ตอนที่ 20: คิดอย่างถ้วนถี่
ตอนที่ 20: คิดอย่างถ้วนถี่
“เฮ้! เป็นอะไรไปน่ะ? หากไม่เอาของมาให้ฉัน คุณจะโดนฉันระเบิดเอานะ?”
หวังยวนเพียงขยับสายตาและโบกมือ แล้วกระบี่ของเสี่ยวไป๋จึงจ่อเข้าที่ลำคอของเจียงเกอ
“ฉันเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นลิชแล้ว คุณคิดว่าฉันจะยังกลัวตายอยู่หรือไง?” เจียงเกอยิ้มหยัน "ไม่ต้องห่วง ต่อให้คุณฆ่าฉันไปก็ไม่ได้ตะเกียงชักนำวิญญาณหรอก"
“ไอ้บัดซบเอ๊ย...”
หวังยวนรู้สึกปวดหัวขึ้นมา
ยอดเยี่ยมมาก คนผู้นี้ยังหัวแข็งเหมือนเดิม ไม่มีทีท่าว่าจะโอนอ่อนแม้แต่น้อย
“คุณจะฆ่าหรือคุณจะออกไปที่นี่ก็เชิญ! เพราะไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่อยากมีชีวิตแล้ว” เจียงเกอมีสีหน้าราวกับสูญสิ้นความหวังทั้งหมดในชีวิตไปแล้ว
“มันจะมีความหมายอะไร?” เสี่ยวไป๋สับสนเล็กน้อย
“เหลวไหล! เขาศึกษาหัวข้อนี้มาทั้งชีวิต แต่พี่หนิวกลับคลี่คลายเรื่องนี้ได้โดยไม่ต้องคิด สภาพจิตใจคงจะแตกสลายไปแล้ว” ต้าไป๋มองออกอย่างชัดเจน
“ดูเหมือนสหายผู้นี้จะไม่กลัวตายสินะ…”
“อาการหวาดระแวงแบบนี้คือความกลัวที่จะไม่บรรลุเป้าหมาย” ต้าไป๋เอ่ยคำ
…
"อืม..."
หวังยวนหรี่ตาเมื่อได้ยินเช่นนี้ หลังจากเงียบสักพักจึงเอ่ยคำ "เสี่ยวเจียงเอ๋ย ถึงยังไงพวกเราก็เป็นสหายมาได้ครึ่งทางแล้ว ไม่ใช่ว่าฉันจะดูถูกคุณหรอกนะ แต่คุณยังไม่เชี่ยวชาญการอัญเชิญขั้นสูงเลย ถ้ามาตายเอาตอนนี้มันจะไม่น่าเศร้าไปหน่อยเหรอ?”
"เอ่อ..."
เจียงเกอตกตะลึงชั่วขณะ จากนั้นจึงเอ่ยคำ "แล้วฉันจะไปทำอะไรได้!"
“คุณรู้ใช่ไหมว่าทำไมอาจารย์ซูลถึงขอตะเกียงชักนำวิญญาณ?” หวังยวนถามอีกครั้ง
"ฉันจะไปรู้ได้ไง!" เจียงเกอเอ่ยคำ “ตาเฒ่านั่นมันจะไปมีเจตนาดีได้ยังไง”
"ฮิฮิ!"
หวังยวนหัวเราะแผ่วเบาแล้วเอ่ยคำ "ที่จริงแล้วอาจารย์ซูลกำลังศึกษาวิธีการอัญเชิญอันเดดที่มีวิญญาณเหมือนกัน ตอนนี้เข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายแล้ว สิ่งที่ขาดไปคือตะเกียงชักนำวิญญาณของคุณ"
"จริงเหรอ?" ดวงตาของเจียงเกอทอประกาย
"จริงสิ!" หวังยวนพยักหน้า "หากคุณให้ตะเกียงชักนำวิญญาณตอนนี้ คุณจะถือว่ามีส่วนร่วมในผลการค้นคว้าจนสามารถเอาไปแบ่งปันภายหลังได้ไม่ใช่เหรอ? แต่ถ้าไม่ให้ขึ้นมา คุณจะไม่มีวันค้นพบวิธีเลยไปตลอดชีวิต"
หลังจากพูดถึงตรงนี้ หวังยวนจึงเอ่ยคำต่อ "ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ฆ่าคุณหรอก แล้วก็จะปล่อยให้คุณได้มีชีวิตรอด ถึงตอนนั้นคุณจะเห็นกับตาเองว่าเนโครแมนเซอร์ทุกคนสามารถอัญเชิญอันเดดที่มีวิญญาณได้ ถึงยังไงคุณก็เป็นลิช คุณสามารถมีชีวิตอยู่ได้ชั่วนิรันดร์ หากไม่ได้รู้ขึ้นมาคงจะอึดอัดใจไม่น้อย”
“…”
สีหน้าของเจียงเกอเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินคำพูดของหวังยวน
หวังยวนพูดถูก แม้เจียงเกอจะไม่ชอบซูล แต่ซูลคือตัวตนสูงสุดในด้านเนโครแมนเซอร์ เป็นรองเพียงลาสมาซึ่งเป็นเทพแห่งความตาย
หวังยวนบอกว่าการค้นคว้าของซูลมาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว ซึ่งเจียงเกอไม่ได้เคลือบแคลงสงสัยแต่อย่างใด
ถึงอย่างไรตัวหวังยวนเองก็สามารถอัญเชิญอันเดดที่มีวิญญาณได้
อย่างที่หวังยวนว่าเอาไว้ ขอเพียงมอบตะเกียงชักนำวิญญาณให้ก็จะถือว่ามีส่วนร่วมในผลการค้นคว้าของซูล
แต่ถ้าไม่ส่งมอบให้ ผลการค้นคว้าก็จะยังเป็นความลับจากตนเองในอนาคตอย่างแน่นอน
เจียงเกอตามหาการอัญเชิญขั้นสูงมาหลายปีแล้ว ตอนนี้ผลลัพธ์ได้มาอยู่ตรงหน้า มันใกล้จนเจียงเกอไม่สามารถต้านทานสิ่งล่อตาล่อใจนี้ได้
"ฮิฮิ!"
เมื่อเห็นสีหน้าของเจียงเกอแล้ว หวังยวนจึงหัวเราะแผ่วเบา
นักปรัชญาชื่อฉานซินเต้ากู่เคยบอกว่าการเข้าใจผู้อื่นเป็นเรื่องง่าย ขอเพียงคิดว่าพวกเขาต้องการอะไรและหวาดกลัวสิ่งใดก็พอแล้ว
เจียงเกอต้องการอะไร?
แน่นอนว่าต้องการวิธีอัญเชิญที่สามารถอัญเชิญอันเดดที่มีวิญญาณอิสระ
เจียงเอหวาดกลัวสิ่งใด?
แน่นอนว่ามันคือการที่คนอื่นสามารถอัญเชิญอันเดดที่มีวิญญาณอิสระได้ แต่มีเพียงตัวเองที่ทำไม่ได้
เมื่อระบุสองสิ่งนี้ได้แล้ว หวังยวนจึงควบคุมเจียงเกอด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำได้อย่างง่ายดาย
แม้กระทั่งโครงกระดูกทั้งสองยังอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมาในเวลานี้
“คุณคิดว่าคนนี้เลวได้ขนาดไหน...”
“ขนาดเจียงเกอยังโดนเขาต้มเลยเหรอ?”
“ใช่ไหมล่ะ? ชีวิตของลิชคงอยู่ชั่วนิรันดร์ หากเจียงเกอเห็นเนโครแมนเซอร์อัญเชิญอันเดดที่มีวิญญาณได้ เขาคงขาดใจตายไม่ผิดแน่ ไม่สิ ยังไงก็ตายไม่ได้อยู่แล้ว คงเป็นชีวิตที่แย่ยิ่งกว่าความตายมากกว่า!”
“มืดมิดนัก! จิตใจช่างมืดมิดเหลือเกิน!”
…
“ไม่! ฉันขอปฏิเสธ!”
หลังจากเงียบไปไปหนึ่งนาทีเต็ม ในที่สุดเจียงเกอจึงส่ายหน้า
“หา? คุณพูดจริงเหรอ?”
หวังยวนตกตะลึงเมื่อเห็นการยืนกรานของเจียงเกอ คำพูดของนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเขาเลยเหรอ? สหายผู้นี้เป็นคนแบบไหนกัน?
"อื้ม!"
เจียงเกอเอ่ยคำ "หากไม่มีตะเกียงชักนำวิญญาณ ซูลอาจจะทำไม่สำเร็จก็ได้ อีกอย่างเงื่อนไขของคุณไม่มากพอที่จะทำให้ฉันยอมจำนนได้"
“เวร!! คุณนี่มันดื้อด้านเหลือเกิน!” หวังยวนแทบเสียสติ!
ทำไมถึงต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย
ขนาดงัดทั้งไม้แข็งไม้อ่อนมาแล้วก็ยังไม่มีประโยชน์ ต่อให้ใช้ควบคู่กันก็ยังไม่เกิดผล
ทว่าเมื่อหวังยวนกำลังจะยอมแพ้
สุ่ยหลิงหลงเดินขึ้นมาจากใต้แท่นบูชาขณะถามด้วยความสงสัย “เกิดอะไรขึ้น?”
“ไอ้หมอนี่มันทำตัวเหลวไหล!” หวังยวนอธิบายสถานการณ์โดยสังเขปให้ทราบ
“เลิกพูดจาเหลวไหลได้แล้ว!”
หลังจากฟังเรื่องราวของหวังยวนจบ สีหน้าของสุ่ยหลิงหลงจึงเปลี่ยนไปขณะหยิบถุงเงินออกมาจากกระเป๋าแล้วถามเจียงเกอ "หนึ่งร้อยเหรียญทองพอหรือไม่!!"
“???”
หวังยวนตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนี้ "ใช้เงินกับเขาจะไปมีประโยชน์อะไร..."
ก่อนหวังยวนจะทันพูดจบ เจียงเกอกลับจ้องถุงเงินในมือของสุ่ยหลิงหลงแล้วเอ่ยคำ "น้อยไปไหม? เพิ่มอีกได้หรือเปล่า?"
"ฉัน..."
หวังยวนแทบจะกระอักโลหิตออกมา
ดีมาก!!
ตัวเองคิดเกี่ยวกับเจียงเกอมากเกินไป นึกว่าเขาจะเป็นวีรชนมากกว่านี้ ไม่ว่าตัวเองจะพยายามล่อหลอกเพียงใดก็ไม่ติดกับแม้แต่น้อย แต่กลับกลายเป็นว่าพวกหน้ามืดตามัวเมื่อเจอกับเงินตราเข้าไป
ตัวเองหลงคิดไปว่าเขาอยู่ชั้นสิบแปด แต่กลับกลายเป็นชั้นใต้ดินอย่างชั้นหนึ่งเสียได้
หากรู้ว่าเป็นพวกต่ำต้อยขนาดนี้ก็คงใช้เงินแก้ปัญหาไปนานแล้ว
“เก้าสิบ! ขืนยังต่อรองฉันจะลดจำนวนอีก! ยังไงก็ไม่มีใครมาหาตามหาคุณอยู่แล้ว”
สุ่ยหลิงหลงดึงเหรียญทองสิบเหรียญออกจากถุงอย่างหยิ่งผยอง
“อย่าอย่าอย่าอย่า! หนึ่งร้อยก็หนึ่งร้อย! ตามนี้ ตามนี้!!” เจียงเกอรีบลุกขึ้นยืนแล้วคำนับให้สุ่ยหลิงหลง
หวังยวนกับทหารโครงกระดูกทั้งสองตกตะลึง
นี่มันบ้าอะไรกัน มันคืออำนาจเงินตราในตำนานอย่างนั้นเหรอ? กลายเป็นว่าเงินสามารถสั่งการภูตผีหรือถึงขั้นให้ลิชยอมจำนนได้ด้วย
“ฉันมีเงื่อนไขอีกข้อ!”
เจียงเกอเอ่ยคำต่อ
“แปดสิบ แปดสิบ!” หวังหยวนตะโกนยุยงไปทางสุ่ยหลิงหลง
หมอนี่ยังกล้ามาตั้งเงื่อนไขอีก
“อย่านะ คุณอย่าทำแบบนั้น” เจียงเกอกลัวจะถูกเอาเปรียบ จึงรีบโบกมือซ้ำไปมาด้วยเกรงว่าสุ่ยหลิงหลงจะลดจำนวนจริง
"พูดมา"
สุ่ยหลิงหลงกอดอกพลาเงอ่ยคำ
“ฉันต้องเห็นผลการค้นคว้าของซูลด้วยตา เพราะงั้นคุณต้องพาฉันกลับไปด้วย” คราวนี้เจียงเกอถามสุ่ยหลิงหลงอย่างระมัดระวัง “แบบนี้ได้หรือเปล่า?”
“ไม่มีปัญหาใช่ไหม?” สุ่ยหลิงหลงมองไปทางหวังยวน
“คุณไม่ได้ถูกจองจำอยู่ที่นี่เหรอ? แล้วจะกลับไปกับฉันได้ยังไง?” หวังยวนถามด้วยความสงสัย
ให้คนอื่นสร้างโอกาสช่วยตัวเองออกไปผ่านภารกิจที่เขารับ
แต่ถ้าปล่อยเขาออกไปแล้วเกิดกลับคำขึ้นมาล่ะ
“เหอะ! ฉันก็แค่รักษาสัญญาที่ทำไว้กับซูลเท่านั้น เขาจะไปจองจำฉันได้ยังไง?” เจียงเกอพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชาขณะแผ่กลิ่นอายของปรมาจารย์ออกมา “คุณเพียงต้องสัญญากับฉันในนามของซูลก่อน ฉันถึงจะสามารถออกจากที่นี่ได้!”
“ก็ได้! ขอให้สัญญากับคุณในนามของอาจารย์ซูลว่าคุณสามารถกลับไปกับฉันได้!” หวังยวนตอบตกลงอย่างไม่ใส่ใจ
“ดี! ถ้างั้นพวกเราไปกันเลย! ความจริงแล้วมีเพียงฉันที่สามารถใช้ตะเกียงชักนำวิญญาณได้ หากคุณไม่สัญญากับฉัน คุณก็ไม่สามารถเอามันออกไปได้”
หวังยวน “…”