บทที่ 61 ความฝันที่เป็นจริง
ผู้คนโดยรอบบนหอคอยสูง ต่างไม่มีใครสังเกตเห็นพฤติกรรมของจินหมินและหลินอวิ๋น
เนื่องจากในขณะนี้ ความสนใจของฝูงชนทั้งหมดถูกดึงดูดโดยสิ่งอื่น
นั่นคือ ศาลาหลิงอวิ๋นที่จัดเดิมพันเกี่ยวกับการต่อสู้ในครั้งนี้
หลัวเฉิงแพ้ จ่ายหนึ่งในสามส่วน (หากพนันว่าหลัวเฉิงแพ้หนึ่งพันตำลึง แล้วผลที่ออกมาคือหลัวเฉิงแพ้จริงๆ ทางศาลาจะจ่ายเพียง สามร้อยสามสิบตำลึง)
หลินอวิ๋นแพ้ จ่ายสิบสามในสิบส่วน! (หากพนันว่าหลินอวิ๋นแพ้หนึ่งพันตำลึง แล้วผลที่ออกมาคือหลินอวิ๋นแพ้จริงๆ ทางศาลาจะจ่ายมากถึง หนึ่งพันสามร้อยตำลึง)
เมื่อเห็นราคาของอัตราต่อรองการเดิมพัน เหล่าผู้คนก็ต่างแสดงสีหน้าประหลาดใจยิ่ง
นั่นเพราะ หลินอวิ๋นมีอัตราต่อรองว่าจะชนะสูงถึงสิบสามในสิบส่วน
ในสายตาของคนส่วนใหญ่ ผลลัพธ์ในการประมือครั้งนี้เราถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ว่าหลัวเฉิงไม่มีโอกาสชนะ แม้นหลินอวิ๋นจะมีอัตราต่อรองสิบเอ็ดในสิบส่วนก็ย่อมเป็นเรื่องปกติ แต่นี่กลับมากถึงสิบสามในสิบส่วน
ทันใดนั้น ทุกคนก็เริ่มกระตือรือร้นและวางเดิมพันทีละคน เกือบทั้งหมดเดิมพันว่าหลินอวิ๋นจะเป็นฝ่ายชนะ แม้นจะได้เพียงหนึ่งในสามส่วนก็ตาม
อย่างไรเสีย นี่ก็เป็นโอกาสที่พวกเขาจะได้รับเงินโดยไม่ต้องลงแรง!
สำหรับผู้ที่เดิมพันหลัวเฉิงชนะ มีเพียงไม่กี่คนจากตระกูลหลัวเท่านั้น ซึ่งคนส่วนใหญ่แทบไม่มีใครสนใจเดิมพันว่าหลัวเฉิงจะเป็นฝ่ายชนะเลย เว้นเสียแต่คนผู้นี้ อวิ๋นเหมิงลี่!
“หลัวเฉิงชนะ หนึ่งล้านตำลึง”
ขณะกล่าวเช่นนั้น อวิ๋นเหมิงลี่ก็มอบบัตรทองล้านตำลึงให้กับเถ้าแก่ซูโดยตรง
“ท่านคิดว่าหลัวเฉิงจะเป็นผู้ชนะงั้นหรือ?”
ลั่วเหยามองยังอวิ๋นเหมิงลี่ด้วยดวงตาสดใส หากมองจากระยะไกล ก็ราวกับความงามดั่งเพลิงอันร้อนระอุ กำลังประจันหน้าอยู่กับ ความงามดั่งน้ำแข็งอันเย็นเฉียบ โดยไม่มีความงดงามใดด้อยกว่าแม้แต่น้อย ช่างเป็นภาพที่หาดูชมได้ยากยิ่งนัก
ลั่วเหยาเคยได้ยินเรื่องของอวิ๋นเหมิงลี่มาบ้าง นางได้ปลุกวิญญาณยุทธ์ระดับสิบดาวขึ้นมา และเป็นอัจฉริยะผู้โดดเด่นของสำนักซวนหยวน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในดินแดนรกร้างตะวันออก!
อวิ๋นเหมิงลี่พยักหน้าเล็กน้อย
จินหมินกลับมาถึงพอดีแล้วบังเอิญเห็นฉากนี้ พานให้หางตาของเขากระตุกก่อนเอ่ยถามอวิ๋นเหมิงลี่ทันที
“เหมิงลี่ เจ้าเริ่มสนใจเรื่องแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
อวิ๋นเหมิงลี่เปล่าเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่เย็นดั่งน้ำแข็ง “มันเป็นแค่ความสนใจชั่วคราวเท่านั้น”
จินหมินระงับโทสะในใจแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้างั้นข้าก็ขอร่วมสนุกด้วยเช่นกัน สิบล้านตำลึง หลินอวิ๋นชนะ!”
สิบล้านตำลึง!
ทันทีที่วาจานี้ถูกพ่นออกมา ผู้คนโดยรอบก็ล้วนผงะด้วยความตกตะลึง
นี่เป็นราคาเดิมพันที่สูงมาก!
เถ้าแก่ซูเอียงศีรษะมองยังลั่วเหยา
ดวงตาใสดุจน้ำของลั่วเหยา โค้งเล็กน้อยแสดงรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์แล้วกล่าวว่า “เนื่องจากองค์ชายแปดต้องการร่วมสนุก แน่นอนว่าทางเราคงไม่อาจเสียมารยาททำลายความสนุกของท่านได้ เช่นนั้นศาลาหลิงอวิ๋นก็ขอยอมรับเดิมพันของท่านแล้ว”
จินหมินไม่มีเงินติดตัวมากนัก จึงได้เขียนข้อความบนกระดาษเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วยื่นให้เถ้าแก่ซูแทน
อวิ๋นเหมิงลี่เหลือบมองจินหมิน แล้วกล่าวว่า “สิบล้านตำลึงสำหรับเจ้ามันมิใช่เงินเพียงเล็กน้อย ข้าขอแนะนำให้เจ้านำกระดาษแผ่นนั้นกลับมาจะดีกว่า”
จินหมินมองยังหลินอวิ๋นที่ยืนอยู่ในพื้นที่โล่ง แล้วกล่าวด้วยความมั่นใจ “หลินอวิ๋นจะชนะการต่อสู้ครั้งนี้อย่างแน่นอน!”
ลั่วเหยาหัวร่อคิกคักพลางกล่าวว่า “ขอให้พวกท่านทั้งคู่โชคดี”
ขณะกล่าว ดวงตาของนางก็ประดับด้วยรอยยิ้มอันมีเสน่ห์ จากนั้นนางรับกระดาษข้อความแล้วหันหลังกลับไปทันที
ชายชราร่างผอมที่ติดตามนางอยู่ข้างหลังกล่าวว่า “ออกหลัวเฉิงเป็นฝ่ายแพ้ จำนวนเงินค่าเดิมพันที่ต้องจ่ายค่อนข้างมาก ไฉนเจ้าจึงมั่นใจในตัวของหลัวเฉิงมากขนาดนี้”
ลั่วเหยายิ้มเล็กน้อย “ข้าเปล่ามั่นใจในตัวเขา แต่ข้ามั่นใจบุคคลที่อยู่ข้างหลังเขา เพียงนามราชาโอสถก็สามารถเปลี่ยนคนไร้ค่าให้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งได้”
“ราชาโอสถนั้นถือเป็นผู้ยิ่งใหญ่ แต่ไฉนเขาถึงยอมรับผู้ที่ถูกขนานนามว่าเป็นบุคคลไร้ค่ามาเป็นศิษย์กัน ข้ากำลังสงสัยว่ามีบางอย่างแปลกๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้” ชายชราร่างผอมส่ายศีรษะเล็กน้อย
จากนั้นมองยังหลัวเฉิงด้วยดวงตาเรียวยาวคู่หนึ่ง ที่ส่องประกายราวกับสายอัสนี “เช่นนั้น ข้าอยากรู้นักว่าเรื่องนี้จริงเท็จแค่ไหน อาจารย์ของเขามีคุณสมบัติที่จะหลอมโอสถให้ข้าหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับการแสดงฝีมือของเขาในครั้งนี้แล้ว”
พื้นที่เปิดโล่งตรงกลางหอคอยสูง
หลัวเฉิงกวาดสายตามองยังผู้คนโดยรอบที่กำลังส่งเสียงฮือฮา เขายกมือขึ้นแตะปลายคาง แล้วพึมพำถามกับตนเอง
“หากข้าแพ้ ศาลาหลิงอวิ๋นจะต้องสูญเสียเงินเป็นจำนวนมาก ไฉนลั่วเหยาจึงมั่นใจในตัวข้ามากขนาดนี้กัน”
ตลอดเวลาที่ผ่านมาหลังพบกันนั้น หลัวเฉิงไม่เคยแสดงพลังที่แท้จริงของเขาต่อหน้าลั่วเหยาเลยสักครั้ง แน่นอนว่าที่นางทำเช่นนี้หาใช่เชื่อในตัวเขา แต่เป็นเพราะคนที่อยู่เบื้องหลังเขาต่างหาก
หลัวเฉิงไม่คิดเลยว่า แม้นเขาจะทำตัวดั่งจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ แต่ลั่วเหยากลับถือว่าเขาเป็นศิษย์ของราชาโอสถจริงๆ
เขาส่ายศีรษะลืมเรื่องในหัวให้หมดสิ้น จากนั้นมองยังหลินอวิ๋น “หลินอวิ๋น เจ้ารอช้าอยู่ไยไฉนไม่ลงมือ”
สิ้นเสียง บนหอคอยสูงทั้งหมดก็ตกอยู่ในความเงียบงันกะทันหัน
สายตาทุกคนล้วนจับจ้องไปยังสองร่างที่ยืนอยู่บนพื้นที่โล่งตรงกลางขณะนี้
หลินอวิ๋นเก็บป้ายหยกและโอสถละลายโลหิตเอาไว้ จากนั้นเหยียดยิ้มกระหยิ่ม
“หลัวเฉิง ครั้งนี้ข้าต้องขอบคุณเจ้าแล้ว หากไม่ใช่เพราะความอวดดีของเจ้า ความฝันของข้าก็คงไม่กลายเป็นจริงเร็วขนาดนี้”
สิ่งที่หลินอวิ๋นกล่าวนั้นล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น เพราะความฝันของเขาคือการเข้าสู่สำนักซวนหยวนเพื่อฝึกฝน
ไม่เพียงความฝันเขาได้เป็นจริงก่อนกำหนด แต่ยังได้ผูกมิตรกับองค์ชายแปดอีกด้วย