บทที่ 63 ให้ความร่วมมือมากเกินไป
อย่างไรก็ตาม ความกังวลของชูเหลียงนั้นไม่จำเป็น อารมณ์ของตี้หนิวเฟิ่งนั้นอยู่ได้ไม่นาน
และไม่นานนักก็มีนกน้อยสีฟ้าบินเข้ามาตกลงบนยอดศาลาของตี้หนิวเฟิ่ง
นั่นคือนกสีฟ้าจากยอดเขาตงเทียน การปรากฏทุกครั้งของมันหมายความว่ามีเรื่องสําคัญเกิดขึ้นและต้องการผู้เชี่ยวชาญระดับสูงมารวมตัวกันที่วังไร้พรมแดน
เนื่องจากไม่ใช่วันประชุมใหญ่ประจําของยอดเขา การชุมนุมอย่างกะทันหันนี้น่าจะเป็นเพราะการกลับมาของเทพปีศาจ
เมื่อชูเหลียงเพิ่งกลับมาที่ยอดเขาในวันนั้น เขาได้รายงานการค้นพบเรื่องนี้ต่ออาจารย์และผู้รับผิดชอบคนอื่นแล้ว แต่มันยังไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะในเวลานั้นและดูเหมือนจะยังไม่เร่งด่วน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ทุกคนทราบเรื่องนี้แล้ว ดังนั้นทางฉูซานจําเป็นต้องกําหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสมในการรับมือ
ตั้งแต่หอคอยปีศาจหายไป สถานะของนิกายฉูซานก็ลดลงเรื่อยๆ ผู้คนไม่ถือว่านิกายฉูซานเป็นผู้กอบกู้โลกอีกต่อไป ถึงกระนั้น สมาชิกทุกคนของนิกายฉูซานยังคงถือว่าการปกป้องโลกมนุษย์เป็นหน้าที่หลักของพวกเขา หน้าที่นี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว
มันเป็นความรับผิดชอบของนิกายเซียนอมตะที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน
แม้ฟ้าจะถล่มลงมา แต่ก็มีคนสูงใหญ่คอยประคับประคอง พายุยังคงก่อตัวขึ้นในระดับสูง ชูเหลียงไม่ยอมเสียพลังงานใดๆ ที่จะคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาควบคุมไม่ได้
เขาเห็นว่านี่เป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้ว เขาจึงมุ่งหน้าไปยังยอดเขาฝ้ายแดง
เขาหาเงินไปพลางบ่มเพาะไปพลาง เขาทําภารกิจสองอย่างในเวลาเดียวกันให้สําเร็จได้ ดังที่สุภาษิตโบราณกล่าวไว้ว่า ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
บนยอดเขาฝ้ายแดงคึกคัก ทันทีที่ชูเหลียงมาถึง ชายคนหนึ่งที่รออยู่แล้วก็จําได้ทันทีว่าเขาเป็นคนขายชาผลไม้เมื่อวานนี้
มีคนตะโกนขึ้นมาทันทีว่า “ท่านขอรับ วันนี้ท่านชงชาผลไม้มาเท่าใดหรือ เมื่อวานข้าต่อแถวกว่าครึ่งวันแล้วก็ยังไม่ได้ลิ้มรสมันเลย”
“ไม่ต้องห่วง” ชูเหลียงตอบด้วยรอยยิ้ม “แต่ข้ามีไม่มากนักหรอก”
รอยยิ้มบนใบหน้าของชูเหลียงและคําพูดในปากดูเหมือนจะขัดแย้งกันเล็กน้อย ชายคนนี้ตกตะลึงและเดินตามหลังชูเหลียงไปอย่างรวดเร็ว
ชูเหลียงเดินไปที่เดิมและกางผ้าผืนเล็กพร้อมจัดป้าย
"ชาผลไม้ถ้วยแรกของฤดูใบไม้ผลิ"
ในไม่ช้า คนที่พลาดชาของเขาเมื่อวานนี้ก็เข้าร่วมอย่างรวดเร็วด้วยความอยากรู้อยากเห็น
จริงๆ แล้วคนที่มาเข้าแถวเมื่อวานมีเพียงไม่กี่คนที่มาวันนี้ อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของมนุษย์ก็เริ่มทำงาน เมื่อเห็นการต่อแถวรุมล้อมขึ้นมาอย่างผิดปกติ คนอื่นๆ ก็ถามอย่างสงสัยว่าชูเหลียงขายอะไร นั่นเพราะสถานการณ์นี้ไม่ค่อยเกิดขึ้นในตลาดฝ้ายแดงนัก
จากนั้นมีการชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและพูดถึงรอยยิ้มของนางฟ้าเจียง
ไม่นานนัก ผู้คนก็สนใจในชาผลไม้มากขึ้น
ชาผลไม้กว่า 30 กระบอกที่เขานำมาวันนี้ขายหมดอย่างรวดเร็ว บางคนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง บรรยากาศเต็มไปด้วยการร้องเรียนไม่พอใจ
ชูเหลียงจึงต้องลุกขึ้นกราบกรานอีกครั้ง "ข้าขอโทษด้วย แต่กรุณามาเร็วกว่านี้ในวันพรุ่งนี้นะขอรับ"
ชายคนหนึ่งเข้ามาใกล้และถามว่า "นายท่าน ข้าจะให้เงินท่านเป็นสองเท่า ท่านจะขายให้ข้าโดยไม่ต้องรอต่อแถวได้หรือไม่"
"ขออภัยขอรับ" ชูเหลียงยิ้มและส่ายหัว
การละเมิดกฎที่จัดตั้งขึ้นสำหรับเหรียญกระบี่ของเขาจะทำลายความสมบูรณ์ของธุรกิจของเขาไป
มันไม่คุ้มค่าที่จะเสี่ยงกับการสูญเสียครั้งใหญ่เพื่อผลประโยชน์เพียงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ขณะที่ชูเหลียงกำลังเก็บแผงขายของเพื่อเตรียมเดินทางกลับในวันนี้ มันได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น
...
คนสามคนเดินเข้ามาใกล้และล้อมชูเหลียง
"หืม" ชูเหลียงพึมพํากับตัวเอง
เขาเงยหน้าขึ้นและเห็นแต่เป็นศิษย์หนุ่มร่างสูงคนหนึ่ง เขามีสีหน้าไม่เป็นมิตรและดูเหมือนจะมีรอยยิ้มปลอมๆ บนใบหน้าของเขา
คนเหล่านี้แต่งกายด้วยเสื้อปักตราดาบไขว้ แสดงถึงสัญลักษณ์ของหอวินัย
พวกเขาเป็นศิษย์แห่งหอวินัยงั้นหรือ
หอวินัยมีหน้าที่ควบคุมไกล่เกลี่ยความเรียบร้อยในนิกายฉูซาน พวกเขาจะส่งศิษย์ไปยังที่ต่างๆ ในบางคราวเพื่อตรวจตราความเรียบร้อย ที่ยอดเขาฝ้ายแดงเองก็เช่นกัน
ชูเหลียงที่ทําตัวดีมาตลอดไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนของหอวินัยจึงเข้าหาเขา
“ข้าเฝ้าดูท่านมาสองวันแล้ว” ผู้ที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้าศิษย์กล่าว “สองวันนี้ชื่อเสียงท่านดีพอสมควรเลยนะขอรับ”
"ข้าเพียงตั้งแผงค้าขายตามปกติ" ชูเหลียงตอบอย่างใจเย็น
“ท่านบอกว่าปกติหรือ ท่านยังมิได้จ่ายค่าแผงลอยด้วยซ้ำ” ศิษย์หนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้ม
"ค่าแผงลอยหรือ" ชูเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย "ตลาดฝ้ายแดงมีค่าแผงลอยด้วยหรือ"
"คนอย่างพวกเขาไม่ต้องจ่ายเงิน แต่อย่างท่าน มีการจัดระเบียบแถว ใช้พื้นที่มาก รบกวนระเบียบของตลาดฝ้ายแดง ท่านต้องรายงานตัวและจ่ายค่าแผงล่วงหน้า" ศิษย์หนุ่มกล่าวอย่างดุเดือด
"มีกฎแบบนี้ด้วยหรือ" ชูเหลียงขมวดคิ้วครุ่นคิด
ศิษย์หนุ่มหรี่ตา "เอาล่ะ ท่านกำลังตั้งคำถามกับหอวินัยงั้นหรือ"
ชูเลี่ยงพิจารณาสถานการณ์ ผู้ที่กำลังพูดอยู่นี้อาจอยู่ในระดับแกนทองคำ คนที่อยู่ข้างหลังเขาอาจมีระดับการฝึกฝนที่คล้ายกันและน่าจะอยู่ในช่วงปลายของขอบเขตการตระหนักรู้ทางจิตวิญญาณ
นอกจากนี้ หอวินัยยังมีอำนาจในการจัดการกับการประพฤติมิชอบได้ตลอดเวลา
"ข้าเพิ่งมาตั้งแผงขายของเมื่อเร็วๆ นี้และอาจจะไม่คุ้นเคยกับที่นี่มากนัก" ชูเหลียงตอบพลางยิ้มเบาๆ แล้วถามต่อว่า “ข้าต้องจ่ายเท่าใดหรือ”
"ค่าแผงลอยเป็นหนึ่งส่วนสิบของรายได้ของท่าน" ศิษย์หอวินัยกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา "แต่ในกรณีของท่าน ท่านต้องถูกลงโทษจากความล่าช้าสองวันมานี้ท่านหาเหรียญกระบี่ได้เท่าใดต้องส่งมาให้หมด อย่าคิดว่าจะซ่อนเด็ดขาด..."
ชูเหลียงพยักหน้าแล้วพูดว่า "สองวันมานี้ข้าหาเหรียญกระบี่มาได้สี่สิบเก้าเหรียญแล้ว"
ภายใต้สายตาที่เย็นชาของศิษย์แห่งหอวินัย ชูเหลียงเริ่มหยิบเหรียญกระบี่ออกมาจริงๆ
เขาไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อย
ศิษย์หอวินัยเองก็ถึงกับแข็งทื่อและดูประหลาดใจ "อืม..."
ชูเหลียงก็หยิบเหรียญกระบี่ห้าสิบเหรียญยื่นออกมาให้ แล้วพูดอย่างสบายใจว่า “ห้าสิบเหรียญนะขอรับ ท่านลองตรวจสอบอีกที”
เขาไม่เพียงแต่ไม่ได้ปิดบังอะไร แต่เขายังจ่ายเหรียญเพิ่มอีกด้วย”
"นี่..." ศิษย์หนุ่มลังเลอยู่ครู่หนึ่งเมื่อรับเหรียญกระบี่
เมื่อชูเหลียงเห็นหน้าศิษย์แห่งหอวินัยเขาก็ได้เอ่ยถาม "ท่านช่างดูคุ้นหน้า เราเคยพบกันมาก่อนหรือไม่ขอรับ"
ศิษย์หนุ่มอีกสองคนข้างๆ มองเขาแล้วพูดด้วยความโมโห "เจ้ากล้าแกล้งทําเป็นสนิทกับพวกข้าหรือ ไม่มีประโยชน์ เจ้าต้องจ่ายค่าที่อยู่ดีนั่นแหละ"
"ข้ารู้ เพียงแต่ข้าคิดว่าข้าเคยเห็นพวกท่านมาก่อน" ชูเหลียงตอบพร้อมกับเกาหัว “พวกท่านมาจากยอดเขาใดหรือ ข้าคิดว่าเราเคยปฏิบัติภารกิจด้วยกันนะขอรับ”
"ข้าเป็นมาจากยอดเขาหยุนเทียน" เขากล่าวขณะรับเหรียญกระบี่ "ข้าไม่เคยเห็นท่านมาก่อน"
"ท่านคือศิษย์พี่หวังแห่งยอดเขาหยุนเทียนนี่เอง" ชูเหลียงตบหน้าผากตัวเอง "เราปฏิบัติภารกิจด้วยกัน ข้าว่าแล้วข้าต้องจําไม่ผิด"
ศิษย์หนุ่มจ้องมองชูเหลียงเหมือนกําลังมองคนโง่คนหนึ่ง "ฮ่าฮ่า ข้าแซ่จางน่ะ"
ชูเหลียงยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นหรือ ข้าคงเข้าใจผิดไปขอรับ”
เขาโบกมืออย่างสุภาพแล้วจากไป
...
หลังจากที่เขาจากไปศิษย์หนุ่มก็ยิ้มแย้ม “เขานี่ช่างไม่ฉลาดเอาเสียเลย เพียงอุบายเล็กน้อยก็ยอมให้เงินพวกเราแล้ว”
"แต่แบบนี้มันจะเหมาะสมหรือ" ศิษย์หอวินัยอีกคนหนึ่งถามอย่างลังเล "เราใช้ชื่อหอวินัยไปรีดไถเงินเขานะ"
"หึ ชายผู้นั้นเป็นศัตรูของศิษย์น้องของเรานะ”
จากนั้นพวกเขาก็เดินไปยังฝั่งที่ชาย 3 คนรอพวกเขาอยู่ พวกเขาคือชางจื่อเหลียงและลูกสมุนทั้งสอง ทั้งสามคนถูกพันด้วยผ้าพันแผลทั่วร่างกาย
"เหตุใดจึงให้ข้าทำเพียงรีดไถเขาเล่า เหตุใดไม่จัดการเขาให้เด็ดขาดแล้วทําให้เขาไม่สามารถขายของในตลาดฝ้ายแดงได้อีกต่อไป"
ชางจื่อเหลียงยักไหล่ “ข้าคิดว่าเขาจะขัดขืน แล้วเราก็จะได้เหตุผลมาจัดการเขา แต่ข้าไม่คิดว่าเด็กคนนี้จะไร้เดียงสาถึงเพียงนี้ เขาเชื่อทุกอย่างและมอบเหรียญกระบี่ให้เราโดยง่าย นอกจากนี้บริเวณนี้มีผู้คนมากมาย ข้าจะทำอะไรได้อย่างไรเล่า”
"โถ่เว้ย!" ชางจื่อเหลียงตะโกนอย่างโกรธเคือง
โดยก่อนหน้านี้เขากับสมุนทั้ง 2 ได้วางแผนร้ายต่อชูเหลียงบนยอดเจดีย์ขุมทรัพย์ แต่ใครจะคิดว่าพวกเขาจะถูกกิ้งก่าตัวใหญ่ที่ตกลงมาจากฟ้าทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส
ถ้าไม่ใช่เพราะร่างกายที่แข็งแรงกว่าคนปกติในฐานะผู้บ่มเพาะพวกเขาคงตายไปแล้ว โชคดีที่พ่อของเขาปรมาจารย์แห่งยอดเขาได้ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของเขาและสมุนทั้งสองจนดีขึ้นได้ภายในไม่กี่วัน
พวกเขาตัดสินใจมาเดินเล่นเพื่อผ่อนคลายที่ตลาดฝ้ายแดงเมื่อวานนี้ เพื่อหวังสูดอากาศบริสุทธิ์ พวกเขาไม่คิดว่าจะเจอชูเหลียงที่น่ารังเกียจอีกครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะชูเหลียง พวกเขาคงไม่ต้องทรมานถึงเพียงนี้
ชางจื่อเหลียงแอบโทษชูเหลียงสําหรับความเจ็บปวดและความทรมานทั้งหมด เขารู้สึกเหมือนมีหนามยอกอกและหนามในเนื้อ ความคับข้องใจของเขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเห็นเจียงเยว่ไป๋เดินมาและยิ้มให้กับชูเหลียงอย่างสง่างามและเพิ่มความนิยมของชาผลไม้ของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ
เธอคือนางเจียงแห่งฉูซาน ตัวตนที่ชางจื่อเหลียงกล้าคิดฝันเอื้อมมือ
อารมณ์ที่ซับซ้อนต่างๆ ผสมผสานกัน ชางจื่อเหลียงจ้องมองที่ชูเหลียงที่กำลังทำธุรกิจไปได้ด้วยดี ในขณะนั้นเขารู้สึกเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่คร่าชีวิตพ่อของเขา (พ่อของเขายังมีชีวิตอยู่ -_- ก็พึ่งช่วยรักษาเขากับลูกสมุนไปไง)
ใจเขาทนไม่ไหวรีบวิ่งเข้าไปชกชูเหลียง..
..อย่างไรก็ตาม ด้วยสภาพที่ตอนนี้ซึ่งเขายังต้องพิงกําแพงในการเดิน ชางจื่อเหลียงจึงไม่สามารถดําเนินการตอบโต้ใดๆ ได้เลย โชคดีที่ศิษย์ของหอวินัยซึ่งรับผิดชอบการกํากับดูแลตลาดฝ้ายแดงเป็นคนจากยอดเขาหยุนเทียนเช่นเดียวกับชางจื่อเหลียงและเป็นศิษย์พี่ที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขา
ชางจื่อเหลียงจึงขอให้ศิษย์พี่จางช่วยจัดการกับชูเหลียงด้วยสถานะสมาชิกของหอวินัยของศิษย์พี่จาง นี่เป็นวิธีที่สะดวก ในตอนแรก แผนการของพวกเขาคือหาข้อบกพร่องของชูเหลียงและให้บทเรียนแก่เขา
ใครจะคิดว่าชูเหลียงจะยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี ไม่เพียงแต่เขาไม่ตอบโต้ แต่เขาตอบสนองอย่างอ่อนโยนอีกด้วย
"ไม่ต้องเป็นห่วง" พี่จางพูดด้วยรอยยิ้ม "ถ้าเขามาใหม่พรุ่งนี้ข้าจะใช้วิธีอื่นจัดการกับเขา แม้ว่าเขาจะซื้อมาก แต่ก็ควรต้องอารมณ์เสียภายในสองหรือสามวันเป็นแน่ เมื่อเขากล้าต่อต้าน ข้าก็จะสั่งสอนเขาแทนเจ้าแน่นอน ถ้าเขาไม่ขัดขืน ข้าจะทําให้เขาท้าทายเขามากขึ้นไปอีกจนเขาไม่กล้ากลับมายังตลาดฝ้ายแดงอีก"
ซางจื่อเหลียงพยักหน้าอย่างดีใจ "ยอดเยี่ยมไปเลยขอรับ"
"แต่..." สมุนคนหนึ่งดิ้นรนเพื่อพูดทั้งๆ ที่มีผ้าพันแผลพันที่คอ "ข้ามีความรู้สึกว่าเรื่องมันจะไม่ง่าย.. เขาดูให้ความร่วมมือมากเกินไป!"
"มิจำเป็นต้องคิดให้ซับซ้อน เขาก็เพียงคนโง่มิใช่หรือ" ศิษย์พี่จางยิ้ม "เขาโบกมือให้ข้าด้วยซ้ำ"
“อืม” สมุนของชางจื่อเหลียงครุ่นคิดพลางหันไปถามสมุนอีกคน “เจ้าว่าเราควรทำอย่างไร”
สมุนอีกคนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า และทันใดนั้นเขาก็ตาสว่างราวกับว่าได้ความคิดบรรเจิดมา "ข้าคิดว่าเราควรไปกินอะไรอร่อยๆ กันดีกว่า"