ตอนที่ 19: ชักนำวิญญาณ
ตอนที่ 19: ชักนำวิญญาณ
“เขา… ต้องการความช่วยเหลือจากเราจริงเหรอ?”
สุ่ยหลิงหลงยืนอยู่ด้านข้างด้วยสภาพตกตะลึงเกินกว่าจะพูดอะไรได้
ทั้งที่นั่นคือ Boss ทองเลเวล 20 แต่กลับไม่มีความสามารถขัดขืนหวังยวน… แล้วใครกันแน่ที่เป็น Boss
“บัดซบ! กล้าดียังไงถึงมาทำร้ายฉัน!”
เมื่อแถบพลังชีวิตของเจียงเกอเปลี่ยนเป็นสีแดง
เจียงเกอพลันแผดเสียงคำรามออกมา แล้วแสงสีเขียวจึงระเบิดออกจากร่างกาย
เสี่ยวไป๋ผู้กำลังไล่ต้อนเจียงเกออย่างบ้าคลั่งถูกแสงสีเขียวผลักออกมาจนกระแทกกับขอบแท่นบูชาอย่างแรง
ในเวลาเดียวกัน ตะเกียงวิญญาณในมือของเจียงเกอพลันส่องสว่างเจิดจ้า
“แย่แล้ว! นั่นคือชักนำวิญญาณ! อาเตารีบวิ่งเร็ว”
เมื่อต้าไป๋เห็นเช่นนี้จึงรีบเตือนเสี่ยวไป๋
แต่มันสายเกินกว่าที่เสี่ยวไป๋จะหลบได้
ถึงอย่างไรมันยังมีข้อจำกัดทางด้านคุณสมบัติ ไม่ว่าความเร็วการตอบสนองจะมากแค่ไหน แต่ร่างกายของทหารโครงกระดูกเลเวล 10 ย่อมไม่สามารถตามการตอบสนองของเขาได้ทัน
"คลิ้ก! คลิ้ก!"
เมื่อเสี่ยวไป๋กำลังจะถูกแสงสีเขียวดึงเข้าไป โครงกระดูกสีขาวที่ถือโล่กับกระบี่ยาวจึงเข้ามาขวางเสี่ยวไป๋
"คุณเองเหรอ?"
เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวไป๋ประหลาดใจเมื่อเห็นโครงกระดูกอยู่ตรงหน้า
โครงกระดูกตัวนี้เหมือนกับทหารโครงกระดูกโง่ที่หวังยวนตั้งชื่อว่า “ไป๋ซานเอ๋อร์” ตอนอยู่ที่ประตูเมือง
เสี่ยวไป๋ไม่คาดคิดว่าในช่วงวิกฤติเช่นนี้จะเป็นหวังยวนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยตนเอง
ต้าไป๋มองหวังยวนด้วยความไม่อยากเชื่อเช่นกัน
พูดตามตรง แม้ทหารโครงกระดูกทั้งสองจะยอมรับหวังยวนในฐานะเจ้านายของตนเองแล้ว แต่ในด้านพละกำลัง สองคนนี้กลับไม่คาดหวังในตัวหวังยวนเอาไว้มากนัก
ในสายตาของพวกเขา หวังยวนเป็นเพียงเกมเมอร์ทั่วไป ทำให้มีความแตกต่างพื้นฐานกับหัวกะทิอย่างพวกเขาที่เคยผ่านการต่อสู้โชกเลือดในสมรภูมิวันสิ้นโลก
ทว่าตอนนี้ ทั้งสองพลันตระหนักได้ว่าตนเองดูถูกเจ้านายตัวเองมากเกินไป
สหายผู้นี้ถึงกับครอบครองความเข้าใจในสมรภูมิที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้ ตอนที่ค่าพลังชีวิตของ Boss กลายเป็นสีแดงก็คงตระหนักได้แล้วว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ในสมรภูมิ เพราะอย่างนั้นถึงได้ส่งทหารโครงกระดูกที่เดิมอยู่ด้านข้างไปยังตำแหน่งของเสี่ยวไป๋อย่างเหมาะเจาะเพื่อช่วยให้เสี่ยวไป๋รอดจากสกิลของ Boss มาได้
แก่นสำคัญของผู้อัญเชิญคือการออกคำสั่งและการเป็นผู้นำ ในช่วงวันสิ้นโลก เนโครแมนเซอร์ถูกเรียกว่าผู้บัญชาการกองทัพอันเดด
ความเข้าใจในสมรภูมิเป็นอย่างดีคือพื้นฐานของบัญชาการรบ
หวังยวนมีความเข้าใจในสมรภูมิอย่างเฉียบแหลม เห็นได้ชัดว่าต่อให้ไม่สามารถอัญเชิญโครงกระดูกทั้งสองที่มีวิญญาณได้ แต่ก็ถือว่าเป็นเนโครแมนเซอร์ผู้น่าสะพรึงในอนาคตอย่างแน่นอน
"ฟู่!"
หวังยวนผู้อยู่ไกลออกไปปาดเหงื่อ “โชคดีที่ทันเวลา!”
"ฟ่าว!"
ขณะทหารโครงกระดูกยืนอยู่ตรงหน้าเสี่ยวไป๋ เปลวเพลิงวิญญาณในเบ้าตาคล้ายกับถูกดึงออกมาขณะลอยอยู่ในอากาศแล้วกลายเป็นแสงสีน้ำเงินสองกลุ่มที่ถูกดูดเข้าไปในตะเกียง จากนั้นจึงหลอมรวมเข้ากับแสงสีเขียว
"โครม!"
เมื่อเปลวเพลิงวิญญาณหายไป ทหารโครงกระดูกจึงแตกสลายกลายเป็นกองโครงกระดูก
“เวรเอ๊ย! ไร้ยางอายขนาดนี้เลยเหรอ?”
เมื่อเห็นความน่ากลัวของตะเกียงแตกหักอันนี้ หวังยวนถึงกับพูดไม่ออก
หากยึดตามการตั้งค่าพื้นหลังของเกมแล้ว
เปลวเพลิงวิญญาณน่าจะเป็นแก่นแท้ของสิ่งมีชีวิตอันเดด
หวังยวนมีหนังสือประวัติศาสตร์วีรชนอยู่ในมือ ขอเพียงเปลวเพลิงวิญญาณของโครงกระดูกยังไม่ดับมอดก็สามารถคืนชีพได้อย่างไร้ที่สิ้นสุดเหมือนกับผู้เล่น
หมายความว่าของในมือเจียงเกอถึงกับดึงเปลวเพลิงวิญญาณของสิ่งมีชีวิตอันเดดได้… ช่างหน้าไม่อายเหลือเกิน
“?”
เมื่อเห็นว่าเปลวเพลิงวิญญาณของเสี่ยวไป๋ไม่ถูกตะเกียงชักนำวิญญาณพรากไป เจียงเกอจึงตกตะลึงชั่วขณะก่อนจะเริ่มร่ายคาถาเสียงดัง "เหล่าอันเดดที่ถูกครอบงำเอ๋ย จงติดตามแสงสว่างตรงหน้า ก้าวข้ามแม่น้ำแห่งยมโลกเพื่อมุ่งสู่ชีวิตนิรันดร์อันยิ่งใหญ่!!"
"ฟ่าว!"
แสงจากตะเกียงชักนำวิญญาณพุ่งขึ้นอีกครั้งขณะปกคลุมทั่วทั้งแท่นบูชา
ทว่าเสี่ยวไป๋ไม่เคลื่อนไหวแต่อย่างใด แถมยังรู้สึกสับสนเล็กน้อย "นั่นคือชักนำวิญญาณไม่ใช่เหรอ? ฉันคิดว่ามันเจ๋งไม่เบา ทำเอากลัวแทบแย่!!"
“ไม่น่าเป็นไปได้…” ต้าไป๋ดูสับสนเช่นกัน “ฉันจำได้ว่าการชักนำวิญญาณค่อนข้างน่ากลัว สิ่งมีชีวิตอันเดดใดที่มีเพลิงวิญญาณจะถูกพรากไปโดยการชักนำวิญญาณ แล้วทำไมคุณถึงยังปลอดภัยอีก?”
“คุณอยากให้ฉันเจอปัญหางั้นเหรอ?”
“นั่นมันใช่ประเด็นหรือไง? คุณนี่โง่ชะมัด!”
ทั้งสองเริ่มทะเลาะกันอีกครั้ง
…
หวังยวนลูบคางพลางครุ่นคิด “เมื่อครู่เปลวเพลิงวิญญาณของไป๋ซานเอ๋อร์ถูกพรากไป แล้วทำไมเสี่ยวไป๋ถึงไม่เป็นไรเลย? พวกเขาต่างเป็นสิ่งมีชีวิตอันเดด หรือว่าการชักนำวิญญาณทำได้เพียงพรากเปลวเพลิงวิญญาณที่ไม่มีจิตสำนึกที่เป็นอิสระออกไปได้เท่านั้น?”
“?????”
“!!!!!”
เจียงเกอตกตะลึงอย่างสิ้นเชิง “เป็นแบบนี้ได้ยังไง?! หรือว่า... อันเดดของคุณมีวิญญาณ?”
"เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด! เพื่ออัญเชิญอันเดดที่มีวิญญาณ ฉันถึงกับต้องเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตอันเดดด้วย... แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังทำไม่สำเร็จ ส่วนคุณมันก็แค่มดปลวกที่เพิ่งจะได้เป็นเนโครแมนเซอร์ แล้วทำไมถึงอัญเชิญอันเดดที่มีวิญญาณได้?”
“กะแล้วเชียว!”
หลังจากได้ยินสิ่งที่เจียงเกอพูดมา หวังยวนจึงยืนยันสิ่งที่ตัวเองคาดเดาได้
แม้เปลวเพลิงวิญญาณของสิ่งมีชีวิตอันเดดจะมีคำว่า “วิญญาณ” อยู่ในชื่อ แต่มันไม่ใช่วิญญาณแต่อย่างใด เป็นเพียงเปลวเพลิงอมตะที่ควบคุมสิ่งมีชีวิตอันเดดเท่านั้น ไม่มีจิตสำนึกเป็นของตัวเองและสามารถควบคุมได้ด้วยสัญชาตญาณเท่านั้น
มีเพียงสิ่งมีชีวิตอันเดดระดับสูงเท่านั้นที่สามารถพัฒนาสติปัญญาและจิตสำนึกที่เป็นอิสระได้ ซึ่งสิ่งมีชีวิตอันเดดแบบนั้นจึงจะมีวิญญาณแท้จริง
ส่วนการชักนำวิญญาณเป็นเพียงสกิลที่ใช้เพื่อรวบรวม “เปลวเพลิงอมตะ” เท่านั้น
การชักนำวิญญาณย่อมไม่มีประโยชน์กับเปลวเพลิงวิญญาณที่มีจิตสำนึกเป็นของตัวเอง
ในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าความคิดของเจียงเกอแตกสลายเล็กน้อย
จากการแนะนำภูมิหลังของเขาก็พอจะอนุมานได้ว่าสหายผู้นี้เป็นคนบ้าที่ศึกษาศาสตร์แห่งความตาย
เพื่ออัญเชิญสิ่งมีชีวิตอันเดดที่มีวิญญาณ ทำให้ไม่ลังเลที่จะเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นลิช… คนตายที่มีชีวิต… ด้วยหวังว่าจะอัญเชิญอันเดดด้วยตัวตนของอันเดด
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ
แต่หวังยวนซึ่งเป็นมือใหม่เลเวล 10 กลับอัญเชิญสิ่งมีชีวิตอันเดดที่เขาไม่สามารถอัญเชิญได้ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ไม่ว่าใครก็จินตนาการออกว่าเจียงเกอในตอนนี้จะรู้สึกอย่างไร
มันเหมือนกับคุณเป็นนักคณิตศาสตร์ที่ศึกษาปัญหาคณิตศาสตร์มาตลอดชีวิตแต่กลับถูกเด็กที่เพิ่งจบชั้นอนุบาลแก้ปัญหาดังกล่าวได้
ไม่ว่าใครก็ยากที่จะยอมรับเรื่องแบบนี้ได้
นี่มันเรื่องบ้า... อะไรกัน?
“ไม่ต้องสู้แล้ว! น่าเบื่อชะมัด!”
เจียงเกอโบกมือก่อนจะนั่งลงกับพื้น
ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความเสื่อมทราม จากนั้นจึงโยนตะเกียงชักนำวิญญาณไปด้านข้างแล้วตะโกนด้วยความสิ้นหวัง “พวกคุณฆ่าฉันได้เลย!!”
"อา... นี่..."
เสี่ยวไป๋มองไปที่ต้าไป๋ "ต้องฆ่าเขาหรือเปล่า? นี่คือ NPC ของมนุษย์รุ่นหลังนะ!"
“ทำไมคุณต้องมาถามฉันด้วย? คุณไปถามพี่หนิวนู่น! หากเขาขอให้คุณฆ่าขึ้นมา คุณไม่ฆ่าได้ไหมล่ะ?” ต้าไป๋เอ่ยคำอย่างไม่ยินดี
ใช่แล้ว พวกเขามาจากอนาคตและทราบประวัติศาสตร์ เจียงเกอไม่ใช่วายร้าย แต่เป็นศิษย์ของวีรชนผู้สร้างคุณงามความดีในการปกป้องบ้านเกิดของมนุษยชาติ
แต่ตอนนี้เจียงเกอยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับหวังยวนอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งยังเป็น Boss ที่ผู้เล่นจะต้องจัดการ หากหวังยวนอยากฆ่าเขา ทหารโครงกระดูกทั้งสองที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาย่อมไม่สามารถห้ามปรามได้อย่างแน่นอน
“ทำไมฉันต้องฆ่าคุณด้วย! ฉันมาที่นี่เพื่อเอาตะเกียง ไม่ใช่มาพรากชีวิตคุณสักหน่อย!”
หวังยวนแย้มยิ้มแล้วเอ่ยคำ "เอาตะเกียงมาให้ฉัน แล้วชีวิตคุณจะปลอดภัย!"
แม้หวังยวนจะไม่ใช่คนดี แต่ก็ไม่ใช่คนเลวเช่นกัน วันสิ้นโลกกำลังใกล้เข้ามาแล้ว ผู้ที่สามารถปกป้องมนุษยชาติได้คือเหล่าวีรชนที่ควรค่าแก่การได้รับความเคารพ
พวกเขายังถือว่ามีคุณค่าอยู่บ้าง
"ไม่ได้!"
ทว่าหลังจากได้ยินคำพูดของหวังยวน เจียงเกอกลับปฏิเสธทันที "ตะเกียงนี้เป็นสมบัติของฉัน ฉันจะไม่มอบให้ใครเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งไอ้เฒ่าสารเลวซูล"