บทที่ 68 พรสวรรค์ข้าไม่ด้อยกว่าใครทั้งนั้น!
“อืมม์!”
หลัวเฉิงพยักหน้าโดยไม่ปฏิเสธนาง และปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ของเขาออกมาทันที
เขาก็อยากรู้เช่นกันว่า พลังยุทธ์ระดับดั่งเช่นอวิ๋นเหมิงลี่ จะสามารถเปิดเผยความแปลกประหลาดของวิญญาณยุทธ์เขาได้หรือไม่
หากอีกฝ่ายสามารถเห็นความลับของเขาได้ มันย่อมจะเป็นการดีกว่าหากจะวางแผนปกปิดในอนาคต
อวิ๋นเหมิงลี่จ้องยังไข่ลึกลับเก้าสี ดวงตาของนางที่ใสดั่งน้ำสะท้อนกับประกายแสงอันสดใส ของวิญญาณยุทธ์หลัวเฉิง นางเพ่งมองและสังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วน
หลัวเฉิงถึงกับใจสั่นด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย และในหัวเขากำลังใคร่ครวญคำตอบหากว่าอีกฝ่ายสังเกตเห็นบางสิ่งในนั้น
อวิ๋นเหมิงลี่สังเกตอย่างพินิจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็ถอนสายตาออกไป ในแววตาเผยให้เห็นความฉงนสงสัย
หลัวเฉิงเอ่ยถามขึ้นอย่างกังวล “ศิษย์พี่หญิง มีสิ่งใดผิดปกติงั้นหรือ?”
“เปล่า ข้าไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติเลย……”
อวิ๋นเหมิงลี่ยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากขึ้น เพราะนางไม่เห็นอะไรผิดปกติเลยแม้แต่น้อย
ความสามารถในการฝึกฝนจนมีพลังถึงสองพันจินในขั้นหลอมกายา นี่เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง แต่วิญญาณยุทธ์ที่ตื่นขึ้นนั้นดันกลายเป็นวิญญาณยุทธ์ที่ไม่ถือกำเนิด นี่มันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อสำหรับนางมาก
เมื่อเห็นว่าอวิ๋นเหมิงลี่ไม่พบสิ่งใด หลัวเฉิงก็ทอดถอนใจคลายความกังวลสิ้น
อวิ๋นเหมิงลี่เหลือบมองหลัวเฉิง ก่อนเอื้อนเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะกลับไปยังสำนักซวนหยวนพรุ่งนี้ เจ้าอยากไปพร้อมกับข้าหรือไม่”
“ข้ายังมีเรื่องที่ต้องจัดการอยู่” หลัวเฉิงส่ายศีรษะ
เขาได้ให้สัญญากับลั่วเหยาไว้ พวกเขาจะช่วยนางหลอมโอสถหลังจากเสร็จสิ้นงานชุมนุมล่าสัตว์
นอกจากนี้ ปัญหาวุ่นวายของตระกูลหลินยังไม่จบสิ้น เขาจึงยังไปในตอนนี้ไม่ได้
อวิ๋นเหมิงลี่พยักหน้า “ไม่เป็นไร ไว้เจ้าทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์แล้วค่อยมาก็ได้ เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าจะสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาของสำนักซวนหยวนได้ทันที สำหรับความสามารถเจ้าในตอนนี้ มันแทบไม่มีอุปสรรคใดเลย ที่จะทะลวงผ่านขั้นหลอมกายาเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์”
หลัวเฉิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ศิษย์พี่หญิง ข้าได้ยินมาว่า วิญญาณยุทธ์ของเหล่าศิษย์สำนักซวนหยวนนั้น อย่างน้อยก็ต้องเป็นวิญญาณยุทธ์ระดับสามดาวมิใช่หรือ”
อวิ๋นเหมิงลี่เลิกคิ้วโก่งของนางขึ้น “แล้วอย่างไร เจ้าไม่มีความมั่นใจงั้นหรือ หรือคิดว่าพรสวรรค์ของเจ้าไม่เหมาะสมกับที่นั่นจนเจ้าไม่กล้าไป”
หลัวเฉิงยิ้มและกล่าวว่า “เปล่าศิษย์พี่หญิง ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน พรสวรรค์ของข้าไม่ด้อยกว่าใครทั้งนั้น!”
“หากจะกล่าวถึงพรสวรรค์จริงๆ ข้าไม่มีทางแพ้ผู้ใดเด็ดขาด!”
อวิ๋นเหมิงลี่พยักหน้าขณะดวงตาจ้องหลัวเฉิงด้วยแววตาที่สดใสเป็นประกาย
“ข้าไม่แปลกใจเลย ที่เจ้าสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาขั้นสุดยอดได้ ผู้คนส่วนมากล้วนแล้วแต่คิดว่าวิญญาณยุทธ์นั้นคือทุกสิ่งของผู้ฝึกยุทธ์ แต่นั่นหาใช่ความจริงไม่ สำคัญเหนือสิ่งใดคือจิตใจ หากวันใดที่เจ้ายอมแพ้ต่อตนเอง เจ้าจะกลายเป็นคนไร้ค่าอย่างแท้จริง”
“ตามกฎการเป็นศิษย์ของสำนักซวนหยวน วิญญาณยุทธ์ขั้นต่ำคือสามดาว อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่าศิษย์พี่หญิงแล้วข้าตอบรับ เจ้าก็คือศิษย์น้องของข้า สิ่งที่เจ้าต้องทำคือนำป้ายหยกประจำตัวข้าไปที่นั่น แล้วข้าจะจัดการทุกอย่างเอง”
หลัวเฉิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าโฉมสะคราญที่ดูเย็นชาผู้นี้ จะมีนิสัยเด็ดเดี่ยวกล้าหาญยิ่งนัก
เมื่อหลัวเฉิงกลับมายังหอคอยสูง มันก็เป็นเวลายามเย็นแล้ว
“เฉิงเอ๋อร์ บุตรสาวของท่านเจ้าเมืองต้องการอะไรจากเจ้างั้นหรือ” หลัวหมิงซานด้วยสีหน้าสงสัย
“เปล่าขอรับ นางแค่อยากเห็นวิญญาณยุทธ์ของข้า” หลัวเฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
หลัวหมิงซานพึมพำกับตนเอง “ข้าได้ยินมาว่าบุตรสาวของเจ้าเมือง เป็นอัจฉริยะที่สำนักซวนหยวนให้ความสำคัญยิ่งนัก หากมีคำแนะนำของนาง บางทีหลัวเฉิงอาจจะเข้าสู่สำนักซวนหยวนเพื่อฝึกฝนได้”
หลัวเหิงทอดถอนใจ “น่าเสียดาย ที่กฎการเข้าสำนักซวนหยวนคือ ต้องมีวิญญาณยุทธ์ขั้นต่ำระดับสามดาว”
“ฮึ่ม! วิญญาณยุทธ์ระดับสามดาวนั้นหาได้สำคัญต่อการฝึกฝนไม่”
หลัวหมิงซานเป่าเคราพลางกล่าวว่า “เฉิงเอ๋อร์อยู่ในขั้นหลอมกายากลับสามารถเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ได้ มีศิษย์ของสำนักซวนหยวนคนใดทำได้บ้าง ความสามารถของหลานชายข้าไม่แพ้ใครหน้าไหนทั้งนั้น!”
ขณะที่หลัวเฉิงกำลังจะบอกว่าอวิ๋นเหมิงลี่มอบป้ายหยกประจำตัวนางแก่เขา หลัวหมิงซานก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง
“วันนี้ เป็นวันที่น่าภาคภูมิใจที่สุดสำหรับตระกูลหลัวของเราในรอบหลายปี พวกเรามาฉลองกันเถอะ”
หลังกล่าวเช่นนั้น หลัวหมิงซานก็คว้าแขนของหลัวเฉิง แล้วเดินลงจากหุบเขาอย่างสำราญใจ
ณ เมืองฉีซาน
เมื่อหลัวเฉิงและคนของตระกูลหลัวกลับมาถึงเมือง ไม่นาน เรื่องราวที่เกิดขึ้นในงานชุมนุมล่าสัตว์ ก็กลายเป็นข่าวใหญ่แพร่สะพัดไปทั่วเมืองฉีซานแล้วในขณะนี้
ข่าวอันน่าตกใจนี้พานให้ผู้คนในเมืองล้วนตกตะลึง ความคิดแรกของผู้คนที่ได้รับฟังข่าวต่างไม่อยากจะเชื่อ แต่หลังได้ฟังคำยืนยันจากผู้คนที่เข้าร่วมงาน ใบหน้าก็พลันตกใจในทันที
ช่วงเวลากลางคืนเริ่มวิกาลขึ้นเรื่อยๆ
ตระกูลหลัวซึ่งมีเสียงครึกครื้นตลอดทั้งคืนก็เริ่มค่อยๆ เงียบสงัดลง
หลัวเฉิงนั่งเข้าฌานในลานฝึกยุทธ์ ภายใต้แสงจันทร์กระจ่างใสที่สาดส่องต้องใบหน้า
ตอนนี้ เขาพร้อมที่จะทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์แล้ว