บทที่ 59 ชาผลไม้แรกของฤดูใบไม้ผลิ
ยอดเขาฝ้ายแดงมีชื่อเสียงในด้านดอกฝ้ายแดงที่บานสะพรั่งตลอดทั้งปี
มีพื้นที่ราบโล่งบนยอดเขาที่เคยเป็นแท่นบูชา แต่ถูกทิ้งร้างตามกาลเวลา สองข้างทางมีอาคารว่างตั้งตระหง่านอยู่ เส้นทางสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย ได้รับการบำรุงรักษาอย่างดี และในที่สุดเหล่าศิษย์ของฉูซานก็เริ่มตั้งแผงขายของที่นี่และกลายเป็นตลาดขนาดเล็กที่เรียกว่าตลาดฝ้ายแดง
เมื่อเปรียบเทียบกับของที่ขายโดยนิกายกายโดยตรง สินค้าในตลาดฝ้ายแดงนั้นทางเหล่าศิษย์เป็นผู้ตั้งเอง สิ่งของนั้นหลากหลายกว่า และมีพื้นที่ในการเจรจาต่อรอง
แม้ว่าจะมีความเสี่ยงที่จะถูกหลอกลวง แต่ก็สามารถหาข้อตกลงกันได้ นี่จึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของศิษย์แห่งฉูซานหลายคนแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้วางแผนที่จะซื้อของใดๆ
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นครั้งแรกที่ชูเหลียงมาที่นี่
ทันทีที่เข้ามาในตลาดเล็กๆ แห่งนี้ เขาสังเกตเห็นเสื่อขนาดต่างๆ ปูอยู่บนสองข้างทางและมีสิ่งของวางขายอยู่ สิ่งของที่นำมาจำหน่ายส่วนใหญ่ได้แก่ ยา วัตถุศักดิ์สิทธิ์ เครื่องรางทำมือซึ่งมีคุณภาพที่แตกต่างกันไป
บางคนถึงกับขายสัตว์วิญญาณซึ่งเป็นสินค้าที่ทางนิกายไม่มี พวกเขาเลี้ยงสุนัขวิญญาณหลากหลายชนิด ขนของพวกมันมีสีแตกต่างกัน ทั้งสีดำ สีขาว และขนบางตัวมีสีสัน สุนัขวิญญาณเหล่านี้น่ารักและเชื่อฟัง
ผู้ขายจะแสดงความสามารถของสัตว์วิญญาณของพวกเขาเมื่อถูกร้องขอ
ถ้ามีคนให้อาหารสัตว์หรือให้มันได้กลิ่น มันก็จะตามหาอาหารได้ ไม่ว่ามันจะซ่อนอยู่ที่ใด
ขอบเขตการติดตามของพวกมันขยายไปถึงร้อยสองร้อยลี้ เมื่อสุนัขวิญญาณเติบโตขึ้น ระยะทางการติดตามของพวกมันสามารถขยายออกไปอีก ถึงระยะทางหลายพันลี้
แผงขายหนึ่งมีกระจกวิเศษที่มีผลดึงดูดความสนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปมา หากท่องคาถาเฉพาะว่า กระจกวิเศษเอ๋ย บอกข้าเถิดว่าใครงามเลิศในยุทธจักร มันจะทำให้กระจกเงาแสดงใบหน้าของคนที่ยืนอยู่หน้ากระจก
ผู้ชมที่อยากรู้อยากเห็นคนหนึ่งถามว่า "กระจกทุกบานย่อมสามารถสะท้อนใบหน้าได้มิใช่หรือ"
พ่อค้าพยักหน้าและอธิบายว่า "เสน่ห์ของวัตถุโบราณชิ้นนี้คือมันจะไม่สะท้อนสิ่งใดเลยนอกจากท่านจะถาม"
"แล้วหากข้าทำมันแตกเล่า" ผู้สอบถามกล่าว
"ท่านพูดเรื่องอะไรของท่าน ไปให้พ้นเสีย หากท่านมิได้ต้องการซื้อก็อย่าทําให้วุ่นวาย" พ่อค้าโต้กลับ
"..."
ในอีกแผงหนึ่ง พ่อค้ารายหนึ่งได้วางขันที่แตกซึ่งเรียกว่า ขันสมบัติกระจัดกระจาย
เมื่อมีคนนำสิ่งของมีค่าที่มีคุณสมบัติศักดิ์สิทธิ์ใส่ขันมันก็จะหายไปทันที
มีผู้ที่สงสัยตัดสินใจขว้างก้อนหินเข้าไปทดสอบ แต่ไม่มีเสียงตอบรับ จากนั้นเขาจึงเปลี่ยนเป็นโยนเหรียญกระบี่ลงในขันและเหรียญก็ได้หายไปอย่างรวดเร็ว
ผู้ชมต่างตื่นตาตื่นใจกับผลลึกลับของชาม
อย่างไรก็ตาม ภายหลังเขาได้ขอให้พ่อค้านำเหรียญกระบี่มาคืน แต่พ่อค้าเพียงแค่ยกมือไหว้และอ้างว่าไม่รู้ว่ามันหายไปที่ใด
จากนั้นทั้งสองก็ต่อสู้กันและศิษย์คนอื่นก็พยายามเข้ามาห้ามอย่างรวดเร็ว
การปะทะกันเช่นนี้เกิดขึ้นทุกวันและมีศิษย์ที่ประจำอยู่เพื่อดูแลเรื่องเหล่านี้
...
ชูเหลียงเดินวนเวียนอยู่พักใหญ่ เขาเห็นสิ่งที่น่าสนใจมากมายแต่ก็ไม่เห็นสิ่งใดที่ต้องการจะซื้อ หรือต่อให้เขาอยากซื้ออะไรก็ไม่มีเงินเหลือแล้ว..
..ต่อมา เขาหาที่ว่างให้ตัวเอง
เขาหยิบผ้าห่มผืนหนึ่งที่พกติดตัวออกมา เขาวางแผ่นไม้ไว้ด้านบน และจัดถ้วยน้ำชาเล็ก ๆ หกใบ เขาวางชาน้ำผึ้งหนึ่งกระบอกไว้ข้างพวกมัน
จากนั้นเขาก็ชูป้ายที่มีข้อความสองบรรทัดใหญ่:
ชินฉะ [1] ชาผลไม้แรกแห่งฤดูใบไม้ผลิ
แม้ว่าแผงขายของของเขาจะดูแปลก แต่มันก็มิได้สะดุดตาในตลาดที่เต็มไปด้วยความแปลกประหลาดนี้ อย่างไรก็ตาม บุคคลที่อยากรู้อยากเห็นต่างค่อยๆ เข้ามาหลังจากช่วงเวลาหนึ่ง
"พี่ชาย ท่านขายสิ่งใดหรือ" ศิษย์หนุ่มคนหนึ่งถามด้วยความสงสัย
"ชาผลไม้" ชูเหลียงชี้ไปที่ชาน้ำผึ้งกระบอกนั้น
"ชาหรือ ชาของท่านมีผลพิเศษอย่างไรหรือไม่" ศิษย์หนุ่มถาม
“เพียงรสชาติดี” ชูเหลียงพูดด้วยรอยยิ้ม
"อ๊ะ" ชายคนนั้นตกใจ "เพียงเท่านั้นหรือ"
“รสชาติดีแต่ไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่ม” ชูเหลียงกล่าวเสริม
"..." ผู้ชายคนนี้คิดว่ามันแปลกไปหน่อย
"ท่านสามารถลองได้นะขอรับ" ชูเหลียงชาใส่ถ้วยชาเล็กๆ ให้กับผู้สอบถามพลางส่งสัญญาณให้เขาชิม
ศิษย์หนุ่มรับมันไว้ เขาสูดลมหายใจเบาๆ และจิบน้ำ
ริมฝีปากของเขาย่นและดวงตาของเขาเปล่งประกาย
"อืม รสชาติดีจริงๆ " เขายอมรับ จากนั้นเขาถามราคาทันที "ท่านขายอย่างไร"
"หนึ่งเหรียญกระบี่ต่อหนึ่งกระบอก" ชูเหลียงชี้ไปที่ชาน้ำผึ้งกระบอกนั้นแล้วพูดต่ออีกว่า "นี่เป็นกระบอกที่ใหญ่มากเลยนะขอรับ"
"ว่าอย่างไรนะ เหรียญกระบี่หรือ" ศิษย์หนุ่มคนนั้นทำหน้างงทันที "ท่านขายน้ำหวานกระบอกนี้แลกเหรียญกระบี่เลยหรือ ท่านไปปล้นคนดีกว่า"
"เห้อ..." ชูเหลียงยิ้ม ส่ายหัว เขาขี้เกียจเกินไปที่จะเถียงกับชายคนนั้น
ศิษย์หนุ่มมองชูเหลียงเหมือนมองคนแปลกหน้า ก่อนหันหลังเดินจากไป
กระบวนการนี้เกิดขึ้นซ้ำๆ กับคนที่แวะเข้ามาสองหรือสามคนในรูปแบบที่คล้ายกัน
มันไม่น่าแปลกใจที่เหล่าศิษย์ต้องตกใจ เหรียญกระบี่เป็นของมีค่าในฉูซาน แม้แต่ศิษย์ทั่วไปในระดับการตระหนักรู้ทางจิตวิญญาณที่ทำภารกิจอย่างสม่ำเสมอก็จะได้เหรียญกระบี่เพียงประมาณ 100 เหรียญต่อเดือน
ผู้ที่ปฏิบัติภารกิจด้วยความถี่ปกติอาจได้รับเหรียญกระบี่ไม่ถึงร้อยเหรียญด้วยซ้ำ
ลูกศิษย์ในระดับแกนทองคำจะมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ทรัพยากรของพวกเขายังมีจํากัด
พวกเขาต้องการเหรียญกระบี่เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ เช่นการซื้อยาครอบจักรวาล เครื่องราง วัตถุเวทมนตร์ กระบี่บิน และสิ่งของอื่น พวกเขามักจะรู้สึกว่าพวกเขาไม่เคยพอ
การใช้เหรียญกระบี่เพื่อซื้อเครื่องดื่มที่เพียงแค่อร่อยและไม่มีผลอื่นๆ นั้นดูออกจะฟุ่มเฟือยไปเสียหน่อยสำหรับพวกเขา
อย่างไรก็ตาม ชูเหลียงยังคงอดทนและนั่งเงียบ
สักพักเสียงรบกวนข้างหน้าก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ในอากาศเต็มไปด้วยเสียงตะโกนและเสียงอุทาน ค่อยๆ เข้าใกล้เขา
"นางฟ้าเจียงมา"
เมื่อเสียงร้องไปถึงบริเวณใกล้เคียง ผู้คนเริ่มตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้น เขาทั้งหลายจึงชะโงกหน้ามองเข้าไปข้างหน้าเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น
และเป็นไปตามคาดที่พวกเขาจะเห็นกลุ่มคนที่โคจรรอบดวงจันทร์ราวกับดวงดาว ค่อยๆ เคลื่อนมาในทิศทางนี้
การมาถึงของคนคนหนึ่งทำเกิดกระแสความคลั่งไคล้ในตลาดฝ้ายแดงขึ้นมาทันที
ตัวเจียงเยว่ไป๋เองนั้นไม่ค่อยได้มาที่นี่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอมิได้ขาดทรัพยากรใดๆ เลยในการบ่มเพาะนอกจากนี้การมายังสถานที่แออัดเช่นนี้ย่อมดึงดูดผู้คนซึ่งปกติเธอพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งนี้อยู่เสมอ
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เจียงเยว่ไป๋จึงปรากฏตัวที่ตลาดฝ้ายแดงในวันนี้ ดูจากพฤติกรรมของเธอแล้ว เธอดูเหมือนจะไม่มีเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง ดูเหมือนว่าเธอมาที่นี่เพื่อเที่ยวเตร่ฆ่าเวลา
เจียงเยว่ไป๋สวมเสื้อคลุมที่สง่างามเหมือนเทพธิดา ทุกกิริยาแผ่อารมณ์ที่สง่างามราวกับเดินอยู่บนกลีบบัว
กลุ่มศิษย์แห่งฉูซานเดินตามหลังเธอจากทุกทิศทุกทาง ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความชื่นชม ความเคารพ ความอยากรู้อยากเห็นและอารมณ์ที่รุนแรงอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เธอเพื่อพูดคุยกับเธอ
สายตาของเจียงเยว่ไป๋มองไปรอบๆ แล้วหยุดในทิศทางของชูเหลียง เธอและชูเหลียงได้แลกเปลี่ยนสายตาสั้นๆ
หลังจากนั้น... เธอมีรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าที่เย็นชามาตลอด
รอบๆ ชูเหลียงเต็มไปด้วยเสียงทุ้มต่ําของความประหลาดใจและความตื่นเต้นทันที
"พี่น้องทั้งหลาย เธอยิ้มให้ข้า"
"ไร้สาระ ท่านเจียงกําลังหัวเราะให้ข้า"
"ไปให้พ้น! สายตาคู่งามนั้นมองมาที่ข้าต่างหาก"
"..."
ท่ามกลางเสียงอึกทึกครึกโครม เจียงเยว่ไป๋เดินเข้ามาที่แผงขายของของชูเหลียง
เธอชะโงกหน้าเบาๆ และเอ่ยถาม "นี่คืออะไร"
"ชาผลไม้" ชูเหลียงตอบอย่างใจเย็น
"ให้ข้าลองหน่อยได้หรือไม่" เจียงเยว่ไป๋พูดพลางกะพริบตา
ชูเหลียงรินชาให้เธอ เจียงเยว่ไป๋สูดหายใจและดึงชาเข้าปาก
จากนั้นเธอก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม "อร่อย"
"ศิษย์พี่เจียง ท่านอยากได้ไปสักกระบอกหรือไม่" ชูเหลียงถาม
"แน่นอน ไม่สิ ข้าขอสองกระบอกเลย" เจียงเยว่ไป๋ตอบ
ชูเลี่ยงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ได้เลยขอรับ”
ขณะเดียวกันเจ้าตัวก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่ดังว่า “กระบอกที่ 2 ครึ่งราคาเลยขอรับ”
1. ชินฉะ ชาที่เก็บเกี่ยวครั้งแรกของปีหลังพ้นหน้าหนาว เป็นชาที่ว่ากันว่าดีที่สุดในรอบปี