บทที่ 70 การหมั้นหมาย
ใบหน้าของหลัวหมิงซานมืดมนเล็กน้อย เพราะเมื่อระดับพลังยุทธ์ของหลัวเฉิงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ จำต้องได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาระดับสูง
เนื่องจากระดับของเคล็ดวิชา จะมีผลต่อความเร็วในการฝึกฝน และความสามารถของผู้ฝึกยุทธ์ในภายหน้า!
แต่ทั้งตระกูลหลัวในยามนี้ มีเคล็ดวิชาสูงสุดคือ วายุคราม ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาระดับสามดาวเท่านั้น
ทว่า ความเข้าใจในเคล็ดวิชาของหลัวเฉิงนั้นสูงมาก วรยุทธระดับสามดาวนั้นถือเป็นเพียงวรยุทธไร้ค่าอย่างไม่ต้องสงสัย!
ทางออกเดียวสำหรับหลัวเฉิงในตอนนี้ คือต้องเข้าสู่สำนักเพื่อฝึกฝนเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อใดก็ตามที่เหล่าสำนักเปิดรับสมัครศิษย์ ย่อมต้องมีข้อกำหนดในระดับของวิญญาณยุทธ์
ไม่ต้องกล่าวถึงสำนักซวนหยวนเลย แม้แต่สำนักวงแหวนทองคำ ซึ่งถือเป็นสำนักอันดับสองในเมืองฉีซาน ก็ยังจำเป็นต้องมีวิญญาณยุทธ์ระดับสองดาวจึงจะเข้าร่วมได้!
หลัวเฉิงเหลือบเห็นสีหน้าวิตกกังวลของหลัวหมิงซาน จึงกล่าวว่า “ท่านปู่ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ หลังจากข้าได้เข้าร่วมกับสำนักซวนหยวน ข้าย่อมได้ฝึกเคล็ดวิชาขั้นสูงอยู่แล้ว”
สำนักซวนหยวนงั้นรึ!
หลัวหมิงซานเบิกตาโพลงตกตะลึงไปครู่ เขาคิดว่าหลัวเฉิงคงไม่ทราบกฎเกณฑ์การรับลูกศิษย์ของสำนักซวนหยวนจึงได้กล่าวออกมาเช่นนี้ เขาไม่อยากเอ่ยขัดแล้วทำร้ายจิตใจของหลานชายตน จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ดี! ดีมาก! เช่นนั้นก็มากินข้าวกันเถอะ”
หลังจากงานเลี้ยงในยามค่ำคืนจบลง หลัวเฉิงเองก็กำลังจะไปยังศาลาหลิงอวิ๋น แต่จู่ๆ ก็มีคนวิ่งเข้ามารายงานว่า ฉีฟู่ซ่งผู้นำตระกูลฉี และฉีถิงคุณหนูใหญ่มาเยี่ยม
“ฉีฟู่ซงมางั้นหรือ?”
หลัวหมิงซานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “ไปเชิญพวกเขาเข้ามา แล้วพาไปพบข้าที่โถงหลักของตระกูล!”
หลัวเฉิงเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน กับการมาเยือนของตระกูลฉีในวันนี้
ณ โถงหลักของตระกูลหลัว
ทันทีที่ หลัวหมิงซานและเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลหลัวนั่งลง คนกลุ่มหนึ่งจากตระกูลฉีก็เดินเข้ามา
ชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วนสวมแพรอาภรณ์เนื้อดีที่เดินนำอยู่ข้างหน้า นั่นคือ ฉีฟู่ซ่งผู้นำตระกูลฉี และหญิงสาวที่เดินมาอย่างไม่ห่างนักนั่นคือฉีถิง
เมื่อฉีถิงเห็นหลัวเฉิง ริมฝีปากสีแดงสดของนางก็ขบเม้มโดยไม่รู้ตัว ความอับอายและความโกรธพลันผุดขึ้นมาในแววตานางยามนี้ ราวกับว่านางอยากจะกินหลัวเฉิงทั้งเป็น!
หลัวเฉิงเห็นริมฝีปากที่ขบเม้มของนาง ในใจเขาก็พลันนึกถึงเหตุการณ์ในหุบเขาจันทร์เสี้ยว เนื่องจากเขาได้เมตตาต่อนางแล้ว ไยนางจึงยังโกรธเคืองเขาอยู่อีก?
“ผู้นำตระกูลฉี เจ้าช่างเป็นแขกที่หาพบได้ยากยิ่งนัก ลมอะไรพัดให้เจ้ามาถึงที่นี่”
หลัวหมิงซานนั่งอยู่บนที่นั่งหลักของตระกูล แล้วเผยยิ้มกว้างให้กับผู้นำตระกูลฉี
ฉีฟู่ซ่งมีท่าทางเคอะเขินเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าหวังว่าผู้นำตระกูลหลัว จะไม่ถือโทษที่ข้ารีบร้อนมาเยี่ยมเยียนในวันนี้ รีบนำของขวัญเข้ามา!”
ฉีฟู่ซ่งปรบมือสองครั้งเพื่อเรียกให้คนนำของขวัญเข้ามามอบ
ทันใดนั้น ของขวัญจำนวนมากก็ถูกวางยาวเรียงเป็นแถว ซึ่งเต็มไปด้วยผ้าไหม ผ้าซาติน และสมบัติหยก ดูแล้วพวกมันล้วนมีมูลค่ามหาศาล
หลัวหมิงซานรู้สึกประหลาดใจกับการกระทำของฉีฟู่ซ่ง เป็นที่รู้จักกันดีในนามไก่เหล็ก ซึ่งเป็นคนขี้เหนียวเหมือนไก่ที่ขนเป็นเหล็กทั้งตัว แม้นจะถอนขนสักเส้นยังไม่อาจทำได้
“ท่านผู้นำตระกูลหลัว พวกเรานั้นเคยมีความบาดหมางเล็กน้อยกันมาก่อน ดังนั้นครั้งนี้ข้าจึงได้นำของขวัญมามอบให้ ถือแทนคำขอโทษ”
ฉีฟู่ซ่งใบหน้าประดับรอยยิ้มเล็กน้อย แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาขณะแววตาทอดมองยังหลัวเฉิง
“คุณชายหลัวเฉิงช่างเป็นบุรุษผู้มากความสามารถจริงๆ ทั้งรูปลักษณ์ยังสง่ามีต่างอันใดจากเทพบุตร ข้าไม่แปลกใจเลยที่สามารถเอาชนะหลินอวิ๋นได้ และกลายเป็นอัจฉริยะวัยเยาว์อันดับหนึ่งของเมืองฉีซานในตอนนี้!”
หลัวเฉิงเพิกเฉยต่อคำสรรเสริญเยินยอ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “นั่นไม่ใช่สิ่งที่ท่านกล่าว เมื่อครั้นที่เราพบกันคราแรกมิใช่หรือ”
ฉีฟู่ซ่งกะแอมไอเชื่องช้า แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเคอะเขินว่า “มันเป็นเพราะตาข้าไร้แวว ขอคุณชายหลัวอย่าได้ถือสา”
หลัวหมิงซานกล่าวด้วยท่าทางสงบว่า “ฉีฟู่ซง เจ้ามีท่าทางแปลกๆ ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว เจ้าต้องการจะทำอะไรกันแน่”
ฉีฟู่ซ่งขยิบตาให้ฉีถิงที่อยู่ข้างๆ เขาทันที “ถิงเอ๋อร์ เจ้าออกไปเดินเล่นกับคุณชายหลัวเฉิงก่อนเถิด”
สิ้นวาจาของฉีฟู่ซ่ง สายตาของผู้คนก็ต่างจับจ้องไปยังฉีถิงทันที
ต้องบอกก่อนว่า ฉีถิงนั้นเป็นหญิงสาวที่มีความงดงามใช่น้อย ไม่เพียงงามแต่ใบหน้าเท่านั้น เรือนร่างของนางก็สูงเพรียว ทั้งยังมีพรสวรรค์ในด้านการฝึกฝน แม้นว่านางจะไม่อาจเทียบเท่ากับอวิ๋นเหมิงหลี่ เทพธิดาแห่งสวรรค์อันน่าภูมิใจก็ตาม กระนั้นนางก็ยังคงเป็นสตรีผู้หาได้ยากในเมืองฉีซานแห่งนี้
ดวงตาของฉีถิงแสดงถึงความเขินอายและรำคาญใจเล็กน้อย นางเม้มริมฝีปากแดงสดจนแน่นแล้วเดินอย่างเชื่องช้า
“ถิงเอ๋อร์!” น้ำเสียงของฉีฟู่ซ่ง ค่อนข้างจริงจัง
“เราไปกันเถอะ”
หลัวเฉิงรีบลุกขึ้นยืนแล้วคว้ามือของฉีถิง เพื่อพานางออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว
เขาเองก็อยากรู้เช่นกัน ว่าการมาเยือนของตระกูลฉีในครั้งนี้เพราะต้องการสิ่งใดกันแน่
“ท่านผู้นำตระกูลหลัว นอกจากข้ามาเยี่ยมในครั้งนี้แล้ว ยังต้องการสนทนาเกี่ยวกับเรื่องของเด็กทั้งสองอีกด้วย”
เมื่อเห็นทั้งสองจากไปแล้ว ฉีฟู่ซ่งก็ยิ้มแล้วเริ่มกล่าวถึงเหตุผลที่ตนมาเยือนในครั้งนี้
“เกี่ยวกับเรื่องของเด็กทั้งสองงั้นรึ”
หลัวหมิงซานและคนอื่นๆ รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะไม่รู้ว่าฉีฟู่ซ่งกำลังหมายถึงสิ่งใดอยู่
จากนั้นภายในโถงหลักของตระกูลหลัว ก็เริ่มสนทนากัน
ณ ลานด้านนอกของโถงหลักตระกูลหลัว เป็นจัตุรัสหินอ่อน รายล้อมไปด้วยสวนดอกไม้ที่กำลังบานสะพรั่ง ไอหมอกจางๆ เลื่อนลอยอย่างแผ่วเบา ในยามนี้แสงจันทร์กระจ่างใสประดุจน้ำ สาดต้องร่างหนุ่มสาวที่กำลังเดินจูงมือกันอยู่ท่ามกลางมัน
ฉีถิงปล่อยมือของหลัวเฉิง แล้วเดินออกไปพื้นที่โล่งเบื้องหน้า ไม่รู้ทำไม ความงดงามของนางในคืนนี้ กลับเปล่งประกายยิ่งนัก
ร่างอรชรนั้นเดินไปครู่ จากนั้นหยุดฝีเท้าแล้วหันกลับมาเอื้อนเอ่ยถามหลัวเฉิง “เจ้ารู้เหตุผล ที่ท่านพ่อพาข้ามาที่นี่หรือไม่”
หลัวเฉิงส่ายศีรษะด้วยสีหน้างุนงงเล็กน้อย
ทันใด ใบหน้าฉีถิงเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อ นางเม้มริมฝีปากแน่น ในมือก็กำกระชับ ก่อนใช้ความกล้าทั้งหมด เอ่ยน้ำเสียงอันแผ่วเบาออกมา “เขาต้องการให้ข้าหมั้นหมายกับเจ้า…”
“หมั้นหมายงั้นหรือ?”
หลัวเฉิงผงะด้วยความตกใจทันที