บทที่ 69 ความล้มเหลว
“ต้องลอง!”
หลัวเฉิงปรับอารมณ์ความรู้สึกภายในใจให้สงบ แล้วปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ของตนออกมา
ไข่ลึกลับเก้าสีสว่างไสวเป็นประกายภายใต้แสงจันทรา มันค่อยๆ หมุนวนดูดซับปราณแห่งสวรรค์และโลก
หลัวเฉิงละทิ้งความคิดที่กวนใจ เริ่มควบคุมการไหลเวียนปราณแท้ในร่าง แล้วหล่อหลอมมันอย่างต่อเนื่อง
นี่คือประโยชน์ของการฝึกฝนจนทะลวงเข้าถึงขั้นสุดยอดของขั้นหลอมกายา!
ในขั้นหลอมกายาขั้นสุดยอด ร่างกายจะถูกหล่อหลอมจนถึงขีดสุด และปราณแห่งสวรรค์และโลกจะหลั่งไหลเข้าสู่กายโดยหาได้มีผลกระทบแต่อย่างใด
หากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นหลอมกายาระดับเก้าทั่วไป หากต้องการทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ ทันทีที่ปราณแท้ดูดซับเข้าสู่ร่าง ผิวหนังและเส้นลมปราณจะเริ่มตีบตัน ทำให้ดูดซับปราณแห่งสวรรค์และโลกได้ยากเป็นสองเท่า แม้นกระนั้นผลลัพธ์ที่ได้ก็มีโอกาสสำเร็จเพียงครึ่งเดียว ทั้งความยากในการทะลวงจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเช่นกัน!
แต่ทว่า หลัวเฉิงไม่มีความกังวลในเรื่องนั้น ความมุ่งมั่นของเขาตอนนี้ เน้นไปที่การดูดซับปราณแห่งสวรรค์และโลก แล้วควบแน่นสร้างมันขึ้นเป็นแก่นแท้
เมื่อเวลาผ่านไป ปราณแท้ในร่างของหลัวเฉิงก็ค่อยๆ เข้มขึ้น แล้วเริ่มทอประกายแสงสว่างออกมาอย่างงดงาม
ตราบใดที่เขายังคงดูดซับปราณแห่งสวรรค์และโลก แล้วหล่อหลอมมันสร้างเป็นแก่นแท้ เขาจะสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ได้!
บูม!
ขณะที่หลัวเฉิงกำลังจะใช้พลังทั้งหมดในการทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ ทันใดนั้น ปราณแท้ที่ถูกควบแน่นไว้ก็ไม่อาจควบคุมได้แล้วสลายหายไปทันที!
“ล้มเหลวงั้นรึ! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน”
หลัวเฉิงเปิดตาขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ เคล้าความฉงนสงสัย
อวิ๋นเหมิงลี่กล่าวว่าเมื่อเขาจะทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ จะไม่มีอุปสรรคใดคอยขัดขวางมิใช่หรือ!
ยิ่งกว่านั้น การหล่อหลอมปราณแท้เมื่อครู่นั้นล้วนราบรื่น และข้าเกือบจะสามารถหลอมรวมมันสร้างเป็นแก่นแท้สำเร็จแล้ว
แต่เมื่อครั้นจะทะลวงในช่วงสุดท้าย ไฉนมันจึงล้มเหลวเช่นนี้!
“ตอนที่ข้ากำลังหลอมรวมปราณแท้เมื่อครู่ จู่ๆ ก็เกิดแรงต้านอันรุนแรงระเบิดออกมาจากตันเถียนของข้า หรือเป็นเพราะพลังในการทะลวงไม่พอกระนั้นหรือ”
หลัวเฉิงพินิจใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน ก่อนพบปัญหาการทะลวงอย่างรวดเร็ว
แม้นจะพบปัญหาแล้วก็ตาม แต่ตอนนี้โอสถวิญญาณของเขาหมดแล้ว การที่จะทะลวงต่อนั้นจำต้องหยุดเอาไว้ก่อน
“ดูเหมือนว่า ข้าจะต้องไปที่ศาลาหลิงอวิ๋นในวันพรุ่งนี้”
เขาให้คำมั่นสัญญาว่าจะช่วยลั่วเหยาหลอมโอสถ แต่เขาก็ยังไม่ได้รับค่าตอบแทนเลย
เมื่อตอนนี้เขาพบว่าปัญหาคือสิ่งใด หลัวเฉิงก็หาได้รีบร้อน เขาจึงเข้านอนพักผ่อนให้เต็มที่ เพื่อสะสมพลังในการทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์อีกครั้งในวันพรุ่งนี้
ในช่วงเย็นของวันต่อมา
หลัวเฉิงอาบน้ำชำระกายและมุ่งไปยังโถงอาหารของตระกูล เพื่อหาอะไรทาน
หลัวหมิงซานมีความสุขมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน จึงเรียกให้หลัวเฉิงไปทานอาหารเย็นร่วมกับเขาอีกครั้งในวันนี้
“พี่หลัวเฉิง!”
เมื่อเห็นหลัวเฉิงมาถึง บรรดาศิษย์ของตระกูลหลัวคนอื่นๆ ที่นั่งกระจายอยู่ตามโต๊ะในโถงอาหาร ก็ต่างทักทายเขาด้วยความเคารพ
แม้แต่ป้าหลินหยานที่เคยชิงชังเขาก่อนหน้า บัดนี้นางก็แย้มยิ้มออกมาให้กับหลัวเฉิงดั่งที่นางเคยเป็นเมื่อก่อน จากนั้นนางก็ทานอาหารของนางต่อไป
ในระหว่างงานเลี้ยง
หลัวหมิงซานเอ่ยถามว่า “เฉิงเอ๋อร์ กระบวนท่าเพลงหมัดที่เจ้าใช้ชนะหลินอวิ๋นเมื่อวานนี้ มันคือเพลงหมัดสยบภูผาของตระกูลเราใช่หรือไม่?”
“ขอรับท่านปู่”
หลัวเฉิงพยักหน้าเข้าใจว่าปู่ของเขากำลังสงสัยในเรื่องใด จึงกล่าวสืบต่อว่า “เพลงหมัดสยบภูผาของข้า ข้าได้ฝึกฝนมันจนบรรลุขั้นปรมาจารย์แล้ว”
“ฝึกฝนจนบรรลุขั้นปรมาจารย์แล้วงั้นรึ!”
ผู้คนรอบโต๊ะต่างสูดหายใจหนักด้วยความตกตะลึง
เพลงหมัดสยบภูผานั้นมิใช่วิชาลับ ซึ่งหลายตระกูลในเมืองฉีซานก็ล้วนรู้จักมัน อย่างไรก็ตาม มีผู้ที่อยู่ในขั้นหลอมกายาเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่สามารถฝึกฝนเพลงหมัดสยบภูผาจนบรรลุขั้นสมบูรณ์แบบได้ สำมะหาอะไรกับขั้นปรมาจารย์!
“หลัวเฉิง ต้องฝึกฝนเพลงหมัดสยบภูผามานานแค่ไหนแล้ว?”
หลัวชิงหว่านได้สติกลับมาอีกครั้ง นางกะพริบตาปริบแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัยยิ่ง
หลัวเฉิงตอบนางอย่างไม่ได้จริงจังนัก “น่าจะประมาณสามเดือน”
“สามเดือนงั้นรึ!”
หลัวชิงหว่านถึงกับมือสั่นจนตะเกียบเกือบร่วงหล่นลงพื้น
นางฝึกฝนฝ่ามือคลื่นวายุซึ่งเป็นวรยุทธระดับสามดาวเช่นเดียวกัน แต่ในเวลาสามเดือน นางเพิ่งฝึกฝนจนบรรลุขั้นเริ่มต้นเท่านั้น!
ทุกคนรอบโต๊ะต่างมองหลัวเฉิงราวกับว่าเขาเป็นสัตว์ประหลาด พวกเขาคิดว่าความรวดเร็วในการฝึกฝนเช่นนี้ไม่ใช่ของคนปกติแล้ว
หลัวเฉิงถึงกับกล่าวสิ่งใดไม่ออกเมื่อเห็นสายตาแปลกๆ จำนวนมากที่จับจ้องมายังเขา ซึ่งความจริงแล้ว เขายังฝึกฝนเพลงหมัดสยบภูผาไม่ถึงสองเดือนด้วยซ้ำ
“ฮ่าฮ่า ดูเหมือนว่าเฉิงเอ๋อร์จะเป็นพ่อมดแห่งวรยุทธ! ในเรื่องของความเข้าใจนั้น เกรงว่าต้องเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะอย่างแน่นอน!”
“เฉิงเอ๋อร์ นับแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าสามารถเข้าออกศาลาวรยุทธของตระกูลได้ตามต้องการ!”
หลัวหมิงซานหัวเราะอย่างเบิกบานสำราญยิ่ง แต่ครั้นนึกถึงบางสิ่ง รอยยิ้มเขาก็หดหายแล้วกล่าวด้วยท่าทางเสียใจ
“แต่ช่างน่าเสียดายนัก ตระกูลเราไม่มีวรยุทธขั้นสูงให้เจ้าได้เรียนรู้เลย…”