บทที่ 72 ค่าตอบแทนล้านตำลึง
ฉีฟู่ซ่งยืนขึ้นเพื่อกล่าวคำอำลา ตามด้วยฉีถิงที่เอ่ยขึ้นเกือบจะพร้อมกัน
หลังจากพ้นประตูหน้าของตระกูลหลัว ฉีถิงยังคงโกรธเคืองกับเรื่องที่เกิดขึ้น “ข้าไม่เข้าใจ ขั้นสุดยอดของขั้นหลอมกายามีอะไรดีกัน อีกไม่นานข้าก็จะสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ เมื่อถึงตอนนั้นความสามารถของข้าก็จะอยู่เหนือเขาเป็นแน่ ไฉนท่านถึงดูชมชอบเขามากขนาดนี้”
“อีกไม่นานก็จะสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ได้งั้นหรือ หากมิใช่ว่าคุณชายหลัวเฉิงเมตตาเจ้าในงานชุมนุมล่าสัตว์ เจ้าจะยังสามารถมายืนเถียงข้าได้เช่นนี้ได้หรืออย่างไร”
แม้นเขาจะกล่าววาจาเช่นนั้น แต่ในใจของฉีฟู่ซ่งก็แอบเห็นด้วยกับมุมมองของฉีถิงเมื่อครู่
ในวิถีแห่งผู้ฝึกยุทธ์ ยิ่งระดับพลังยุทธ์สูงมากขึ้นเท่าไหร่ วิญญาณยุทธ์ก็จะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นเท่านั้น
หลังจากตามมาส่งฉีถิงและอีกสองคนของตระกูลฉีกลับไป หลัวเฉิงก็กำลังจะมุ่งหน้าไปยังศาลาหลิงอวิ๋น แต่โดยไม่คาดคิดเลย เถ้าแก่ซูกลับมารอเขาอยู่ก่อนแล้ว
“คุณชายหลัวเฉิง คุณหนูผู้ดูแลศาลาของเราต้องการพบท่าน!”
เถ้าแก่ซูโค้งคำนับเล็กน้อยขนาดกล่าว อากัปกิริยาของเขาที่มีต่อหลัวเฉิงในตอนนี้ เต็มไปด้วยความเคารพอย่างมาก
ภาพที่ได้ประสบพบตรงหน้า พานให้หลัวหมิงซานและคนอื่นๆ ของตระกูลหลัวต่างตกใจเป็นที่สุด
เนื่องจากเบื้องหลังอันยิ่งใหญ่ของศาลาหลิงอวิ๋น เถ้าแก่ซูทำเพียงแค่พยักหน้าเท่านั้นเมื่อได้พบเขา แม้เขาจะเป็นถึงผู้นำของหนึ่งในสามตระกูลหลักแห่งเมืองฉีซานก็ตาม
“เช่นนั้นเราก็รีบไปกันเถอะ”
หลัวเฉิงไม่รอช้า เขารีบเดินตามเถ้าแก่ซูออกไปในทันที
ทว่า สถานที่ที่เถ้าแก่ซูนำทางไปในครั้งนี้ ไม่ใช่ศาลาหลิงอวิ๋น แต่เขาพาหลัวเฉิงไปยังจวนหลังหนึ่ง ซึ่งที่นั่นมีสวนพฤกษาอันน่าตื่นตะลึงและสวยสดงดงามยิ่งนัก
“คุณชายหลัวเฉิง คุณหนูและคนอื่นๆ รอท่านอยู่ข้างในแล้ว”
เถ้าแก่ซูเปิดปากอธิบาย จากนั้นนำทางหลัวเฉิงเข้าไปในจวน แล้วเดินตรงไปยังสวนพฤกษาแห่งหนึ่งภายในจวนหลังนั้น
ภายในลานของสวนพฤกษา มีสะพานเล็กๆ พร้อมกับลำธารไหลพาดผ่านสายหนึ่ง และสิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือต้นหลิว ซึ่งมันถูกลมพัดพริ้วอย่างงดงาม โดยรอบมีเตียงมากมาย ซึ่งพวกมันถูกหุ้มด้วยมวลบุปผาสะพรั่งบาน ดุจเดียวกับสรวงสวรรค์มิมีผิด
“คุณชายหลัว ในที่สุดท่านก็มาถึงแล้ว”
น้ำเสียงอ่อนหวานนุ่มนวลระรื่นหูพลันดังขึ้น พร้อมกับลั่วเหยาที่กำลังขยับร่างอรชรเดินผ่านใต้ต้นหลิว กิ่งก้านของมันลูบไล้เรือนร่างโฉมสะคราญอย่างแผ่วเบา ผิวพรรณของนางเปล่งประกายคล้ายน้ำค้างบริสุทธิ์และขาวผ่องดุจหิมะ สรีระอันละเอียดอ่อนนั้นโค้งเว้าเข้ากันยิ่งนักกับต้นหลิวในยามนี้ ช่างเป็นสตรีผู้มีความงามอันทรงเสน่ห์เข้ากับมวลพฤกษา คล้ายดั่ง เทพธิดาแห่งมวลแมกไม้มิมีผิด
ครั้นหลัวเฉิงได้เห็นฉากราวต้องมนต์สะกดเช่นนี้ เขาก็ถึงกับตกตะลึงในความงามนั้นทันที หากเทียบกับนาง ฉีถิงก็ไม่ต่างอันใดกับลูกเป็ดขี้เหร่ในสระน้ำด้วยซ้ำ
ไม่ช้า ก็ปรากฏภาพชายชราร่างผอม กำลังเดินเข้ามาจากทางด้านหลังของลั่วเหยา
หลัวเฉิงมีความสนใจในตัวตนชายชราผู้นี้ตั้งแต่ตอนงานชุมนุมล่าสัตว์แล้ว
เมื่อได้เห็นชายชราผู้นี้อย่างใกล้ชัดถนัดตา ดวงตาของหลัวเฉิงก็หรี่ลง
ไม่ว่าชายชราผู้นี้จะก้าวไปแห่งใดหรือเดินไปหนไหน ใบหญ้าก็ล้วนไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว เห็นได้ชัดว่าชายชราผู้นี้มีความแข็งแกร่งไม่ธรรมดาเป็นแน่
หลัวเฉิงถอนสายตาจากชายชราผู้นั้น แล้วมองยังลั่วเหยาก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เนื่องจากข้าได้ให้สัญญาไว้กับผู้ดูแลศาลาลั่ว ข้าจะผิดสัญญาต่อท่านได้อย่างไร”
ลั่วเหยาหัวเราะเบาๆ และสิ่งที่ปรากฏขึ้นพร้อมเสียงนั้น คือเส้นโค้งเนื้อนวลเนียนบนทรวงอกของนางที่กระเพื่อมเป็นลูกคลื่น มันช่างน่าดึงดูดและเย้ายวนรัญจวนใจยิ่ง
“การที่คุณชายเรียกข้าว่าผู้ดูแลศาลาลั่วนั้น ช่างฟังดูเหินห่างยิ่งนัก นอกจากนี้ ข้าจะอยู่ที่เมืองฉีซานและทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลศาลาเพียงชั่วคราวเท่านั้น คุณชายโปรดเรียกข้าลั่วเหยาก็พอ ว่าแต่เรื่องการหลอมโอสถได้ความอย่างไรบ้าง”
หลัวเฉิงพยักหน้ากล่าวว่า “ข้าได้สอบถามอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องที่จะช่วยท่านหลอมโอสถแล้ว อาจารย์ข้าก็ตกลงจะช่วยท่านเช่นกัน เพียงแต่ว่า ท่านจะต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยเงินหนึ่งล้านตำลึงสำหรับการหลอมโอสถวิญญาณแต่ละเม็ด!”
ฮึ่ม!
ทันทีที่หลัวเฉิงกล่าวจบ ชายชราร่างผอมที่อยู่ข้างๆ ก็สูดจมูกแล้วกล่าวน้ำเสียงเย็นชา
“ค่าตอบแทนหนึ่งล้านตำลึงสำหรับโอสถวิญญาณแต่ละเม็ดงั้นหรือ ช่างเป็นวาจาที่ขูดรีดกันยิ่งนัก สมุนไพรระดับสี่ดาวมีมูลค่าไม่ถึงล้านตำลึงด้วยซ้ำ”
หลัวเฉิงเหลือบมองชายชราร่างผอมแล้วกล่าวว่า “ไม่ทราบว่าท่านคือ…”
ลั่วเหยารีบอธิบายอย่างรวดเร็ว “นี่คือผู้อาวุโสโม่หลินของศาลาหลิงอวิ๋นเรา เขาคือผู้ที่ต้องการหลอมโอสถวิญญาณ”
หลัวเฉิงพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ในเมื่อผู้อาวุโสโม่ไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้ ข้าก็ไม่มีอะไรจะกล่าวอีกต่อไป ขอตัวลา”
หลังกล่าววาจาเช่นนั้น หลัวเฉิงก็หันกลับแล้วจากไปในทันใด
“ผู้อาวุโสโม่”
ลั่วเหยาเอ่ยแทรกขึ้นด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเป็นกังวลอย่างยิ่ง
นางหวังว่า ด้วยเหตุผลนี้นางจะสามารถออกจากเมืองฉีซานได้ หากปล่อยให้หลัวเฉิงจากไปทั้งแบบนี้ ทุกอย่างที่นางทุ่มเททำมาจะสูญเปล่า
โม่หลินขมวดคิ้วเล็กน้อย สุดท้ายเขาก็ทอดถอนใจแล้วเปิดปากเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“อาจารย์ของเจ้าสามารถหลอมโอสถวิญญาณระดับสี่ดาวให้บริสุทธิ์ได้จริงงั้นหรือ”