บทที่ 64 ความยุติธรรม
ชูเหลียงกลับไปที่ยอดเขาหยินเจี้กฎและอ่านตำรากฎของฉูซานอย่างละเอียด
มีเพียงไม่กี่ย่อหน้าเกี่ยวกับตลาดฝ้ายแดง เกี่ยวกับค่าแผงมีเพียงข้อเดียว พ่อค้าแม่ค้ารายใดที่ขายสินค้าชิ้นใหญ่ในตลาดฝ้ายแดง และครอบครองพื้นที่ขนาดใหญ่ และ/หรือรบกวนระเบียบ จะต้องชำระค่ารบกวนเป็นอัตราหนึ่งต่อสิบของกำไร
สิ่งที่แผงขายชาผลไม้ของชูเหลียงทําคือการให้คนต่อแถวอย่างเป็นระเบียบ ดังนั้นกฎนี้จึงใช้ไม่ได้กับเขาอย่างชัดเจน
ในส่วนของค่าปรับผู้ค้าจะถูกริบกำไรทั้งหมดเป็นค่าปรับก็ต่อเมื่อไม่ยอมจ่ายค่าแผงหลายครั้ง
ในข้อนั้นก็ไม่ได้กล่าวถึงพฤติกรรมของเขาเลย
ก่อนหน้านี้ชูเหลียงไม่ได้ตระหนักถึงกฎเกณฑ์ดังกล่าว เขาไม่แน่ใจกฎและกังวลว่าหากเขากระทำสิ่งใดไปโดยไม่คิดมันอาจเกิดผลยุ่งยากกับเขา เขาจึงไม่ได้โต้เถียงแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม เมื่อกลับมาดูคู่มือก็เห็นได้ชัดว่าคนจากหอวินัยเหล่านั้นมีพฤติกรรมที่ไม่สมเหตุสมผล
เมื่อวิเคราะห์แล้ว ชูเหลียงก็ได้ข้อสรุปว่า เขาถูกรังแก นอกจากนี้เขายังมีเหตุผลที่จะสงสัยว่าศิษย์เหล่านั้นมุ่งเป้าไปที่เขาโดยเฉพาะ
ดังนั้นเขาจึงได้เดินทางไปที่ศาลาของอาจารย์ของเขา
ชูเหลียงรออยู่ประมาณ 2 ชั่วโมงในที่สุดก็เห็นลูกไฟพุ่งกลับมาที่ศาลา ตี้หนิวงเฟิ่งกลับมาแล้วพร้อมสีหน้ามืดมน
วันนี้เธออารมณ์ร้อนเป็นพิเศษ นอกจากนี้ ทุกครั้งที่เธอเข้าร่วมการประชุมระหว่างผู้เชี่ยวชาญสูงสุด เธอจะจบลงด้วยการทะเลาะกับคนอื่น ซึ่งหมายความว่าอารมณ์ของเธอในตอนนี้แย่มาก
ตี้หนิวเฟิ่งที่เห็นชูเหลียงรออยู่นอกศาลาก็เกิดสงสัย
เมื่อใดก็ตามที่เธอเคยอารมณ์ไม่ดี ลูกศิษย์ของเธอคนนี้มักจะเป็นคนแรกที่หนีและซ่อนตัวอยู่ไกลจากเธอ แล้วเหตุใดเขาถึงมาหาเธอวันนี้
"เกิดอะไรขึ้น" ตี้หนิวเฟิ่งถาม
"อาจารย์ที่เคารพ" ชูเหลียงพูดอย่างใจเย็น "ข้าถูกรังแกเข้าแล้ว"
"หือ"
ตี้หนิวเฟิ่งขมวดคิ้วและมีสีหน้าแปลกใจ
ชูเหลียง อธิบายสั้นๆ ถึงขั้นตอนการตั้งแผงขายของที่ตลาดฝ้ายแดง และถูกบังคับให้จ่ายค่าแผงลอยโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร เขายังแบ่งปันการวิเคราะห์ข้อกําหนดในคู่มือกฎของเขากับเธอ
แล้วเขาก็กล่าวว่า "ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การกระทำของพวกเขาเป็นการขู่กรรโชก"
ตี๋หญิงเฟิงโบกมือ "ช่างเถอะ เอาเป็นว่าพวกเขากระทำโดยมิชอบและรังแกเจ้างั้นหรือ... ข้าพูดหรือไม่"
ชูเลี่ยงตอบอย่างเด็ดขาดว่า “ถูกต้องขอรับ”
"เห้อ..ก็ดี"
ตี้หนิวเฟิ่งส่ายหัว ดวงตาของเธอเปล่งประกายด้วยความเจ้าเล่ห์
หลังจากนั้นไม่นานเธอก็อดหัวเราะไม่ได้ "ฮ่าฮ่า..."
ตี้หนิวเฟิ่งยิ้มอีกสักพักและหันหลังเดินไปทางริมผา
"ยอดเขาหยุนเทียนงั้นหรือ" เธอพูดกับตัวเองขณะเดิน "มันหายากมากที่ข้าจะได้มีโอกาสระบายอารมณ์ด้วยเหตุที่สมเหตุผลเช่นนี้..."
ชูเหลียงรีบตามหลังเธอและไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว
...
ลอยขึ้นไปในอากาศและพ่นไฟออกมาเหมือนเปลวไฟที่ลุกโชติช่วง เธอบินไปยังยอดเขาหยุนเทียนอย่างไม่รีบร้อน
อาจารย์และศิษย์แห่งหยินเจี้ยนคู่นี้บินวนอยู่เหนือยอดเขาหยุนเทียน
ยอดเขาหยุนเทียนมีลูกศิษย์หลายสิบคน มีบ้านไม้เล็กๆ ของเหล่าศิษย์ล้อมรอบศาลาของเจ้าแห่งยอดเขา สถาปัตยกรรมอันหรูหราตั้งอยู่ระหว่างเนินเขาและแม่น้ำท่ามกลางฉากหลังของท้องฟ้ายามพระอาทิตย์ตกดินสีแดงและเนินเขาสีเขียวขจี ยอดหยุนเทียนเป็นเหมือนเมืองเล็กๆ ที่เห็นได้ชัดว่าได้รับการดูแลอย่างดี
ตี้หนิวเฟิ่งก้มหน้ามองยอดเขาพลางสูดหายใจเข้าลึก และตะโกนออกมา "ชางซูเหวิน ข้าจะนับถึงสาม จงออกมาหาข้า!"
ครืนน
ท่ามกลางเสียงคำรามอย่างกะทันหันของเธอใบไม้บนยอดเขาหยุนเทียนเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลือง แม่น้ำหยุดไหลทันทีและคลื่นความร้อนแผ่โจมตีจากท้องฟ้าจนทุกคนบนยอดเขารู้สึกเหมือนอยู่ในเตาอบไปครู่หนึ่ง
ตี้หนิวเฟิ่งตกลงมาจากท้องฟ้าตกลงบนพื้นที่ว่างหน้าศาลาหลักของยอดเขา
ตูม ครืนน
การตกลงมาของเธอนั้นมาพร้อมกับคลื่นความร้อนอีกระลอกและนกนับไม่ถ้วนต่างบินแตกตื่นหนีออกจากยอดเขาไปทันที
"ตี้หนิวเฟิ่งหรือ" ร่างของชายใส่เสื้อคลุมสีขาวบินออกมาจากศาลาและเอ่ยถามอย่างสับสน "ท่านมาที่นี่เพราะเหตุใดกัน"
เขาเป็นชายวัยกลางคน สวมเสื้อคลุมยาว สง่างาม ผู้ชายคนนี้มีผมหนาและเงางาม ใบหน้าขาวไม่มีเครา ดวงตาสุกใส ถ้าไม่ใช่การจ้องมองอย่างใจเย็นเพราะสติปัญญาของเขา เขาก็ดูไม่เหมือนคนที่ร้ายกาจเท่าใดนัก
คนผู้นี้คือชางซูเหวิน นักขงจื๊อที่มีชื่อเสียงแห่งฉูซานและเจ้าแห่งยอดเขาหยุนเทียนแห่งนี้นั่นเอง
"ลูกศิษย์ของเจ้ารังแกลูกศิษย์ของข้า ข้ามาที่นี่เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมแทนลูกศิษย์ของข้า" ตี้หนิวเฟิ่งกล่าว
เธอจ้องมองชางซูเหวินด้วยดวงตาร้อนแรงและสง่างามของเธอ
"ข้าเข้าใจแล้ว..." ชางชูเหวินกล่าวอย่างใจเย็นและรีบเอ่ยถาม "ความขัดของศิษย์นั้นเป็นอย่างไรหรือ และศิษย์คนใดของเราที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย โปรดเล่ารายละเอียดที ถ้าศิษย์ของเราทำผิด ข้าจะลงโทษพวกเขาอย่างแน่นอน"
ตี๋หญิงเฟิงมองชูเหลียงที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอ เธอดูเหมือนจะลืมรายละเอียดของสิ่งที่ชูเหลียงเล่าให้เธอฟังก่อนหน้านี้ไปแล้ว
ชูเหลียงก้าวไปข้างหน้าและโค้งคํานับด้วยความเคารพต่อชางซูเหวินอย่างใจเย็น "คารวะขอรับท่านชาง ข้าชูเหลียงขอชี้แจงว่าศิษย์ผู้นั้นเป็นศิษย์พี่แซ่จางแห่งหอวินัย เขามุ่งเป้ามาที่ข้าโดยไม่มีเหตุผล และข่มขู่หลอกลวงเหรียญกระบีของข้าที่ยอดเขาฝ้ายแดงขอรับ"
"แซ่จางงั้นหรือ.. หอวินัย.." ชางชูเหวินพึมพํากับตัวเองและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็พูดว่า "นั่นควรเป็นจางซิงหยวน" เขาพูดเบาๆ พลางยื่นนิ้วออกมาและเขียน "จางซิงหยวน" ในอากาศ จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ผลักมือไปข้างหน้า
ทันใดนั้นก็มีลมกระโชกแรงพัดเอาฝุ่นและใบไม้ที่ร่วงหล่นมาม้วนเป็นลมหมุน ลมพายุพัดกระหน่ำ ในพริบตา ร่างสูงใหญ่ปรากฏอยู่กลางลมหมุน เมื่อลมและฝุ่นจางลง ก็พบว่าชายคนนี้เป็นลูกศิษย์ที่อ้างว่าเป็นตัวแทนของหอวินัยจริงๆ
ชูเหลียงค่อนข้างประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มาก
สิ่งที่ชางซูเหวินทำนั้นเพียงแค่เขียนชื่อก็สามารถเรียกใครบางคนออกมาได้ทันที นี่น่าจะเป็นทักษะแห่งขงจื๊อ ทักษะแบบนี้หายากในนิกายฉูซาน
จางซิงหยวนดูหวาดกลัวเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งเสร็จสิ้นการลาดตระเวนหนึ่งวันและกลับมาที่ยอดเขาหยุนเทียน เขากําลังพักผ่อนอยู่ในกระท่อมของเขาเอง เขาตกใจมากเมื่อลมร้อนแผ่ซ่านเข้ามา ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะมันไม่ควรเป็นเรื่องที่คนอย่างเขาควรใส่ใจ เขาเตรียมที่จะออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าเพียงพริบตาเดียว เขาก็ถูกเรียกมาอยู่ตรงนี้แล้ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อจางซิงหยวนเห็นชูเหลียง ในที่สุดเขาก็เข้าใจ กลายเป็นว่าเขาเป็นศิษย์ของตี้หนิวเฟิ่งงั้นหรือ.. เธอมาเพื่อแก้แค้นให้เขาอย่างนั้นสินะ
ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนและเป็นลางร้ายได้เข้าสู่สมองของจางซิงหยวนอย่างเงียบๆ และเขาคิดได้ทันทีว่าเขากำลังเดือดร้อนแล้ว
ชางซูเหวินกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “จางซิงหยวนข้าขอถามคำถามเจ้า จงตอบอย่างตรงไปตรงมาด้วย”
สิ่งนี้ทำให้จางซิงหยวนรู้สึกรำคาญใจเป็นอย่างมาก
การทะเลาะวิวาทกันระหว่างศิษย์เป็นเรื่องปกติ เรื่องแบบนี้จะถือว่ามีความหมายมากจนให้ผู้เชี่ยวชาญสูงสุดของพวกเขาเข้าร่วมได้อย่างไร มันไม่ควรเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเลย
อย่างไรก็ตาม นี่คือตี้หนิวเฟิ่งผู้ไม่ยอมใคร นักปราชญ์อย่างชางซูเหวินคงไม่สามารถพูดคุยกับเธอได้อย่างแน่นอน
ชางชูเหวินเข้าร่วมนิกายฉูซานหลังตี้หนิวเฟิ่ง เขาจึงไม่ค่อยรู้เรื่องอดีตอันฉาวโฉ่ของตี้หนิงเฟิ่งในนิกายฉูซานนอกจากข่าวลือประปราย อย่างไรก็ตามเขาได้เห็นการเผชิญหน้าของเธอกับผู้เชี่ยวชาญสูงสุดอีกคนซึ่งก็คือหวังซวนหลิงและเขาได้เห็นท่าทีที่เธอไม่เคยเคารพพวกเขาเลย ดังนั้นชางซูเหวินเองก็รู้ว่าตี้หนิวเฟิ่งไม่ใช่คนที่สามารถดูถูกได้อย่างแน่นอน
"ถะ.. ถามมาได้เลยขอรับ" จางซิงหยวนตอบ
ชางชูเหวินชี้ไปที่ชูเหลียงและถามว่า “วันนี้เจ้าได้พบศิษย์หนุ่มคนนี้ที่ยอดเขาฝ้ายแดงและรังแกเขาใช่หรือไม่”
"ไม่เลยขอรับ!" จางซิงหยวนแก้ต่างให้ตัวเองเสียงดัง "ข้าเป็นคนของหอวินัย ทําอะไรก็ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ข้าจะกล้าทําเรื่องแบบนั้นได้อย่างไร"
ชางซูเหวินฟังแล้วก็มองตี้หนิวเฟิ่งครู่หนึ่งก่อนแนะนําเบาๆ "อาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน แทนที่จะยืนเถียงให้เมื่อยล้า สู้เราเข้าไปนั่งคุยกันอย่างละเอียดด้านในศาลาไม่ดีกว่าหรือ"
"ฮ่าๆ ..." ตี๋หญิงเฟิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและมองเขาด้วยความสนใจ "เจ้าไม่ได้ฟังสิ่งที่ข้าพูดหรือ ข้าบอกว่าศิษย์ของข้าถูกพวกท่านรังแก ข้าจึงมาที่นี่เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้เขา เจ้าคงไม่คิดว่าข้ามาที่นี่เพื่อตรวจสอบความจริงของเรื่องนี้หรอกใช่หรือไม่"
ชางซูเหวินกล่าวอย่างช้าๆ "เป็นเรื่องปกติที่คนหนุ่มจะมีความขัดแย้งกันบ้าง และจางซิงหยวนเป็นคนของหอวินัย ด้วยหน้าที่ของเขาเขามักจะขัดแย้งกับศิษย์อื่นๆ เรื่องกฎเป็นเรื่องปกติ“เขาผายมือไปที่ศาลาด้านหลังและแนะนำอีกครั้ง”เราเข้าไปนั่งคุยกันเพื่อหาว่าเกิดอะไรขึ้น เราเพียงแค่ต้องชี้แจงว่าใครผิด ไม่จำเป็นต้องทำลายความสัมพันธ์ของ.."
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะพูดจบ ใบหน้าของตี้หนิวเฟิ่งก็เปลี่ยนไปพร้อมเสียงหักนิ้วของเธอ
ครืนน..
ลูกไฟโผล่ขึ้นมาจากศาลาและเริ่มเผาไหม้จากภายใน
ตูมม
ตี้หนิวเฟิ่งดีดนิ้วและศาลาก็ระเบิดทันที กลุ่มควันคล้ายเห็ดพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเหนือยอดเขาหยุนเทียน
พวกเขาไม่สามารถเข้าไปในศาลาได้อีกต่อไปแล้ว
"ท่านกําลังทําอะไรอยู่" ชางชูเหวินตะโกน รูม่านตาของเขาทั้งตกใจและโกรธเคือง
เขาไม่คิดว่าตี้หนิวเฟิ่งจะทําอะไรรุนแรงเพียงนี้
"นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่ข้าบอกว่าข้ามาเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับศิษย์ของข้า" ตี้หญิงเฟิงตอบ เธอเอียงหัวลงและจ้องมองเขาด้วยแววตาที่เย็นชา "ข้าไม่อยากพูดให้มากความอีกต่อไป"
"แต่ท่านยังมิได้ชี้แจงด้วยซ้ําว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วข้าจะให้ความยุติธรรมได้อย่างไร.."
ท้ายที่สุดแล้วชางซูเหวินเป็นปัญญาชน มันยากสําหรับเขาที่จะอยู่ในความสงบในสถานการณ์เช่นนี้ แต่เขาไม่สามารถแสดงความก้าวร้าวได้เหมือนตี้หนิวเฟิ่ง อีกอย่าง เขารู้ว่าแม้จะเผชิญหน้ากับเธอโดยตรง เขาก็สู้เธอไม่ได้
ดังนั้น ชางซูเหวินจึงทําได้เพียงตําหนิเธออย่างไม่พอใจ "ท่านช่างไม่มีเหตุผลเสียจริงๆ "
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ปฏิกิริยาของตี้หนิวเฟิ่งก็คือการหัวเราะอย่างเย็นชา “ฮ่าๆๆ”
สายตาที่ดูถูกเหยียดหยามของเธอจ้องเขม็งอย่างสะใจราวกับจะพูดว่า “เพิ่งรู้ว่าข้าไร้เหตุผลในวันนี้หรือ”
ตี้หนิวเฟิ่งถูนิ้วตัวเองเหมือนพร้อมที่จะระเบิดอีกครั้ง การสร้างอาคารเหล่านี้บนยอดเขาอาจใช้เวลานาน แต่การทําลายพวกมันใช้เวลาเพียงพริบตาเท่านั้น
"ช่างเถอะ ข้าจะไม่เถียงกับท่านหรอก" ชางซูเหวินพูดด้วยความโกรธ เขาสะบัดแขนเสื้ออย่างแรงและมองไปทางชูเหลียง "เขารีดไถเหรียญกระบี่เจ้าไปเท่าใดเล่า ข้าจะชดใช้ให้เจ้าแทน"
เขาเลือกคุยกับชูเหลียงเพราะเขารู้สึกว่าตี้หนิวเฟิ่งไร้เหตุผลจนเกินไปและไม่อยากสื่อสารกับเธอ ในทางกลับกัน ลูกศิษย์ของเธอดูสุภาพเรียบร้อย ชูเหลียงพูดจาชัดถ้อยและต่อเนื่องเหมือนคนซื่อๆ เขาจึงไม่น่าจะรับมือได้ยากเหมือนอาจารย์อันธพาลของเขา
ภายใต้การจ้องมองของชางซูเหวิน ชูเหลียงมองไปที่จางซิงหยวนและอาจารย์ของเขาตี้หนิวเฟิ่ง
จากนั้นชูเหลียงตอบอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าที่ดูเหมือนขี้ขลาดเล็กน้อยว่า "ห้า.. หมื่นเหรียญขอรับ"