บทที่ 61 การเรียนรู้ด้วยตนเอง
"ถ้าพวกมันมาให้ข้าจัดการทุกวันก็คงจะดี" ชูเหลียงกล่าวขณะเดินวนเวียนอยู่ในหุบเขาอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีผึ้งพิษเหลืออยู่ จากนั้นก็กลับไปยังฉูซาน
ชูเหลียงกลับไปยังกระท่อมของเขา เขามีบางสิ่งที่สำคัญกว่าการจัดการกับเงิน นั่นคือเขาไม่ควรลืมความพยายามที่จะแข็งแกร่งขึ้น
เขาจึงเก็บรางวัลที่ได้จากผึ้งพิษไว้ก่อนและเลือกที่จะฝึกฝนแทน ชูเหลียงกําลังฝึกฝนการเขียนอักขระที่เจียงเยว่ไป๋สอนให้เขา
แนวคิดของกระบี่เวทมนตร์อยู่ที่การรวมกันของอักขระและพลังกระบี่ สิ่งที่จำเป็นในการเรียนรู้ทักษะนี้คือต้องเรียนรู้วิธีการเขียนอักขระ แต่การเขียนอักขระนั้นเป็นศาสตร์ที่ต้องศึกษาอย่างลึกซึ้ง
วิชาวาดอักขระ วิชาแปรธาตุ วิชาปรุงยา วิชาเหล่านี้ล้วนเป็นวิชาที่ซับซ้อนและเฉพาะทาง นิกายฉูซานจึงไม่ได้บังคับให้ศิษย์ศึกษาวิชาเหล่านี้ นี่คือเหตุผลที่ชูเหลียงไม่เคยพูดถึงเรื่องเหล่านี้มาก่อน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาจําเป็นต้องศึกษามัน ไม่ใช่เรื่องเสียหายที่จะเรียนรู้ให้กว้างขึ้น
ในวงการศิลปะการต่อสู้มีสุภาษิตสําคัญว่า เรียนจนแก่ มีชีวิตอยู่จนแก่ หมายความว่า ถ้าคนไม่เรียนรู้ หากอยู่ไปจนถึงวัยชราก็อาจไม่รอด
ในการเรียนของชูเหลียงกับเจียงเยว่ไป๋เป็นครั้งล่าสุด เจียงเยว่ไป๋สอนเขาเกี่ยวกับรอยกระบี่ เธอไม่สามารถสอนเขาเรื่องพื้นฐานการทําอักขระได้ ชูเหลียงจึงต้องกลับมาค่อยๆ เรียนรู้เอง เธอให้เวลาเขาเรียนรู้การร่ายอักขระ 1 เดือน
ดังนั้น ชูเหลียงจึงไปที่ศาลาแลกกระบี่เพื่อซื้อตำราชื่อ "เต๋าเที่ยงแท้แห่งอักขระ" และไปที่หออาวุธเพื่อซื้อเครื่องมือสำหรับสิ่งพื้นฐานบางอย่าง - ผงชาด กระดาษเหลือง หมึก พู่กัน ...
ตอนนี้ชูเหลียงมีทุกอย่างที่เขาต้องการสำหรับการเริ่มศึกษาหนังสือเล่มนี้แล้ว
“ยันต์” คืออุปกรณ์ที่มีพลังแห่งอักขระบรรจุอยู่ ยันต์จะทรงพลังมากขึ้นเมื่อใช้พลังจากอักขระ เมื่อยันต์ถูกกระตุ้นด้วยพลังแห่งอักขระ มันก็จะสามารถเรียกพลังแห่งสวรรค์ออกมาได้
อย่างไรก็ตาม พลังนั้นไม่สามารถเรียกพลังแห่งสวรรค์ออกมาได้ตามใจชอบ ผู้ฝึกต้องรวบรวมพลังชี่ใส่ไปกับการวาดอักขระ จากนั้นจึงต้องส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เข้าไปเพื่อกระตุ้นพลังแห่งสวรรค์
ผงชาดเป็นวัสดุที่นิยมใช้ในการวาดอักขระ เนื่องจากมันเป็นวัสดุที่หาได้ง่ายที่สุดและมีคุณสมบัติในการยึดติดกับพลังชี่ได้เป็นเวลานาน
ผู้ที่เชี่ยวชาญในการเขียนอักขระแล้วไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้ เพราะการเขียนอักขระบนอากาศด้วยนิ้วของพวกเขาเป็นวิธีที่เรียบง่ายที่สุด หากผู้ฝึกต้องการเขียนอักขระในอากาศด้วยกระบี่บิน ก็ต้องบรรลุความชํานาญดังกล่าวเสียก่อน
ผู้ฝึกหัดในระยะแรกของการเขียนอักขระเพียงแค่ต้องจําคําพื้นฐานบางอย่างให้ดี พวกเขาไม่จําเป็นต้องเข้าใจว่าเหตุใดอักษรจึงต้องเขียนเช่นนี้ เหมือนเด็กประถมแค่ต้องรู้จักใช้สูตรคณิตศาสตร์ สำหรับที่มาของสูตรและทฤษฎีที่อยู่เบื้องหลังอักขระนั้นยังไม่ใช่เวลาที่พวกเขาจะต้องเรียนรู้ในตอนนี้
อย่างไรก็ตามขั้นตอนแรก “จดจำตัวอักขระพื้นฐาน” เป็นเรื่องที่ท้าทายมาก ภาพของตัวอักษรในกฎสวรรค์นั้นคลุมเครือและซับซ้อน ทุกรอยขีดเขียนสะท้อนให้เห็นถึงความแน่วแน่ ดังนั้นตัวอักษรจะต้องไม่มีการตกแต่งเพิ่มเติมหรือบิดเบือนแม้แต่น้อย
นั่นหมายความว่าผู้ฝึกไม่สามารถท่องจำปุปปับแล้วคัดลอกตัวอักษรได้ง่ายๆ ดังนั้นจึงมักมีการวาดอักขระลงในยันต์ไว้ก่อนที่จะเผชิญหน้ากับศัตรู
การวาดอักขระเส้นทุกเส้นจะต้องมีความสม่ำเสมอกับสัดส่วนที่เหลือของตัวอักษรทั้งหมด นี่คืออุปสรรคแรก
เป็นเหตุให้คำเหล่านี้ต้องถูกฝึกเขียนลงบนกระดาษตั้งแต่แรก รูปร่างและสัดส่วนของเส้นของตัวอักษรจะเห็นได้ชัดเจนขึ้นบนกระดาษ ผู้ฝึกหัดอาจต้องฝึกฝนบนกระดาษเป็นพันๆ ครั้งเพื่อให้สามารถวาดอักขระได้อย่างไรข้อผิดพลาดใดๆ ในอากาศ ความขยันหมั่นเพียรของผู้ปฏิบัติสามารถชดเชยข้อบกพร่องในจุดนี้ได้
ชูเหลียงมองคำพื้นฐานในหนังสือแล้วพยายามใช้มือเขียนคำกลางอากาศ และพบว่ามันยากที่จะเห็นว่าเขาเขียนถูกต้องหรือไม่ หรือต้องแก้ไขอย่างไร
อุปสรรคที่สองคือการรวมศูนย์ชี่เพื่อไม่ให้มันกระจัดกระจายไร้ทิศทาง ดังนั้นเพื่อรักษาสถานะแบบรวมศูนย์ ผู้ฝึกฝนจําเป็นต้องควบคุมชี่ของตนเองได้ดีพอสมควร พวกเขาจะต้องสามารถเชื่อมต่อเส้นตันเถียนทั้งหมด เพื่อให้ชี่ของพวกเขาไหลออกไปยังจุดที่ต้องการได้อย่างราบรื่น
อุปสรรคที่สามคือเวลาแสดงผลของอักขระ อักขระจำนวนมากไม่ได้แสดงผลในทันที ดังนั้นผู้ฝึกฝนจะต้องใส่ใจกับระยะนับตั้งแต่พวกเขาส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไปจนถึงการใช้อักขระเพื่อควบคุมเวลาใช้งาน ผู้ฝึกฝนต้องควบคุมสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาอย่างแม่นยํา
อย่างไรก็ตามชูเหลียงรู้มาก่อนแล้วว่านานแล้วว่าการรวมพลังงานทั้งสามได้แก่พลังกาย, พลังชี่และวิญญาณให้เป็นหนึ่งเดียวอาจกล่าวได้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
"มันซับซ้อนมากจริง ๆ ..."
เขาวางแผนที่จะท่องจำคําเสียก่อน แล้วค่อยเขียนลงบนกระดาษ
โดยทั่วไปแล้ว สิ่งแรกที่ผู้ปฏิบัติมือใหม่ต้องเรียนรู้คืออักษร “ไฟ” ซึ่งชูเหลียงเองก็ไม่มีข้อยกเว้น ไฟเป็นคำที่ง่ายที่สุดที่สามารถใช้วาดอักขระ แต่ก็ยังซับซ้อนพอที่จะทำให้ผู้เริ่มต้นปวดหัว
หลังจากฝึกใช้มือขวาลองวาดอยู่นาน เขาก็เขียนคำนี้ลงไปจนครบตัวอักษรบนแผ่นยันต์ จากนั้นเขาก็ตบเบาๆ
หวืดดด
มีไฟลุกโชติช่วงมาจากที่ใดก็ไม่รู้ มันลุกไหม้ขึ้นมาจนเกือบจะติดผนังกระท่อม
ชูเหลียงตกใจรีบลุกขึ้นยืนและตบไฟเพื่อให้ดับทันที
ข้าทำได้... ข้าทำได้งั้นหรือ
ตำราเล่มนี้ระบุชัดเจนว่าการเขียนอักขระในอากาศเป็นเรื่องยาก ...และอาจต้องฝึกบนกระดาษยันต์หลายพันครั้งก่อน..
แม้ว่าเขาจะประสบความสําเร็จ แต่ปฏิกิริยาแรกของเขาไม่ใช่ความสุข
ตรงกันข้าม เขาจ้องมองผงชาดและกระดาษสีเหลืองบนโต๊ะและพึมพํากับตัวเอง.. ข้าซื้อมันมาเยอะเกินไปสินะ ช่างสิ้นเปลืองเงินข้าจริงๆ ..
...
“แกว๊กกกก”
เช้ามืดวันรุ่งขึ้นชูเหลียงถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงร้องที่ดังมาจากข้างนอกอย่างกะทันหัน เขามองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นนกกระเรียนสีขาวขนาดใหญ่กําลังลงจอด
ได้เวลาหนังสือข่าวเจ็ดดารารายเดือนอีกแล้ว
“ขอบคุณมาก” ชูเหลียงตะโกนบอกกระเรียน
จากนั้นเขาก็เอื้อมมือไปหยิบมันเข้ามา ถึงเวลาอ่านข่าวแล้ว
ตามปกติแล้ว เขาจะเปิดหนังข่าวนี้และอ่านส่วนใน "รายการสมบัติแห่งโลกมนุษย์" ก่อน
อันดับมีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ หอคอยเทาเที่ยประสบความสําเร็จในการสร้างเครื่องมือร่ายคาถาที่เรียกว่า "ปีกทองสะบัดเมฆ" นิกายเคลื่อนสวรรค์ได้เห็นพลังของมันด้วยตาของพวกเขาเองและได้จัดมันไว้ใน "รายการสมบัติแห่งโลกมนุษย์" ในลำดับที่ 97 นั่นหมายความว่า สมบัติในอันดับ 97 และต่ำกว่า จะตกไป 1 ตำแหน่ง
สมบัติหนึ่งร้อยอันดับแรกไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาหลายปีแล้ว ดังนั้น การเกิดขึ้นอย่างฉับพลันของ "ปีกทองสะบัดเมฆ" จึงดึงดูดความสนใจอย่างไม่ต้องสงสัย
เป็นที่เชื่อกันโดยทั่วไปว่ามีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างสมบัติที่ติดอันดับหนึ่งร้อยกับสมบัติที่ติดอันดับต่ำกว่าร้อย ไม่ว่าพวกเขาจะมีพลังอะไร สิ่งประดิษฐ์และอาวุธทั้งหมดที่ต่ำกว่าร้อยอันดับแรกถือว่าเป็นสมบัติของมนุษย์เท่านั้น ในขณะที่ร้อยอันดับแรกถือว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์แห่งสวรรค์
เมื่อใดก็ตามที่สมบัติระดับนี้ถูกสร้างขึ้นหรือค้นพบ นี่เป็นเรื่องใหญ่ของมนุษยชาติ เพราะมันแสดงให้เห็นว่าดุลอำนาจอาจเปลี่ยนแปลงได้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง เมืองเทาเที่ยซึ่งเป็นเจ้าของสมบัตินี้ได้แข็งแกร่งขึ้นอีกขึ้นแล้ว
ในฐานะศิษย์ของนิกายฉูซาน ชูเหลียงย่อมต้องมีความรู้สึกไม่ดี ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีเสียงอ้างว่านิกายฉูซานไม่มีสิทธิ์ติดอันดับเก้านิกายเซียนอมตะ เสียงเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นของเหล่าสิบกำลังอมตะแห่งโลก
พวกเขามุ่งเป้าความสนใจไปที่นิกายฉูซาน ซึ่งในตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นอันท้ายๆ ของเก้านิกายเซียนอมตะ เสมือนเสือเฝ้าเหยื่อและรอโอกาสที่เหยื่อยจะโรยแรงและมาแทนที่
หลังจากชูเหลียงอ่านการเปลี่ยนแปลงของ "รายการสมบัติของโลกมนุษย์" เสร็จ เขาก็อ่าน "พงศาวดารเก้าแคว้น" ต่อ
เมื่อเขาพลิกหนังสือข่าวไปที่ส่วนนั้น ประโยคขนาดใหญ่ก็ดึงดูดความสนใจของเขา - "เทพป๊ศาจหวนคืน"
ฉูเหลียงได้ยินข่าวนี้ที่ภูเขาอินรินมานานแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่แปลกใจ แต่เขาจินตนาการได้ง่ายว่าข่าวนี้จะน่าตกใจแค่ไหนสําหรับคนที่อยู่อย่างสุขสบายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
เทือกเขาเจ็ดกษัตริย์ที่อยู่ห่างไกลทางตะวันตกได้ส่งทูตปีศาจจํานวนมากออกมาเคลื่อนไหวในครั้งนี้ และพวกเขาพยายามจะเป็นพันธมิตรกับกองกําลังจํานวนมากในราชวงศ์หยู เป้าหมายของพวกเขาคือการกระจายข่าวการกลับมาของเทพปปีศาจ ดังนั้นเรื่องนี้จึงมิใช่ความลับแต่อย่างใด พวกเขากลับต้องการสร้างพายุ ที่กวาดไปทั่วทั้งเก้าแคว้น พวกเขาต้องการป่าวประกาศการกลับมาของปีศาจเทพอย่างโจ่งแจ้งเพื่อให้สิ่งต่าง ๆ ดูเป็นจริงมากขึ้น
ในหนังสือข่าวได้เขียนบทวิจารณ์ที่ลึกซึ้งเพื่อบอกชาวโลกว่านี่เป็นสิ่งที่น่ากลัวเพียงใดเพื่อเป็นการปลุกความรู้สึกถึงวิกฤติของคนที่ลืมความน่ากลัวของเผ่าพันธุ์ปีศาจไปนานแล้ว พร้อมทั้งมีข้อมูลโดยทั่วไปของเผ่าพันธุ์ธ์ุปีศาจระบุเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอีกจำนวนหนึ่ง
จากนั้นชูเหลียงก็พลิกไปที่หน้าถัดไป เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นั่นเพราะชื่อของเขาอยู่ในกระดาษ
หนังสือข่าวได้บันทึกการกระทําของทูตปีศาจหลายตน แต่ข่าวแรกที่ถูกกล่าวถึงคือ ทูตปีศาจที่ก่อเหตุสังหารหมู่อย่างโหดเหี้ยมในเมืองเกาฉาน
ทูตปีศาจผู้เหี้ยมโหดนี้ถูกฆ่าโดยการร่วมมือกันของ ยุนเชาเสี้ยน ศิษย์เอกของนิกายดารายิ่งใหญ่ และชูเหลียงศิษย์แห่งนิกายฉูซาน พวกเขายังได้ปราบตัวแทนของหมอผีร้ายซึ่งสมรู้ร่วมคิดกับทูตปีศาจได้อีกด้วย
แน่นอนว่าจุดสําคัญของบทความนี้อยู่ที่ยุนเชาเสี้ยน ส่วนชูเหลียงนั้นถูกกล่าวถึงอย่างง่ายๆ เท่านั้น ถึงกระนั้นผู้เขียนบทความก็ไม่อาจถูกตำหนิในเรื่องนี้ได้ ท้ายที่สุดแล้วยุนเชาเสี้ยนนั้นเป็นถึงหนึ่งในสี่ศิษย์เอกแห่งนิกายดารายิ่งใหญ่ที่ถูกกล่าวถึงในหนังสือข่าวเจ็ดดารามานักต่อนัก
ส่วนชูเหลียงนั้น เขาเป็นใคร ไม่มีผู้ใดรู้จักเขา
หากไม่ทราบรายละเอียดที่แน่ชัดทุกคนคงคิดว่ายุนเชาเสี้ยนเป็นกำลังหลักในการกำจัดสิ่งชั่วร้ายเหล่านี้ ขณะที่ชูเหลียงคงเป็นแค่ผู้ที่ร่วมเดินทางมาด้วย
ถึงกระนั้น ชูเหลียงก็ยังรู้สึกเหนือจริงมากที่ได้เห็นชื่อของเขาในหนังสือข่าวเจ็ดดาราที่คนทั้งโลกกําลังอ่าน
ชูเลี่ยงยิ้มเล็กน้อย
จากนั้นเขาก็พลิกไปที่หน้าถัดไปและเห็นอีกชื่อที่คุ้นเคยและรอยยิ้มของเขาก็ค่อยๆ เหี่ยวเฉาลง
"เมื่อเร็ว ๆ นี้ ตี้หนิวเฟิ่ง ปรมาจารย์ยอดเขาแห่งนิกายฉูซานได้ก่อปัญหาในน่านน้ําใกล้ทะเลจีนตะวันออกและก่อให้เกิดความวุ่นวาย นิกายเผิงไหล่จึงได้เข้าเจรจาเพื่อให้เธอออกจากน่านน้ํานี้ และทุกคนพอใจมาก"