ตอนที่ 66 : เบื้องหลัง ! ตระกูลเหลียน ?
ตอนที่ 66 : เบื้องหลัง ! ตระกูลเหลียน ?
“เกือบได้เวลาแล้ว ทำไมเขายังไม่ออกมาอีก ?”
“ใช่ นี่มันก็ผ่านมา 12 ชม.แล้ว เด็กนั่นยังอยู่ในชั้น 30 อยู่เหรอ ?”
“มัน....เหลืออีก 2 นาทีสุดท้าย”
ที่ลานหอฝึกฝน ผู้คนพากันมารวมตัวกัน
แม้ว่าตอนนี้จะมืดแล้ว ทว่าทั้งลานก็ยังเปิดไฟสว่าง มีผู้ปลุกพลังกับผู้ชมร่วมหมื่นคนที่มารอคอยกันอย่างกังวล
นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 200 ปีกับการสอบเข้ามหา’ลัยที่กินระยะเวลานานขนาดนี้ !
12 ชม. ! !
พิธีกรปิงปิงดูเหนื่อยล้านิด ๆ แต่เธอก็ยังคึกคัก เธอยังคงยืนอยู่หน้ากล้องและรายงานสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
“เพื่อน ๆ ทุกคน ตอนนี้เหลือเวลาแค่ 2 นาทีก่อนจะครบ 12 ชม.ในการสอบเข้ามหา’ลัย แชมป์ในการแข่งแบบทีมในปีนี้กำลังจะปรากฏตัวแล้ว !”
“น่าแปลกใจจริง ๆ !”
“ไม่คิดเลยว่าแชมป์ของเมืองปิ้นไห่ปีนี้จะเป็นทีมที่มีผู้ปลุกพลังระดับ D !”
“มันพิสูจน์ได้ว่าไม่มีผู้ปลุกพลังคนไหนที่อ่อนแอ มีแค่คนที่อ่อนแอ ตราบใดที่หาทางใช้ความสามารถที่มีได้อย่างเหมาะสมและพยายามอย่างหนัก แม้จะได้คะแนนประเมินที่ต่ำ ทว่าเราก็ยังแสดงฝีมือที่เก่งกาจออกมาได้ !”
“เราได้ข่าวมาจากโรงเรียนที่ 12 ว่าหลินลั่วคนนี้น่ะขยันเรียนตั้งแต่เด็ก เขาอ่านหนังสือถึงดึกทุกวัน เขายังได้เกรดสูงในทุกวิชาด้วย เพื่อน ๆ ทุกคนที่อยู่หน้าทีวี ตราบใดที่พวกเธอขยันพอ งั้น...ก็จะเป็นแบบหลินลั่วได้ !”
ปิงปิงรายงานข่าวออกมาด้วยท่าทีกระตือรือร้น สีหน้าของคนดูบางคนก็ตื่นเต้นไปตาม
“พี่ลั่วขยันเรียนและฝึกฝนอย่างหนักงั้นเหรอ ? ผลการเรียนของเขาได้คะแนนดี ฉันไม่รู้เรื่องนี้ได้ยังไง ?” ถังเฉิงฟังที่ปิงปิงประกาศก็ต้องแสดงสีหน้าสับสนออกมา
ในฐานะเพื่อนสนิทของหลินลั่วแล้ว เขาไม่เคยเห็นหลินลั่วขยันมาก่อน
สำหรับผลการเรียนแล้ว ถ้า 20 อันดับแรกถือว่าได้คะแนนดี งั้นถือว่าหลินลั่วได้คะแนนดีก็ได้
ครูหลี่หยูที่อยู่ข้าง ๆ แสดงสีหน้าแปลก ๆ ออกมาและพูดขึ้น “อะแฮ่ม บางทีความจริงกับสิ่งที่รายงานนั้นอาจจะต่างกันเล็กน้อย....”
ในหลาย ๆ มุม ผู้ปลุกพลังจากโรงเรียนอื่น ๆ ต่างก็พากันเงยหน้ามองไปที่หอฝึกฝน
“บ้าเอ้ย! ฉันไปตรวจสอบกับเพื่อนมา หลินลั่วเป็นแค่นักบวชระดับ D จริง ๆ ในโรงเรียนที่ 12 เขาไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเลยด้วยซ้ำ !”
“แล้วมันเกิดบ้าอะไรขึ้นกัน ? ตอนแรกฉันคิดว่าตอนที่อยู่ชั้น 21 ฉันจะไปที่ชั้น 22 ได้ แต่ใครจะไปคิดว่าฉันจะต้องหนีออกมาเพราะหมอกพิษของเขา”
“ฉันก็ด้วย ! จางหยางกับฉันน่ะเก็บเลเวลอยู่ที่ชั้น 22 ถ้าอยู่ถึงตอนที่หมดเวลา อย่างน้อยเราคงเลเวล 18 ! ใครจะไปคิดว่าเราต้องโดนบีบออกมาเพราะหมอกพิษ...”
“ฉันลองไปถามครูมาแล้ว ครูบอกว่าสกิลของเขาคือการควบคุมหมอกพิษให้หมุนเวียนในพื้นที่เล็ก ๆ อย่างเขตแดนลับและดันเจี้ยน มันคงใช้กับโลกภายนอกไม่ได้”
“ใช่ ครูเราก็บอกว่าหมอกพิษที่เขาควบคุมได้เรียกว่าไวรัสโรคห่า ไม่ใช่ว่ามันคือโรคระบาดที่แค่ซื้อยาแก้พิษจากนักปรุงยาก็แก้ได้แล้วไม่ใช่เหรอ รวมถึงยาต้านพิษของพวกหอการค้าด้วย ตราบใดที่มียาพวกนี้ ไวรัสโรคห่าก็ทำอะไรเราไม่ได้ !”
“บ้าชิบ ! การแข่งแบบเดี่ยวพรุ่งนี้ ฉันต้องเอาคืนมันให้ได้ !”
“ฉันก็ด้วย ! ฉันไปถึงชั้น 23 แล้ว ฉันมีสิทธิ์ที่จะท้าสู้กับเขา !”
“ในการแข่งแบบเดี่ยว มีแค่ 100 อันดับแรกใน 3 ชั้นสุดท้ายเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ได้สู้ เขาไปถึงชั้น 30 ได้ พวกที่มีสิทธิ์ที่จะสู้กับเขามีแค่คนที่ไปถึงชั้น 28-30 ได้เท่านั้น คนที่ขึ้นไปสูงได้ขนาดนั้นจะมีสักกี่คน ไม่ถึง 10 คนเลยด้วยซ้ำ !”
“เฮ้อ !”
“รอดูก่อน รัฐมนตรีกรมศึกษาและหัวหน้ากิลด์ผู้ปลุกพลังต้องเข้ามาจัดการเรื่องนี้แน่ !”
“ฉันไม่สน ! การแข่งเดี่ยวในวันพรุ่งนี้ ฉันจะท้าเขาสู้ !”
หลายคนพากันถกเถียงกัน บนเวทีเองก็มีการถกเถียงกันเกิดขึ้นเช่นกัน
“ตรวจสอบมาแล้ว ! หลินลั่วคนนี้ไม่มีภูมิหลังอะไรพิเศษ พ่อเขาตายตั้งแต่เขายังเด็ก แม่เขาเป็นนักเดินเรือ ตอนนี้เธอเป็นหัวหน้านักเดินเรือของเรือสำราญ”
“ไม่มีภูมิหลังพิเศษ ? งั้นความลับในตัวเด็กนี่ก็ยิ่งเปิดเผยได้ง่าย ! หาทางดึงตัวเขาเข้ามา ไม่ว่าจะต้องทุ่มอะไรก็ทุ่มไป !”
“ครับ !”
“ฉันได้ยินมาว่าตระกูลตงฟางทำการตรวจสอบเด็กนี่ ถ้าพวกนั้นเคลื่อนไหว....”
“ตระกูลตงฟาง ? ตางฟางไต่ซ่งไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น ทว่าบรรพชนของพวกเขาน่ะเป็นคนเจ้าเล่ห์ โชคร้ายที่เขาบาดเจ็บหนักเมื่อ 2-3 ปีก่อน ตอนนี้สภาพเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
“ช่างเรื่องนั้น ดึงตัวเด็กนี่มาให้ได้ก่อน !”
“ครับ !”
เสียงสั่งการยังดังออกมาจากมุมเวทีอย่างต่อเนื่อง
หลายคนมองไปที่แสงที่หอฝึกฝนพร้อมใจที่คาดหวัง
พวกเขาไม่อยากจะปล่อยให้เด็กนี่หลุดมือไป !
ที่ตรงหน้าเวที กั้วโฉวยี่ รองเทศมนตรีนั่งอยู่ที่เก้าอี้พร้อมนิ้วที่เคาะที่พักแขน มีพนักงานคนหนึ่งเดินเข้ามาพูดกับเขาด้วยท่าทีเคารพ “รองนายก มีอย่างน้อย 7 ตระกูลที่คิดจะแย่งตัวหลินลั่ว”
กั้วโฉวยี่พูดขึ้นมาเบา ๆ “ไม่ต้องไปขวางพวกนั้น หลินลั่วน่ะโผล่มาโดยที่ไม่มีใครคาดคิด เขาเป็นอัจฉริยะ แต่ถ้ามีอุปสรรคชิ้นใหญ่ขวางหน้าเขา โอกาสจะกลายเป็นหายนะแทน !”
“หวังว่าเขาจะผ่านพ้นอุปสรรคพวกนี้ไปได้”
“ครับ !”
“มีอีกเรื่อง....” พนักงานโน้มตัวเข้ามากระซิบกับกั้วโฉวยี่ “มี....เรื่องพวกเด็ก ๆ ด้วย”
“เรื่องอะไร ?” กั้วโฉวยี่สายตาสั่นไหว “ตงฟางเหอมีเรื่องกับหลินลั่ว แต่พวกคนในตระกูลใหญ่ต้องมีคนคอยปกป้องอยู่แน่ ถ้าเด็ก ๆ พวกนี้คิดจะหมายหัวหลินลั่วที่เป็นอัจฉริยะในหมู่คนธรรมดาแล้ว เขาคง...”
“ส่งคนคุ้มกันสองคนไปดูแลเขา”
“ได้ครับ !”
คนคุ้มกันที่ว่าคือผู้พิทักษ์ของมนุษย์ นี่คือผู้ปลุกพลังที่เป็นเจ้าหน้าที่ราชการที่ถูกส่งมาดูแลเมืองต่าง ๆ
อำนาจที่พวกเขามีเหนือกว่านายกเทศมนตรีด้วยซ้ำ
กั้วโฉวยี่มองไปที่หอฝึกฝนพร้อมยกมือขึ้นลูบเครา “หลินลั่ว หลินลั่วเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่น ! เราคือผู้พิทักษ์ของมนุษย์ เรามีเป้าหมายเพื่อ....”
“ออกมาแล้ว !” มู่หรงเสวี่ยเหินในเกราะทองยืนอยู่บนหลังคามองไปที่หอฝึกฝนที่รายล้อมไปด้วยผู้คน
สายตาคู่งามของเธอสะท้อนแสงออกมา
“แฮ่ก แฮ่ก....บัดซบ ! เจ้านั่นออกมาแล้ว !”
“เหี้ย !”
“ไอ้ห่านี่ !”
“ไปตายซะไป !”
ในห้องสูทของตระกูลตงฟาง ตงฟางเหอกำลังสบถออกมาไม่รู้จบ คนที่ร่วมมือกับเขาอย่างหลี่เหมยนั้น เนื้อตัวเต็มไปด้วยแผล หลี่เหมยทนความเจ็บตามตัวจากการที่โดนตงฟางเหอลงโทษ เธอกัดฟันแน่นและพยายามไม่ส่งเสียงออกมา
“นังคนชั้นต่ำ !”
“ตายไปซะ ! ไอ้ห่านั่นด้วย !”
“ตงฟางเหอ! เธอรับปากฉันแล้วไม่ใช่เหรอ ? ไหนว่าเธอกับฉันจะร่วมมือกันเพื่อยึดเมืองนี้เป็นของเราไง !”
“อ๊ะ....” หลี่เหมยมองไปที่แผ่นหลังของตงฟางเหอพร้อมเลือดที่ไหลออกมาจากมุมปาก ทว่าเธอก็ยังทนความเจ็บเอาไว้ สายตาของเธอสะท้อนความแค้นเคืองและอาฆาตออกมา
“มู่หรงเสวี่ยเหิน ! มู่หรงเสวี่ยเหิน ! เป็นความผิดของเธอ ! ฉันต้องฆ่าเธอทิ้ง สุดท้ายพี่เหอจะได้มาเป็นของฉัน !”
“หลินลั่วนั่นด้วย ! แกกล้ามาแย่งแชมป์ของพี่เหอ ฉันจะฆ่าแก !”
“ออกมาแล้ว !”
“เขาออกมาแล้ว !”
ในมุมของลาน เฉินผิงอันค่อย ๆ ดมกลิ่นตามแขนขาเพื่อยืนยันว่าตัวเขาไม่ได้มีกลิ่นเหม็นติดตัวอีก ทว่าสายตาของเขาก็ยังจับจ้องไปที่หอฝึกฝนไม่ละสายตา
“ห้าวจ้าว มีอีกอย่างที่น่าสนุก”
“อะไร ?” ห้าวจ้าวที่อยู่ข้างๆถามขึ้นมา
“จนถึงตอนนี้เราเคยเห็นแต่รูปหลินลั่ว เราไม่รู้เลยว่าหน้าตาเขาจริง ๆ เป็นแบบไหน !”
ห้าวจ้าวยิ้มออกมา “ฮี่ฮี่ ดูจากรูปก็ดูหล่อดีนะ หล่อกว่านาย !”
เฉินผิงอันฮึดฮัดออกมา “หล่อแล้วจะไปมีประโยชน์อะไร ? เขาใช้หมอกพิษมาตั้งหลายชั้น ดาบฉันน่ะกำลังหาที่ลับคมอยู่พอดี ฉันอยากเห็นว่าเขามีความสามารถจริง ๆ รึแค่ฉวยโอกาสได้เก่ง ? !”
“ออกมาแล้ว...”
ในห้องหนึ่ง หยางเฉินหลี่เก็บเครื่องมือทำนายที่โต๊ะมองไปทางหอฝึกฝน
ข้าง ๆ เขามีคนอีกสองคนยืนขนาบข้างอยู่
“ฉันให้ตำแหน่งกับพวกนายไปแล้ว รีบไป”
ชายร่างสูงพูดขึ้นมา “ฮี่ฮี่ น้องหยาง นายอายุเท่าไหร่แล้ว ถ้าขืนนายยังทำหน้าตาถมึงทึงแบบนี้ นายหาแฟนไม่ได้แน่ !”
“นายอยากอยู่คนเดียวไปตลอดรึไง ?”
“ฉันบอกแล้วไง เราจะเป็นเพื่อนร่วมมหา’ลัยเดียวกันในอนาคต นายอยากให้ฉันแนะนำสาว ๆ ให้มั้ย”
“ไม่ ไม่ต้องเลย !” หยางเฉินหลี่ยังหน้านิ่งดังเดิม อยู่ ๆ เขาก็คิ้วขมวด “พวกนายจะไปจัดการกับปัญหานี้รึเปล่า ?”
“ไม่จำเป็นหรอก” ชายคนหนึ่งโน้มตัวพิงเก้าอี้และพูดขึ้น “มีภารกิจใหม่มา เราสองคนไม่ต้องไปยุ่งกับเรื่องพวกนั้นแล้ว เราแค่ต้องไปจับตาดูหลินลั่วนั่น...”
ตอนที่พูดนั้นเขาก็ชี้ไปที่หอฝึกฝน
“หลินลั่ว....” หยางเฉินหลี่กระจ่างขึ้นมาทันที “ดูเหมือนว่าฉันคงต้องหามหา’ลัยใหม่แล้ว...”
“ออกมาแล้ว !” เหลียนฉิงเอ๋อมองไปที่เหลียนอี้หนิงพร้อมกับวิ่งไปที่หอฝึกฝนด้วยสายตาคาดหวัง
“ถ้าตอนนั้นฉันใจกล้าเหมือนหนิงเอ๋อก็คงดี”
“...”
ด้านบนหอฝึกฝน อยู่ ๆ ก็มีคลื่นแผ่กระจายออกมา
คนบนเวทีพากันหันกลับไปมอง
“ออกมาแล้ว !”
แสงสีขาวจาง ๆ ค่อย ๆ ร่วงลงมาจากด้านบนตัวหอฝึกฝนลงมาที่ใจกลางลาน มีร่างที่สูงโปร่งปรากฏขึ้นมาตอนที่แสงสลายไป
เด็กหนุ่มในชุดขาวถือคทาแดง มันเหมือนมีแสงสีแดงเลือดส่องประกายออกมาจากด้านหลังเขาด้วย
หลินลั่วได้ออกมาจากหอฝึกฝนแล้ว
“นั่นหลินลั่ว !”
“เด็กนี่เป็นนักบวชระดับ D !”
“หล่อจริง ๆ !”
“ไอ้หนู ฉันขอท้าสู้กับนาย !”
“หลินลั่ว ! ฉันไปถึงชั้น 22 แล้วแท้ ๆ แต่กลับต้องโดนแกบีบออกมา....”
“ไอ้ห่านี่...”
เสียงโวยวายดังขึ้น ก่อนที่หลินลั่วจะได้ตั้งตัว มันก็มีร่างเล็ก ๆ วิ่งเข้ามาโผกอดเขา
เขารู้สึกถึงความนุ่มและชื้นที่แก้ม
เขา....กลับโดนขโมยจูบงั้นเหรอ ?
เมื่อลืมตาขึ้นมองก็พบกับเหลียนอี้หนิงที่หน้าแดง เธอพยายามก้มหน้าและปิดตา
“...”
“บัดซบ ! เทพธิดาเหลียน !”
“ลูกสาวคนเล็กของตระกูลเหลียน !”
“เบื้องหลังหลินลั่วมีตระกูลเหลียนคอยหนุนหลัง !”
“ไม่แปลกใจเลย.....”