บทที่ 67 ตามข้ามา
หลินชางหลางจ้องยังหลัวหมิงซาน อารมณ์โกรธในใจเขาแทบระงับเอาไว้ไม่ได้
เมืองหนานเฉิงฟางเป็นรากฐานของตระกูลหลิน หากสูญเสียมันไป ตระกูลหลินก็จะเข้าสู่สภาวะล่มสลายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ท่านผู้นำตระกูล เราต่อสู้ตัดสินเป็นตายกับพวกเขาเลยดีหรือไม่!”
เราผู้อาวุโสหลายคนของตระกูลหลิน ต่างวิ่งกรูเข้ามาแล้วมองยังหลัวหมิงซาน แววตาของพวกเขานั้นล้วนเต็มไปด้วยจิตสังหาร
หลัวหงและคนอื่นๆ ก็รีบปรี่เข้ามายืนเบื้องหลังของหลัวหมิงซานเช่นกัน
หลัวหงกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “นี่คือความน่าเชื่อถือของตระกูลหลินงั้นหรือ?”
สองขมับข้างหน้าผากของหลินชางหลางเต้นรัวด้วยเส้นเลือดดำ เขาเหลือบมองอวิ๋นเต้าเจี้ยงบนปรัมพิธีแล้วตวาดด้วยสีหน้าซีดเผือด
“พวกเรากลับ!”
งานชุมนุมล่าสัตว์ครั้งนี้ถูกจัดขึ้นโดยเจ้าเมือง หากกระทำการอุกอาจในตอนนี้ ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับเจ้าเมืองได้แน่นอน!
ยิ่งไปกว่านั้น หลัวหมิงซานหายจากอาการบาดเจ็บแล้ว หนำซ้ำยังเข้าสู่ขั้นเขตแดนลึกลับระดับสามช่วงปลายอีก เป็นการยากที่จะเอาชนะทุกคนทั้งหมดได้ในตอนนี้
ตระกูลหลินแบกร่างของหลินอวิ๋นขึ้น แล้วเดินตามหลังหลินชางหลางด้วยใบหน้าโกรธแค้น ซึ่งตรงกันข้ามกับความเย่อหยิ่งที่มีก่อนหน้าเมื่อครั้งที่พวกเขามาถึง
“ฮึ่ม!”
บนปรัมพิธี องค์ชายแปดจินหมินยืนผงาดขึ้นด้วยใบหน้ารำคาญใจ แล้วสะบัดชายเสื้อเตรียมจากไปทันที
ในครั้งนี้ที่เขามายังเมืองฉีซาน ไม่มีสิ่งใดราบรื่นสำหรับเขาแม้แต่น้อย!
ลั่วเหยาขยับเรือนร่างลุกขึ้นจากที่นั่ง แล้วยิ้มด้วยใบหน้าอันงดงามให้กับจินหมิน “องค์ชายแปด ยอดค่าใช้จ่ายควรให้ทางเราส่งไปยังวังหลวงหรือสำนักซวนหยวนงั้นหรือเจ้าคะ”
ใบหน้าของจินหมินสั่นเทาซีดขาวราวกระดาษ
เขาเกือบลืมไปเลย ว่าได้เดิมพันเอาไว้กับศาลาหลินอวิ๋นสิบล้านตำลึง!
นั่นคือสิบล้านตำลึง การพ่ายแพ้แล้วสูญเสียเงินจำนวนมากเช่นนี้ ทำให้เขาเจ็บปวดไม่น้อย!
“ไม่ต้อง! ข้าจะส่งมันไปยังศาลาหลิงอวิ๋นในเดือนหน้า!”
หลังจากทิ้งวาจาอันเย็นชาไว้ จินหมินก็เดินจากไปทันที เมื่อกำลังจะข้ามผ่านพื้นที่เปิดโล่งตรงกลาง เขาก็ผงะหยุดแล้วมองหลัวเฉิงด้วยสายตาเฉียบคมราวใบมีด
“ไอ้เด็กเหลือขอ คราวหน้าเราได้เห็นดีกันแน่!”
ด้วยการสูดจมูกอย่างหนัก จินหมินก็พลันหันกายจากไปทันที
เขาไม่มีความต้องการที่จะอยู่ในเมืองฉีซานนี้อีกต่อไป
หลัวเฉิงถึงกับกล่าวสิ่งใดไม่ออก ดูเหมือนว่าจินหมินจะเกลียดเขาเข้ากระดูกดำไปเสียแล้ว
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้เป็นคนบังคับให้อีกฝ่ายเดิมพัน จินหมินเดิมพันเสียสิบล้านตำลึง แล้วมันจะเกี่ยวอะไรกับเขา
พระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตก บ่งบอกว่างานชุมนุมล่าสัตว์มาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว
“ท่านผู้นำตระกูลหลัว ขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย!”
ผู้มีอำนาจต่างพากันออกมาแสดงความยินดีกับหลัวหมิงซาน
พวกเขาทุกคนล้วนรู้ดีว่า ตั้งแต่วันนี้สืบไป เมืองฉีซานจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างแน่นอน
หลังจากครอบครองเมืองหนานเฉิงฟาง สถานะตระกูลอันดับหนึ่งในเมืองฉีซานย่อมต้องเป็นตระกูลหลัวไม่ผิดแน่
หลัวหมิงซานไม่ได้แสดงสีหน้ามีความสุขมานานแล้ว หัวใจของเขารู้สึกอบอุ่นและทักทายทุกคนที่เข้ามาแสดงยินดีด้วยการประสานมือกำหมัด
ในฐานะตัวเอกของวันนี้ หลัวเฉิงเองก็ถูกรายล้อมไปด้วยผู้คนมากมายเช่นกัน หูของเขาล้วนแล้วแต่ได้ยินเสียงคำชมเชยอย่างไร้สิ้นสุด
ขณะที่หลัวเฉิงเหนื่อยกับการเผชิญหน้ากับฝูงชน จึงแอบแยกตัวออกมาเงียบๆ ระหว่างนั้นเองแววตาเขาพลันเหลือบไปเห็นชายอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ ที่กำลังเดินมาหาเขาด้วยท่าทางสง่างาม
นั่นคือ อวิ๋นเหมิงลี่!
“ตามข้ามา”
หลังเอื้อนเอ่ยเพียงสามคำ อาภรณ์ของดรุณีชุดขาวก็พลันโบกสะบัด ก่อนทะยานมุ่งออกไปอย่างสง่างามยิ่ง
หลัวเฉิงรีบตามไปโดยไม่คิดลังเลแม้แต่น้อย
เมื่อทั้งสองไปถึงสถานที่อันเงียบสงบซึ่งโดยรอบปราศจากผู้คน อวิ๋นเหมิงลี่ก็หยุดเคลื่อนไหว แล้วทอดสายตามองยังหลัวเฉิงด้วยดวงตาที่ประกายวาวสดใส ดั่งนัยน์ตาคู่นั้นจะมองลึกเข้าไปจนถึงจิตวิญญาณเขา
“ข้าประเมินความสามารถเจ้าต่ำเกินไปจริงๆ ที่แท้ เจ้าก็อยู่ในขั้นหลอมกายาที่มีพลังมากถึงสองพันจินแล้ว”
ที่อวิ๋นเหมิงลี่กล่าวเช่นนั้น ด้วยว่านางนั้นรู้สึกประหลาดใจจริงๆ หาใช่คำยกยอปอปั้นแต่อย่างใด
นางนั้นเคยพบเห็นอัจฉริยะมานับครั้งไม่ถ้วน แม้นหลายคนจะมาถึงจุดสูงสุดของขั้นหลอมกายาได้ แต่ไม่เคยปรากฏสักคนที่มีพลังความแข็งแกร่งมากถึงสองพันจินดั่งเช่นนี้
ดั่งที่ทุกคนนั้นล้วนทราบดี ขั้นสูงสุดนั้นยังไม่ใช่สภาวะทะลวงขีดจำกัด
ดังนั้น หลัวเฉิงจึงเป็นอีกหนึ่งปาฏิหาริย์ที่สามารถทะลวงขีดจำกัดของขั้นหลอมกายาขั้นสุดยอดได้!
หลัวเฉิงแย้มยิ้มและกล่าวว่า “ที่ท่านเรียกข้ามาที่นี่ คงมิใช่ว่าต้องการชมข้าอย่างเดียวใช่หรือไม่?”
อวิ๋นเหมิงลี่พยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวน้ำเสียงจริงจัง “เจ้าช่วยปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ให้ข้าดูได้หรือไม่”