บทที่ 64 คุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตา
จินหมินใช้น้ำเสียงแข็งกร้าวกล่าวว่า “หากเขาอยู่ในขั้นหลอมกายาขั้นสุดยอด แต่ก็ยังแพ้อยู่เล่า…”
วาจาของจินหมินยังกล่าวไม่ทันจบ
ในเวลาเดียวกันนี้
“ข้ายังไม่แพ้!”
เสียงคำรามที่ยังไม่ยอมรับต่อชะตาตนก็แผดกังวานดังไปทั่วหอคอยสูง
เมื่อทุกคนหันมองมายังต้นเสียง ดวงตาของพวกเขาก็เบิกกว้างด้วยความตกตะลึงทันที
ในพื้นที่เปิดโล่งตรงกลาง หลินอวิ๋นซึ่งแขนหักไปข้างด้วยหมัดจากหลัวเฉิง กลับผงาดลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
ใต้ผิวหนังของหลินอวิ๋นก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนออกมาทั่วทั้งสรรพางค์กายเขาขณะนี้
ไม่ช้า ดวงตาเขาก็เต็มไปด้วยเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงจนเป็นสีแดงฉาน กลิ่นอายของเขาผิดไปจากมนุษย์ธรรมดา ดั่งสัตว์กระหายเลือดที่กำลังบ้าคลั่งมิมีผิด!
“ปราณแท้แปรปรวน นี่คือสภาวะขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์!”
“หลินอวิ๋นได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์แล้ว!”
“ไม่สิ ความแปรปรวนของลมปราณหลินอวิ๋นนั้นไม่เป็นระเบียบ เหมือนดั่งว่าเขาไม่ได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ด้วยกำลังของตนเอง แต่เขาใช้อะไรบางอย่างบังคับให้ตนทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์มากกว่า!”
บนหอคอยสูงนั้นมีผู้คนจำนวนมากที่แววตาไม่ธรรมดา ทันทีที่พวกเขาได้สัมผัสถึงลมปราณที่เดินไม่เป็นระเบียบ ก็มองถึงความผิดปกตินี้ออกอย่างรวดเร็ว
“โอสถสลายโลหิต!”
เมื่อรู้ว่าเป็นผลของโอสถชนิดใด อวิ๋นเหมิงลี่ก็เพ่งมองจินหมินด้วยแววตาจับผิด
จินหมินยังคงทำสีหน้าเรียบเฉยดั่งไม่ใช่ฝีมือเขา แต่ก็รู้สึกภูมิใจในความเฉลียวฉลาดของตน ที่ได้วางแผนสำรองเอาไว้ล่วงหน้า
แม้นเจ้าจะอยู่ในขั้นหลอมกายาขั้นสุดยอดแล้วอย่างไร เจ้าก็ยังคงพ่ายแพ้อยู่วันยังค่ำ!
ในพื้นที่เปิดโล่ง หลินชางหลางจ้องยังหลินอวิ๋นด้วยสีหน้าประหลาดใจยิ่ง “หลินอวิ๋น เจ้า...เจ้าทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์แล้วงั้นรึ!”
หลินอวิ๋นพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจ้องเขม็งยังหลัวเฉิง ด้วยดวงตาที่เชือดเฉือนคมราวกับใบมีด
“หลัวเฉิง คุกเข่าลงอ้อนวอนขอความเมตตา ข้าอาจจะใจดีตัดเพียงมือและเท้าของเจ้าออกเท่านั้น แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป!”
“เจ้าต่างหากที่ต้องคุกเข่าขอความเมตตา หากอยากตัดมือเท้าข้า ก็ต้องดูว่าเจ้ามีความสามารถนั้นหรือไม่!” หลัวเฉิงเหยียดยิ้มเยือกเย็น
การที่หลินอวิ๋นสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์นั้นช่างคาดไม่ถึง แต่นั่นมันกลับทำให้หลัวเฉิงเดือดพล่านด้วยความรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก
ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ เขาไม่ได้เอาจริงกับหลินอวิ๋นแม้แต่น้อย ครั้นเห็นเช่นนี้แล้วเขาก็เริ่มสนใจขึ้นมาทันที
“บ้าไปแล้ว! หลัวเฉิงยังคิดสู้อยู่อีกงั้นรึ!”
เมื่อได้ยินวาจาของหลัวเฉิง บางคนถึงกับอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา
ผู้คนส่วนใหญ่ต่างแสดงสีหน้าประหลาดใจ ก่อนส่ายศีรษะ พวกเขาเพียงคิดว่าหลัวเฉิงนั้นช่างอวดดีและประมาทคู่ต่อสู้เกินไป ความเย่อหยิ่งนั้นบดบังสายตาเขาจนไม่อาจเห็นสถานการณ์ที่แท้จริงได้ ว่าตนนั้นต้องเผชิญกับสิ่งใด
ริมฝีปากสีแดงสดของลั่วเหยาโค้งปรากฏรอยยิ้มอันงดงาม
“ช่างน่าสนใจนัก นี่จะเป็นความโง่เขลาจริงๆ หรือมีสิ่งอื่นแอบแฝงกันแน่นะ...”
ไม่ไกลนัก จินหมินเหยียดยิ้มกล่าวเย้ยหยันว่า “เจ้าคนเขาไม่รู้จักความตาย คิดว่าตนได้อยู่ในขั้นหลอมกายาขั้นสุดยอดแล้ว จะอยู่ยงคงกระพันกระนั้นหรือ”
หลัวหงและผู้คนจากตระกูลหลัว บัดนี้ล้วนมีใบหน้าเคร่งขรึมยิ่งนัก
เป็นเรื่องจริงที่ขั้นหลอมกายาขั้นสุดยอดนั้น ไร้เทียมทานในขั้นหลอมกายาด้วยกัน แต่ตอนนี้ หลัวเฉิงต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์
“เฉิงเอ๋อร์…”
ในพื้นที่เปิดโล่ง หลัวหมิงซานต้องการเกลี้ยกล่อมให้หลัวเฉิงยอมแพ้เพื่อรักษาชีวิต เขายอมทำทุกอย่างแม้กระทั่งสูญเสียเมืองหนานเฉิงฟาง
หลินชางหลางขัดจังหวะแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มภาคภูมิ
“หลัวหมิงซาน เจ้าบอกเองมิใช่หรือว่าอย่าเข้าไปแทรกแซงการต่อสู้ของผู้เยาว์ ซึ่งการต่อสู้ครั้งนี้ยังไม่ปรากฏผลแพ้ชนะ ดังนั้นเจ้าอย่าได้เข้าไปแส่”
เมื่อได้ฟังวาจาเช่นนั้น ใบหน้าของหลัวหมิงซานก็บิดเบี้ยวไปด้วยความน่าเกลียด
หลัวเฉิงกล่าวว่า “ท่านปู่ไม่ต้องกังวล ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้า ข้ารู้สถานการณ์ในตอนนี้ดี”
เมื่อเห็นหลัวเฉิงกล่าวยืนยันอย่างแน่นหนัก หลัวหมิงซานก็แสดงรอยยิ้มข่มขืนพลางกล่าวว่า “ปู่เชื่อเจ้า แต่อย่าได้ประมาทในการต่อสู้ เพราะเจ้าคือบุคคลสำคัญของตระกูลหลัวเรา!”
หลังกล่าวเช่นนั้น หลินชางหลางและหลัวหมิงซานก็เดินออกไปทันที
ในพื้นที่เปิดโล่งตอนนี้ เหลือเพียงหลัวเฉิงและหลินอวิ๋นเท่านั้น
“เจ้าทิ้งโอกาสเดียวที่จะมีชีวิตรอด ตอนนี้มันก็สายเกินไปแล้วที่เจ้าจะเสียใจ!”
หลินอวิ๋นจ้องยังหลัวเฉิงด้วยดวงตาสีแดงฉานปานโลหิต ประกายแสงในดวงตานั้นดุร้ายยิ่ง ไม่ช้าเขาก็ปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ออกมาทันใด
โฮก!
พยัคฆ์หางแมงป่องขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นเบื้องหลังของเขา ทำให้กลิ่นอายของหลินอวิ๋นคล้ายดั่งมารร้ายมิมีผิด
“มาเริ่มกันเถอะ ข้าก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่า พลังของข้าในตอนนี้สามารถสู้กับผู้ฝึกยุทธในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ได้หรือไม่!” หลัวเฉิงคำรามเสียงต่ำในลำคอ