บทที่ 63 สภาวะทะลวงขีดจำกัด
วืด!
หลินชางหลางเป็นผู้แข็งแกร่งในขั้นเขตแดนลึกลับระดับสาม ทันทีที่เขาไหวกาย ทั่วทั้งหอคอยสูงก็เต็มไปด้วยลมที่พัดแรง
ปราณฝ่ามือสีฟ้าขนาดใหญ่ทะยานเข้าหาหลัวเฉิงด้วยความรุนแรงไร้ปรานี ลมโหมพัดสะบัดพานให้หลัวเฉิงถึงกับถอยหลังไปสองก้าว!
ท่ามกลางช่วงเวลาแห่งความเป็นตาย จู่ๆ ก็มีร่างหนึ่งทะยานปราดเข้ามาปรากฏ ยืนตัวเหยียดตรงผงาดอยู่เบื้องหน้าหลัวเฉิงขณะนี้ นั่นคือหลัวหมิงซาน
โฮก!
พยัคฆ์ขนาดใหญ่เปล่งประกายสีสันสดใสพลันปรากฏขึ้นเบื้องหลังหลัวหมิงซาน เขาชกออกไปด้วยหมัดเดียว ก็สามารถทำลายปราณฝ่ามือสีฟ้าได้อย่างง่ายดาย
“หลินชางหลาง อย่ารังแกคนอื่นให้มันมากนัก เจ้าคิดว่าไม่มีผู้ใดในตระกูลหลัวข้าสามารถรับมือกับเจ้าได้หรืออย่างไรกัน”
หลินชางหลางผงะถอยสองสามก้าว ขณะดวงตามองยังหลัวหมิงซานด้วยความตกใจ “ขั้นเขตแดนลึกลับระดับสามขั้นปลาย! มิใช่ว่าเจ้าบาดเจ็บจากชายผู้แข็งแกร่งของตระกูลจีกระนั้นหรือ”
หาใช่เรื่องแปลกที่หลินชางหลางจะตกตะลึงถึงเพียงนี้ ก่อนหน้าเขาได้ยินว่าหลัวหมิงซานได้รับบาดเจ็บสาหัสจากคนของตระกูลจีจนระดับพลังยุทธ์บั่นทอน ดังนั้นเขาจึงอาศัยโอกาสนี้ร่วมมือกับตระกูลฉีเพื่อจัดงานชุมนุมล่าสัตว์ขึ้น หมายถอนรากถอนโคนตระกูลหลัวให้สิ้น
ทว่าสิ่งที่เขาเห็นในตอนนี้ หลัวหมิงซานไม่เพียงแต่ไม่บาดเจ็บเท่านั้น แต่พลังลมปราณในร่างยังแข็งแกร่งขึ้น ทั้งพลังยุทธ์ยังทะลวงไปจนถึงขั้นเขตแดนลึกลับระดับสามขั้นปลายอีกต่างหาก!
หลัวหมิงซานตวาดเสียงเย็นชา “นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะเข้ามาแส่ ผู้คนมากมายล้วนเห็นว่าเจ้าเข้ามาแทรกแซงการต่อสู้ระหว่างผู้เยาว์ทั้งนั้น เจ้าเป็นถึงผู้นำตระกูลหลิน ไยจึงทำตัวไร้ยางอายถึงเพียงนี้”
“เจ้า!”
หลินชางหลางเกือบไม่อาจควบคุมสติอารมณ์ได้ เขาแผดเสียงคำรามลั่น
“หลินอวิ๋นอยู่ในระดับที่เก้าของขั้นหลอมกายา ทั้งยังฝึกฝ่ามือแยกคลื่นระดับสามดาวจนถึงขั้นฉลาดล้ำเลิศ หากหลัวเฉิงไม่ทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ ไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ สำมะหาอะไรกับหมัดเดียว!”
หลัวหมิงซานมองหลินชางหลางด้วยแววตาเรียบเฉย แล้วกล่าวด้วยท่าทีสงบ
“ดังทุกคนล้วนทราบกันดี ว่าผู้ที่มาถึงขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์นั้น จะมีปราณแท้อัดแน่นอยู่ในร่างจำนวนมาก เมื่อใดก็ตามที่เขาต่อสู้กับผู้อื่น ย่อมสัมผัสได้ถึงความผันผวนของมันเป็นแน่ แล้วเจ้าสัมผัสถึงพลังนั้นของหลัวเฉิงหรือไม่”
“นี่……”
หลินชางหลางพลันผงะด้วยวาจาที่ไม่อาจโต้เถียงได้ ก่อนตะคอกด้วยสุ้มเสียงเปี่ยมด้วยโทสะ “แล้วความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้มันคืออะไร!”
หลัวหมิงซานกล่าวด้วยสีหน้าเหยียดหยาม “เจ้าเป็นผู้แข็งแกร่งในขั้นเขตแดนลึกลับ ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับขั้นหลอมกายาขั้นสุดยอดหรืออย่างไร”
“ขั้นสุดยอด!”
ทันทีที่วาจานี้ถูกเปล่งออกมา ทั่วทั้งหอคอยสูงก็ตกอยู่ในความโกลาหลทันที
ขณะนี้ทุกสายตาล้วนจับจ้องยังร่างหลัวเฉิงด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
หลินชางหลางตะลึงลานไปครู่ ก่อนแผดเสียงคำรามอีกครั้ง “เป็นไปไม่ได้! หลินอวิ๋นปลุกวิญญาณยุทธ์ระดับหกดาวขึ้นมา และทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับเก้าเมื่อหกเดือนก่อน ความสามารถล้วนโดดเด่นกว่าผู้ใด เขายังมิอาจเอื้อมถึงขั้นสุดยอดได้ แต่ไฉนขยะของตระกูลหลัวกลับสามารถทำได้เล่า”
ไม่เพียงแต่หลินชางหลางเท่านั้นที่ไม่อาจเชื่อได้ กระทั่งผู้คนส่วนใหญ่ก็ไม่อาจเชื่อเรื่องไร้สาระนี้ได้เช่นกัน
ขั้นสุดยอดคืออะไรงั้นหรือ?
มันคือสภาวะทะลวงขีดจำกัด!
ผู้ที่สามารถทะลวงขีดจำกัดสุดท้ายของระดับพลังยุทธ์ได้ เขาจะถือเป็นอัจฉริยะผู้เปี่ยมไปด้วยความสามารถสูงสุด เรียกได้ว่าโอกาสที่จะพบเห็นคือหนึ่งในล้านก็ไม่ผิดแต่อย่างใด
แต่ทว่า หลัวเฉิงเป็นเพียงคนไร้ค่าที่ปลุกวิญญาณยุทธ์ขยะขึ้นมาเท่านั้น!
เป็นไปได้อย่างไรที่จะสามารถทะลายขีดจำกัดไปจนถึงขั้นสุดยอดได้!
“ทุกท่าน โปรดใจเย็นลงก่อน”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังก้องไปทั่วทั้งหอคอยสูง นั่นเป็นเสียงของท่านเจ้าเมืองอวิ๋นเต้าเจียง เขายืนคลื่นแล้วเปล่งวาจากับหลินชางหลาง “ผู้นำตระกูลหลิน หลัวเฉิงได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นสุดยอดของขั้นหลอมกายาแล้ว เรื่องนี้ข้ารับประกันได้”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าของหลินชางหลางก็ซีดเผือดไร้เลือดประหนึ่งกระดาษ
ไม่ช้า ทั่วทั้งหอคอยสูงก็ระเบิดเสียงโห่ร้องกึกก้อง
“เขาทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาขั้นสุดยอดแล้วงั้นรึ!”
“แต่ท่านเจ้าเมืองอวิ๋นเป็นผู้ยืนยันเรื่องนี้ด้วยตนเอง มันไม่มีทางผิดพลาดอย่างแน่นอน!”
“แต่หลัวเฉิงเป็นเพียงคนไร้ค่ามิใช่หรือ ไฉนกลับมีความสามารถมากถึงเพียงนี้ ใหญ่จึงสามารถทะลวงไปจนถึงขั้นสุดยอดได้”
“มันคงเป็นโอสถวิญญาณของตระกูลจีแน่นอน ไม่คิดเลยว่าโอสถวิญญาณของตระกูลจีจะมีพลังน่ากลัวถึงปานนี้ สามารถทำให้คนไร้ค่าผู้หนึ่งทะลวงเข้าสู่ขั้นสุดยอดได้เช่นนี้!”
ผู้คนที่ได้ทราบเช่นนั้นก็ต่างสูดหายใจเข้าลึกๆ ในแววตาพลันปรากฏความริษยายิ่ง
พวกเขาล้วนรู้ดีว่า หลัวเฉิงปลุกวิญญาณยุทธ์ที่ไม่ถือกำเนิด จนกลายเป็นบุคคลไร้ค่าอันดับหนึ่งของเมืองฉีซาน!
แต่ตอนนี้ พวกเขาถูกคนไร้ค่านั่นก้าวข้ามไปแล้ว จะไม่ให้พวกเขาแสดงความริษยาได้อย่างไร
“ขั้นหลอมกายาขั้นสุดยอด นี่เรื่องจริงงั้นหรือ เหมิงลี่เจ้าทราบเรื่องนี้มาก่อนแล้วใช่หรือไม่”
ดวงตาของจินหมิเปลี่ยนเป็นเย็นชา ขณะทอดสายตามองย้อนไปยังอวิ๋นเหมิงหลี่
อวิ๋นเหมิงลี่ที่เห็นแววตานั้นนางก็ยังสงบเปรียบประหนึ่งผิวน้ำ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าเตือนเจ้าก่อนหน้านี้แล้ว”