ตอนที่แล้วบทที่ 57 การทำเครื่องมือวิเศษ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 59 ชาผลไม้แรกของฤดูใบไม้ผลิ

บทที่ 58 กระบี่เวทมนตร์


ชูเหลียงมองเหวินหยู่หลงด้วยสีหน้าจริงจัง "..ท่านว่าอย่างไรนะ"

เหวินหยู่หลงมองย้อนกลับไปที่ชูเหลียงด้วยสีหน้าตึงเครียดและเหงื่อออกเต็มหน้า

บรรยากาศในห้องเหมือนถูกแช่แข็งไป

เหวินหยู่หลงพูดตะกุกตะกัก "ศิษย์พี่ ข้ารับรองได้เลยว่ามันเป็นเพราะเป้าหมายของข้าคือการเพิ่มพลังของเครื่องมือให้สูงสุด ผลลัพธ์ที่ข้าสามารถสร้างได้จะแข็งแกร่งกว่าของผู้อื่นอย่างแน่นอน ดังนั้น ความเสี่ยงย่อมต้องสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงมิได้.. แต่หากท่านชอบทางเลือกที่ปลอดภัย ท่านสามารถเลือกคนอื่น.."

"เจ็ดสิบเหรียญกระบี่ นั่นคือข้อตกลงที่ข้าพอจะรับความเสี่ยงได้" ชูเหลียงพูดแทรก

การต่อรองในหออาวุธนี้จะเอื้ออำนวยให้ศิษย์ที่ต้องเสี่ยงสูญเสียในการทำเครื่องมือ และยังเปิดโอกาสให้ศิษย์ที่มีความสามารถด้านการทำเครื่องมือได้รับประสบการณ์

สำหรับคนอายุน้อยอย่างเหวินหยู่หลงที่มีประวัติความล้มเหลวมามาก การได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้าแปลว่าเขาจะได้คะแนนสำหรับการประเมินจากอาจารย์อาวุธ

แก่นชีวิตใบไม้สีเขียวนี้เป็นวัสดุที่มีคุณค่ามาก อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่ได้มีความสำคัญมากนักสำหรับชูเหลียง เขาจึงไม่ติดใจที่จะนำมันไปเสี่ยง

แต่กระนั้นค่าบริการก็ต้องลดลง

ชูเหลียงทราบว่าค่าทำเครื่องมือส่วนหนึ่งจะเข้าสู่หออาวุธ ซึ่งส่วนนี้ต่อรองไม่ได้ ส่วนค่าใช้จ่ายที่เหลือก็จะแบ่งให้ศิษย์ ซึ่งส่วนนี้นั้นตกลงกันได้

ดังนั้น ชูเหลียงจึงขอลดค่าใช้จ่ายเล็กน้อย หากเครื่องมือเวทมนตร์สามารถสร้างได้สำเร็จ ชูเหลียงต้องจ่ายเพียงเหรียญกระบี่เจ็ดสิบเหรียญ ถ้าล้มเหลวเขาก็ยังสามารถรับมันคืนได้ ดังนั้น ความเสี่ยงนี้จึงค่อนข้างยอมรับได้

เหวินหยู่หลงไม่ได้ปิดบังอารมณ์ของตัวเอง เขาน้ำตาคลอทันที

"ศิษย์พี่ หลังจากตัดส่วนแบ่งให้พออาวุธแล้วมันจะเหลือให้ข้าเพียงสามสิบเหรียญเท่านั้นเอง.."

ชูเหลียงมิได้พูดอะไรสักคํา แค่เพียงแค่มองเหวินหยู่หลงอย่างเงียบๆ

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เหวินหยู่หลงก็พยักหน้า "ก็ได้ขอรับ ข้ายอมรับคําขอนี้ โปรดมั่นใจได้ว่าข้าจะพยายามเต็มที่อย่างแน่นอน"

เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้รับการร้องขอใดๆ มานานแล้ว ดังนั้นเขาจึงรู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้มีโอกาสทําบางสิ่งบางอย่าง

ชูเหลียงพยักหน้าเบาๆ "เช่นนั้นข้าขอฝากท่านด้วย ท่านเหวิน"

ชูเหลียงทิ้งแก่นชีวิตใบไม้สีเขียวและค่าบริการ จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินจากไป

แม้ว่าค่าใช้จ่ายจะลดลงเล็กน้อย แต่ยอดสุดท้ายก็ทำให้เงินเก็บของเขาเกือบจะหมดเลยทีเดียว นอกจากนี้ ยาพลังชี่ของหุ่นกระบอกหัวโตของเขาก็ใกล้จะหมดแล้ว ความรู้สึกเร่งรีบในการหาเงินก็กดทับเขาอย่างกะทันหัน

เห้อ.. เขาถอนหายใจ

ชูเหลียงเดินออกจากหออาวุธ

แม้แต่วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถพลิกฟ้าคว่ำได้ ก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นจากความหิวโหย ความหนาวเย็น และความยากจนได้ มีเงินสร้างคน ไม่มีเงินก็ใช้ชีวิตได้ลำบาก

และเมื่อกลับไปที่ยอดเขาหยูเจี้ยน ชูเหลียงเห็นนกกระเรียนกระดาษเล็กๆ ตัวหนึ่งอยู่บนโต๊ะ ชูเหลียงตรวจสอบดูและพบว่าเป็นการตอบกลับของเจียงเยว่ไป๋

มันมีคำง่าย ๆ เพียงไม่กี่คำเท่านั้น: วันนี้หลังจากดวงอาทิตย์ขึ้น ที่เดิม

...

"ศิษย์พี่เจียง มิได้เจอกันนานนะขอรับ"

ชูเหลียงได้พบกับเจียงเสี่ยวไป๋อีกครั้งที่ถ้ำน้ำตกบนยอดเขาเจดีย์ขุมทรัพย์

เจียงเสี่ยวไป๋สวมชุดคลุมแขนกว้างที่เรียบง่ายและมัดผมเป็นมวยเผยให้เห็นขอที่ขาวเหมือนปุยเมฆ เธอยังคงสวยน่าทึ่งเหมือนเช่นเดิม

เมื่อเทียบกับการพบกันสองครั้งก่อนหน้านี้ ตอนนี้เจี่ยงเสี่ยวไป๋ดูผ่อนคลายมากขึ้นต่อหน้าชูเหลียง

“ท่านคุณอยากเรียนทักษะศักดิ์สิทธิ์จริงๆ หรือ” เจียงเสี่ยวไป๋เอ่ยถาม

"ขอรับ ทั้งหมดนี้ก็เพราะว่ามันเป็นหน้าที่ของเรา หน้าที่ศิษย์แห่งฉูซานที่ต้องก้าวหน้าตลอดเวลามิใช่หรือขอรับ" ชูเหลียงตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย

"เอาล่ะๆ " เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นเล็กน้อย "วันนี้ข้าจะสอนอะไรบางอย่างที่ท้าทายมากขึ้น เตรียมตัวให้พร้อมเล่า"

ชูเหลียงพยักหน้า “ขอรับ”

เจียงเสี่ยวไป๋นั้นได้เกิดของความสงสัยในตัวเองหลังจากได้สอนรอยประทับร้อยกระบี่ให้กับชูเหลียงในครั้งที่แล้ว

เธอรู้ว่าความสามารถของชูเหลียงนั้นดีทีเดียว เธอเคยได้พบปะกับศิษย์ที่เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะแห่งฉูซานมาพอสมควร อย่างไรก็ตาม ความสามารถของชูเหลียงนั้นโดดเด่นเกินไป ซึ่งมันทําให้เกิดความสงสัยบางอย่างในใจของเธอ

ก่อนหน้านี้ เจียงเยว่ไป๋คิดเสมอว่าตัวเองเป็นคนที่มีความสามารถมาก แม้เธอจะมิได้กระหยิ่มยิ้มย่องกับมัน แต่มันก็ทำให้เธอมั่นใจอย่างไม่ต้องสงสัยว่าเธอจะไม่แพ้อัจฉริยะคนอื่นๆ ในยุคเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม การได้เห็นชูเหลียงใช้ความพยายามเพียงสองครั้งในการควบกระบี่ร้อยเล่มนั้น ชูเหลียงได้ฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยไว้ในใจของเจียงเยว่ไป๋ เธอใช้เวลาทั้งวันเพื่อเรียนรู้ทักษะนี้ ดังนั้นเธอจึงรู้สึกตัวเองนั้นธรรมดาไปเลยเมื่ออยู่กับเขา

สําหรับผู้ฝึกฝน ความมั่นใจในตนเองของพวกเขาเป็นปัจจัยสําคัญในการฝึกฝนของพวกเขาและแม้กระทั่งส่งผลกระทบต่อความก้าวหน้าทางเต๋าของพวกเขาด้วย

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เจียงเยว่ไป๋รู้สึกว่าหัวใจมีดของเธอไม่ควรจะสั่นคลอน เธอพยายามโน้มน้าวตัวเองว่าบางทีเหตุผลที่ชูเหลียงสามารถเรียนรู้รอยประทับร้อยกระบี่ได้อย่างราบรื่นก็เพราะเขาเรียนมันด้วยความล่าช้ากว่าเธออย่างมาก เขาอาจะได้เรียนรู้สิ่งอื่นมาก่อนจนเป็นพื้นฐานอย่างดีแล้ว

คราวนี้เธอจึงตั้งใจสอนวิชาที่ค่อนข้างยาก เพื่อทดสอบความสามารถของเขาอย่างละเอียด

"รอยกระบี่เวทมนตร์หรือ" ชูเหลียงกล่าวหลังจากฟังชื่อทักษะที่เจียงเสี่ยวไป๋จะสอนเขาด้วยความประหลาดใจ

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เพราะเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ในทางตรงกันข้าม นี่เป็นเพราะมันเป็นทักษะที่มีชื่อเสียงมาก

รอยกระบี่เวทมนตร์เป็นทักษะลับที่เป็นเอกลักษณ์ของปรมาจารย์แห่งนิกายฉูซาน

ในนิกายชูซาน นี่เป็นวิชาบังคับของศิษย์ แต่โดยทั่วไปแล้วจะมีเพียงศิษย์ในระดับการบ่มเพาะที่ห้าขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถเชี่ยวชาญทักษะนี้ได้ ส่วนศิษย์ในระดับการบ่มเพาะที่สามเช่นเขาจะไม่คิดเรียนรู้ทักษะนี้เพราะยังเร็วเกินไปสําหรับพวกเขา แม้พวกเขาจะลองพยายาม แต่พวกเขาก็จะไม่สามารถเข้าใจมันได้ด้วยซ้ำ

ศิษย์พี่เจียงประเมินข้าไว้สูงเพียงนั้นเลยหรือ

เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของชูเหลียง เจียงเสี่ยวไป๋ก็ยิ้มและถาม "เป็นอย่างไร ท่านมั่นใจหรือไม่ว่าจะเรียนรู้มันได้"

"มีศิษย์พี่เจียงเป็นอาจารย์สอนข้า ข้าย่อมมั่นใจอย่างแน่นอน" ชูเหลียงตอบ

"กระบี่เวทมนตร์นั้นกล่าวกันว่าลึกซึ้งและยากที่จะเรียนรู้ แต่มันแตกต่างจากเวทมนตร์ปกติ ท่านไม่จำเป็นต้องเข้าใจหลักการใดๆ ของกระบี่เวทย์หรือมีระดับการบ่มเพาะที่สูงมาก ดังนั้นการเรียนรู้มันในระดับของการตระหนักรู้ทางวิญญาณควรเป็นไปได้" เจียงเสี่ยวไป๋อธิบาย

เธอเสริมในใจว่า ถ้าตามทฤษฎีแล้วล่ะก็นะ..

ชูเหลียงได้แต่พยักหน้าตอบ

หลังจากนั้น ชั้นเรียนเล็กๆ ของอาจารย์เจียงก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง

ทฤษฎีคร่าวๆ ค่อนข้างเข้าใจง่าย มันประกอบด้วยการใช้กระบี่เขียนอักขระกลางอากาศ [1] เพื่อสื่อสารกับวิญญาณ ขั้นตอนต่อไปคือการใช้กระบี่บินร่ายพุ่งไปข้างหน้าด้วยพลังโดยธรรมชาติของตัวอักษร การรวมกันของชี่แห่งกระบี่และอักขระที่เขียนจะมีพลังทำลายล้างสูงมาก

ตราบเท่าที่ผู้ร่ายมีพลังมากพอ รอยกระบี่หนึ่งเล่มก็สามารถมีอักขระได้หลายตัว กลายเป็นรอยกระบี่สิบอักขระ หรือร้อยอักขระ ตามตํานานเล่าขานกันว่าฉูซานเคยมีเซียนผู้หนึ่งหนึ่งซึ่งเคยรวมอักขระและกระบี่เวทมนตร์เข้าด้วยกันและสร้างรอยกระบี่เวทมนตร์หนึ่งแสนเล่มขึ้นมาได้

กระบี่นั้กดดันทั้งฟ้าสวรรค์และผืนดิน มันมีพลังชี่ที่ข่มขวัญไปทั้งเก้ามณฑล มีพลังสูงสุดที่จะทําลายภูเขาและทะเล กระบี่เวทมนตร์ที่ฝึกฝนให้สูงถึงระดับนั้นได้มีพลังไม่น้อยไปกว่าทักษะอมตะใดๆ ในยุทธจักร

อย่างไรก็ตาม คําถามของเจียงเสี่ยวไป๋ต่อไป ทําให้ชูเหลียงสูญเสียอารมณ์ที่กระตือรือร้นทันที

"ท่านเขียนอักขระเป็นหรือไม่"

"อืม.. ไม่เลย" ชูเหลียงกล่าวและได้แต่ส่ายหัวเพื่อตอบโต้

เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่รู้จะทําอย่างไรดีของชูเหลียง เจียงเยว่ไป๋ก็แอบดีใจในใจ

เธอต้องไปถึงระดับเกนทองคำก่อนที่จะได้เรียนรอยกระบี่เวทมนตร์ นอกจากนี้ เธอยังคุ้นเคยกับขั้นตอนการเขียนอักขระ ดังนั้น เธอจึงใช้เวลาเพียงสิบสองวันในการเรียนรู้ทักษะนี้ และได้สร้างสถิติในการเรียนรู้ทักษะนี้ได้เร็วที่สุดในบรรดาศิษย์แห่งฉูซานในรุ่นของเธอ

ชูเหลียงดูเหมือนจะเป็นมือใหม่ในทุกวิถีทางและเห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเข้าใจมันได้ในสิบสองวัน.. มันยากมากที่จะเรียนรู้วิธีเขียนอักขระในเวลาสั้นๆ เช่นนี้

ดูเหมือนว่าครั้งนี้เธอจะชนะ เจียงเยว่ไป๋คิดอย่างมีความสุข

แล้วทันใดนั้นเธอก็สับสนกับความคิดของเธอ

หือ.. เหตุใดข้าจึงสนใจเรื่องนี้นัก

เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นแค่ศิษย์น้องที่อยู่ในระดับการตระหนักรู้ทางจิตวิญญาณ การเอาชนะเขาได้มันจะมีประโยชน์อันใด..

หลังจากตระหนักถึงสิ่งนี้ เจียงเยว่ไป๋เตือนตัวเองให้ใจเย็น

ชูเหลียงสังเกตเห็นอารมณ์ที่กะพริบในดวงตาของเจียงเสี่ยวไป๋ แต่แยกไม่ออกว่าเธอกําลังคิดอะไรอยู่

อย่างไรก็ตาม เขายื่นชาน้ําผึ้งหนึ่งกระบอกให้เธอ

"ศิษย์พี่เจียง ขอบคุณสำหรับคำอธิบาย นี่เป็นเครื่องดื่มที่ข้าได้มาจากเมื่อที่เชิงเขาและมันรสชาติดีมากทีเดียว"

"หืม" เจียงเสี่ยวไป๋รับชาและจิบมัน ดวงตาของเธอสว่างขึ้นทันที "สุดยอด มันอร่อยมากทีเดียว"

เมื่อเห็นสีหน้าดีใจของเจียงเสี่ยวไป๋ ชูเหลียงก็นึกถึงอาจารย์ของเขาด้วย เขารู้สึกว่าเครื่องดื่มหอมหวานนี้ดูเหมือนจะได้รับความโปรดปรานจากผู้หญิงมาก

ทันใดนั้นหลอดไฟดวงหนึ่งก็สว่างขึ้นในใจของเขา

"อาจารย์เจียง หากท่านชอบ ต่อไปข้าจะนําเครื่องดื่มนี้มาให้ท่านบ่อยๆ แต่..." ชูเหลียงกล่าว "ท่านช่วยอะไรข้าหน่อยได้หรือไม่"

1.อักขระ หมายถึงตัวอักษรจีน พวกเขามักจะเป็นคำที่แยกต่างหากหรือจับคู่กับตัวอักษรอย่างน้อยหนึ่งตัวเพื่อสร้างความหมายที่แตกต่างกัน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด