เขาต้องชื่นชมซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ขาดปาก
แน่นอนว่าในท้ายที่สุดแล้วเจ้าตัวก็ได้เดินจากไปเงียบ ๆ พร้อมกับเหล้าสมุนไพรชิงหลินที่เหลือขวดนั้น
ฉินหลินดูฉากนี้แต่ยังคงนิ่งเงียบ
พี่หลี่คิดว่าแผนการของตัวเองประสบความสำเร็จ แต่ไม่รู้เลยว่าจริง ๆ แล้วทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา และมันได้เป็นไปตามแผนของเขาหมดแล้ว
หลังจากที่หลี่ไข่จากไปฉินหลินก็โทรหาเติ้งกวง
ตอนนี้กุยช่ายแก้เมาก็ออกมาแล้วและจำเป็นต้องได้รับการส่งเสริม เขากะว่าจะให้บริษัทชิงหลินฟู้ดดำเนินการในเรื่องนี้ และแน่นอนว่าจะไม่มีการส่งเสริมให้คนนอกปลูกได้
เนื่องจากกุยช่ายเป็นอะไรที่ปลูกง่ายและอยู่รอดได้ดีเกินไป โดยทั่วไปแล้วปลูกทีเดียวก็ขยายพันธุ์ได้ยาว ๆ ไปเลย 3 ปีซ้อน แถมวิธีการขยายพันธุ์มันก็ง่ายเกินไป นอกจากเพาะเมล็ดแล้วยังมีการแยกกอย้ายปลูก ตัดแล้วเอาไปปักชำ ฯลฯ
ดังนั้นหากอนุญาตหรือส่งเสริมการเพาะปลูกสู่คนนอกจริง ๆ ล่ะก็จะไม่มีทางควบคุมได้อีกเลย เกรงว่าใช้เวลาเพียงแค่ไม่นานกุยช่ายแก้เมาก็ขึ้นกันพรึบทั่วประเทศแล้ว
ดังนั้นจึงต้องควบคุมแหล่งผลิตของมัน ไม่ใช่แค่นั้น ยังต้องทำถึงขั้นที่แปรรูปให้เป็นกุยช่ายสุกก่อนที่จะนำออกจำหน่าย
ตัวอย่างเช่น เอาไปทำเป็นกุยช่ายอบแห้งแล้วใส่ถุงแพกเกจสวย ๆ
แต่มันต้องอยู่บนพื้นฐานที่ว่าเมื่อทำเป็นกุยช่ายอบแห้งแล้วมันจะไม่ส่งผลกระทบต่อโบนัสคุณสมบัติแก้เมา ซึ่งจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อทดลองทำดูแล้วเท่านั้น
หลังจากที่เติ้งกวงมาถึงฉินหลินก็หยิบเหล้าอีกขวดออกมาพร้อมกับยื่นรายงานผลการทดสอบกุยช่ายให้แล้วบอกว่า “มีของใหม่เป็นกุยช่ายชนิดใหม่ที่กินแล้วจะเสริมพลังหยางพร้อมกับแก้เมาได้ เอาไปลองดู”
นี่เป็นครั้งแรกที่เติ้งกวงได้ยินว่ากุยช่ายสามารถแก้เมาได้ แต่ในเมื่อที่นี่ศาสตราจารย์หลี่ไข่อยู่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจที่จะมีพืชผักชนิดใหม่ ๆ เกิดขึ้นมา
และในเมื่อประธานฉินบอกให้ลองงั้นก็ลอง
แถมนี่ยังเป็นเหล้าที่เถ้าแก่มอบให้ด้วย ซึ่งโดยปกติแล้วเหล้าของเถ้าแก่นั้นหาไหนไม่ได้อีก
เติ้งกวงพยายามยับยั้งชั่งใจไว้ก่อน หลังจากที่ดื่มเหล้าแล้วก็รู้สึกว่าตัวมันดีด ๆ หน่อย ๆ ซึ่งแสดงว่าเริ่มเมาแล้ว จากนั้นก็รีบถามว่า “ไหนกุยช่ายเหรอครับประธานฉิน”
ฉินหลินยิ้มพร้อมกับหยิบกุยช่ายดิบ ๆ ออกมาหนึ่งกำมือยื่นให้เติ้งกวง
“???” เติ้งกวงเห็นแล้วก็งงเต้กไปเลย
กินดิบ ๆ เลยเหรอ? ผมไม่ใช่วัวใช่ควายซักหน่อยนา
ฉินหลินอธิบายว่า “กุยช่ายนี่กินดิบได้เลย แถมอร่อยด้วยนะ”
เมื่อเติ้งกวงได้ยินดังนั้นก็รีบคว้ากุยช่ายเข้าปากทันที
เมื่อได้กินแล้วก็ตาลุกวาว
อร่อยเหมือนที่ประธานฉินบอกเลย ขนาดกินดิบก็ยังอร่อย ถ้าเอาทำเป็นอาหารล่ะก็มันต้องเป็นอาหารที่โอชารสแน่ ๆ
แถมด้วยความอร่อยนี้ยังทำให้มือมันคว้าไม่หยุด ต้นแรกผ่านไปแล้วก็ตามด้วยต้นสอง สาม สี่...
ดีไปหมดทั้งรสชาติรสสัมผัส
แต่หลังจากนั้นไม่นานเติ้งกวงก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้น เพราะหลังจากที่กินกุยช่ายเข้าไปแล้วความรู้สึกดีด ๆ มึน ๆ อันเกิดจากความเมาเหล้าก็หายไปอย่างน่าอัศจรรย์ในช่วงเวลาที่สั้นโคตร ๆ ราวกับว่าตัวเองไม่ได้ดื่มเหล้าเลย
เป็นการแก้เมาที่น่าทึ่งมาก!
เติ้งกวงรีบถามเลยว่า “กุยช่ายนี่จะให้บริษัทชิงหลินฟู้ดเป็นผู้จัดการใช่มั้ยครับ”
ฉินหลินพยักหน้า “ขั้นแรกคือไปเตรียมพื้นที่ปลูกและทำสัญญาซะ เด๋วผมจะเอาเมล็ดพันธุ์ให้ทีหลัง ถึงตอนนั้นก็อย่าลืมเตรียมไลน์ผลิตกุยช่ายอบแห้งด้วย”
“กุยช่ายนี่นอกจากดีแล้วมันยังขยายพันธุ์ง่ายเกินไป เพราะงั้นเรามีเพียงทางเลือกเดียวคือทำเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปเท่านั้น ขอเพียงแค่กุยช่ายอบแห้งนี้ไม่ส่งผลต่อการแก้เมาเราก็สามารถผลิตในปริมาณมาก ๆ ได้เลย”
เติ้งกวงพยักหน้า “เข้าใจแล้วครับ”
กุยช่ายมันก็เหมือนกับวัชพืชซึ่งควบคุมได้ยากจริง ๆ
หลังจากนั้นเติ้งกวงก็กลับมาที่บริษัทชิงหลินฟู้ดหลังจากรับคำสั่งและเริ่มเตรียมการทั้งหมด
ฉินหลินนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ในห้องทำงานกำลังเสิร์จอินเทอร์เน็ตตรวจสอบสถานการณ์ของตลาดซอสมะเขือเทศ
ตลาดซอสมะเขือเทศกลับมาเป็นปกติหลังสงครามระหว่างซอสมะเขือเทศชิงหลินกับซอสมะเขือเทศของไฮนซ์กับฮันส์
ซอสมะเขือเทศชิงหลินขายในราคา 15 หยวน ส่วนสูตรใหม่ของไฮนซ์กับฮันส์ที่ได้จากการแกะสูตรของเขาก็ต้องขายในราคา 15 หยวนด้วยเช่นกัน
แต่เห็นได้ชัดว่าผลประกอบการของไฮนซ์กับฮันส์นั้นไม่ดีเท่ากับซอสมะเขือเทศชิงหลิน หนึ่งคือผู้คนมีอคติโดยมักจะเอนเอียงไปทางผู้ชนะซะมากกว่า เหมือนกับรถยนต์บางยี่ห้อที่ไม่ได้รับการออกแบบมาเพื่อเป็นผู้แพ้
อีกทั้งการกระทำของทั้งสองแบรนด์ในครั้งนี้ก็น่ารังเกียจ เห็น ๆ อยู่ว่าเป็นพวกมันที่เริ่มทำสงครามราคาก่อน แต่พอแพ้ก็อาศัยวิธีการคนร้ายออกตัวก่อนซะงั้น เป็นการแสดงให้เห็นถึงความน่ารังเกียจในวงการธุรกิจของประเทศทุนนิยมอย่างเต็มที่
ซึ่งไอ้ความน่ารังเกียจนี้ก็มักจะทำให้ใคร ๆ เป็นต้องรู้สึกคันไม้คันมือได้ตลอดเวลา
ส่วนด้านซอสมะเขือเทศชิงหลินนั้นกลับมีชาวเน็ตจำนวนนับไม่ถ้วนที่ชื่นชอบและรอคอยซอสมะเขือเทศสูตรใหม่ แม้ว่าจะกำหนดราคาอยู่ที่ขวด 200 กรัม 30 หยวนก็ยังไม่มีใครบ่น
เพียงแต่ผลผลิตของซอสมะเขือเทศชิงหลินสูตรใหม่ยังคงมีจำนวนมีจำกัด และวัตถุดิบนั้นยังหาได้แค่จากสวนมะเขือเทศของฉินหลงเท่านั้นด้วย ดังนั้นจึงยังไม่ได้รับการส่งเสริมให้วางจำหน่ายในวงกว้าง
หลังจากที่เข้าใจสถานการณ์คร่าว ๆ แล้วฉินหลินก็เปิดดูโปรแกรมหลังบ้านของเว็บไซต์คฤหาสน์ชิงหลินและตรวจสอบโควต้าการสมัครเข้าพักฟื้น
ขณะนี้มีคนมาพักฟื้นที่คฤหาสน์ 6 คน ก็มีพวกหลินหลิ่วสามสาวที่พาลูก ๆ มาพักฟื้นด้วย สามที่เขาได้สงวนไว้ให้พวกเฒ่าเฉินอยู่แล้วดังนั้นพวกเธอเข้ามาเมื่อไหร่ก็ได้ ส่วนอีกสามคนก็คือหยวนชื่อทั้งสามท่าน หลี่หยวนชื่อ หลินหยวนชื่อ และฉู่หยวนชื่อ
นี่เท่ากับเกิน 5 ที่ที่เขาเปิดไว้ในตอนแรกแล้ว
พอมันเลยเถิดไปแล้วก็ต้องเลยตามเลย เขาเลยเข้ามาเช็กเป็นระยะ ๆ ซึ่งถ้าเจอคนถูกใจล่ะก็เขาก็ไม่รังเกียจที่จะอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามาพักฟื้นได้
สรุปเป็นประโยคเดียวเลยก็คือ ‘เรื่องของกู’
เขาไล่ดูเอกสารของผู้สมัครทีละราย ๆ และดูเหมือนว่าโดยส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าพักที่คฤหาสน์ แต่ก็อย่างที่บอกว่าส่วนใหญ่ซึ่งแปลว่ายังมีส่วนน้อยอยู่ คือมีคนสองคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสม หลังจากตรวจสอบทางออนไลน์แล้วก็พบว่าทั้งสองเป็นบิ๊กบอสที่ไม่มีชื่อเสียงในโลกออนไลน์ดังนั้นจึงข้ามไป
เขาไม่ได้มีอารมณ์อยากจะให้อีกฝ่ายมาพักฟื้นที่คฤหาสน์ เพราะถึงยังไงเขาก็ไม่ได้พึ่งพาคฤหาสน์เพื่อหาเงิน แต่พึ่งพามันเพื่อเสริมสร้างสไตล์และคลาสให้สูงขึ้นเท่านั้น
ทว่าดูไปเรื่อย ๆ ไม่นานเขาก็เจอกับใบสมัครที่ดึงดูดความสนใจของตัวเองได้ เป็นชายชราที่ชื่อว่าอย่างไรก็ตาม ในไม่ช้าเขาก็ค้นพบแอปพลิเคชั่นที่น่าสนใจมาก เป็นเหมือนครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งชื่อว่าอู๋ไข่ ซึ่งเจ้าตัวเป็นจิตรกร
ยิ่งไปกว่านั้นอู๋ไข่คนนี้ก็ไม่ใช่ธรรมดา หลังจากที่ได้ตรวจสอบข้อมูลในอินเทอร์เน็ตแล้วเขาก็ต้องเซอร์ไพรส์
จิตรกรที่มีชื่อเสียงที่สุดในอินเทอร์เน็ตน่าจะเป็นเหลิ่งจุน
เหลิ่งจุนคือจุดสูงสุดของจิตรกรแนวเรียลลิสติก และยังถือเป็นจุดสูงสุดของจิตรกรในประเทศอีกด้วย หนึ่งในภาพวาดของเขาถูกขายทอดตลาดในราคาสูงสุดที่ 270 ล้านหยวน
เหลิ่งจุนมีชื่อเสียงมากและหลาย ๆ คนก็รู้จักดี สาเหตุส่วนหนึ่งก็มาจากความฮือฮาของโลกออนไลน์นี่แหละ
แต่เหลิ่งจุนไม่ใช่จุดสุดยอดของโลกแห่งการวาดภาพในประเทศ แต่เป็นท่านผู้เฒ่าอู๋ไข่ต่างหาก หนึ่งในภาพวาดของเขาขายได้สูงถึง 350 ล้านหยวน
เพียงแต่ว่าท่านผู้เฒ่าท่านนี้แกชอบทำตัวโลว์โพรไฟล์ ไม่รับการสัมภาษณ์หรือการโฆษณาเกินจริงใด ๆ ดังนั้นจึงมีเพียงนักสะสมที่ร่ำรวยซึ่งชื่นชอบภาพวาดชื่อดังเท่านั้นที่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เว้นแต่จะตรวจสอบข้อมูลทางช่องทางออนไลน์
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเปรียบเทียบกับเหลิ่งจุนแล้ว ข้อมูลในโลกออนไลน์ของท่านผู้เฒ่าอู๋ไข่เองก็มีจำกัดมากเช่นกัน
ฉินหลินอ่านเอกสารสมัครของท่านผู้เฒ่าและเลือกรับโดยแจ้งให้อีกฝ่ายมาที่คฤหาสน์ชิงหลินเพื่อทำตามขั้นตอนให้เสร็จสิ้น
หลังจากดูข้อมูลเกี่ยวกับท่านผู้เฒ่าเสร็จแล้วเขาก็พลันนึกไปถึงภาพวาด “ดอกทานตะวันกลางทะเล” ของแวนโก๊ะ และ “ผู้หญิงถือกลองทองคำ” ของปิกัสโซที่ตัวเองมีอยู่ขึ้นมาได้
ด้วยฝีมือและความรู้ความสามารถในการวาดภาพของท่านผู้เฒ่าอู๋ไข่แล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหาในการช่วยเขาระบุตัวตนของภาพวาดทั้งคู่นี้หรอกมั้ง... เนอะ?
หากภาพเขียนทั้งสองนี้มีอยู่จริงล่ะก็คุณค่าของภาพเหล่านั้นคงมิอาจจินตนาการได้