บทที่ 56 บันทึกประจำวันของหลินเป่ย
"ผึ้งพิษงั้นหรือ"
เมื่อได้ยินดังนั้น ชูเหลียงก็ขยับเข้าไปใกล้แล้วพูดว่า "ข้าเป็นศิษย์ของนิกายฉูซาน ขอข้าดูได้หรือไม่ บางทีข้าอาจช่วยรักษาได้"
เมื่อได้ยินเช่นนั้นคุณเฉินก็แสดงสีหน้าเคารพทันที "อ๊ะ วีรบุรุษแห่งฉูซานงั้นหรือ"
ชาวเมืองหยุนหัวเคยคุ้นเคยกับฉูซานดีดังนั้นพวกเขาจึงมักจะให้ความเคารพต่อคนของฉูซานอย่างมาก
มากจนคุณเฉินมีความหวังว่าชายหนุ่มคนนี้จะช่วยบรรเทาความทรมาณของเขาได้
ชูเหลียงมองอาการบวมบนใบหน้าของคุณเฉินอย่างละเอียดและสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายปีศาจ ไม่น่าแปลกใจที่ยาทั่วไปจะไม่สามารถรักษาได้
ผึ้งพิษเหล่านี้น่าจะเป็นสัตว์ปีศาจซึ่งหมายความว่าพิษของพวกเขาควรถูกมองว่าเป็นพิษของปีศาจเช่นกัน แม้พิษจะอ่อน แต่หมอทั่วไปไม่สามารถรักษาได้ง่ายๆ แน่นอน
เมื่อชูเหลียงคิดสักครู่ก็หาทางแก้ปัญหาได้ไม่ยาก
ชูเหลียงหยิบยาแก้พิษร้อยดอกออกมา "ครึ่งหนึ่งสำหรับกิน อีกครึ่งหนึ่งประคบภายนอก ไม่นานก็หายแล้วขอรับ"
"คะ แค่นั้นหรือ" คุณเฉินกล่าว
เขามีสีหน้าสดใสขึ้น และรีบรับยาแก้พิษร้อยดอกของชูเหลียงอย่างกระตือรือร้น
ชูเหลียงได้เทน้ำใส่ขันให้คุณเฉิน และให้เขากินพร้อมยา
ยาแก้พิษร้อยดอกมีชื่อเสียงในด้านประสิทธิภาพของมันต่อพิษต่างๆ ดังนั้นพิษจางๆ ของผึ้งจึงไม่น่าจะดื้อยานี้ได้
สักพักอาการบวมที่ใบหน้าและขาของคุณเฉินก็ลดลงเหลือแต่รอยแดงจางๆ
"โห" คุณเฉินตะโกนอย่างมีความสุข "ยานี้มัน.. ยาวิเศษจริงๆ สมแล้วที่เป็นวีรบุรุษแห่งฉูซาน"
“มิได้ถึงขนาดนั้นหรอกขอรับ บังเอิญว่าข้ามียานี่พอดีและพิษของมันมิได้รุนแรงมาก” ชูเหลียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
"ไม่! ไม่! มันเป็นยาวิเศษ! พ่อหนุ่ม ข้าไม่รู้ว่าจะตอบแทนบุญคุณของพ่อหนุ่มในวันนี้ได้อย่างไร" เจ้าของร้านเฉินตอบอย่างจริงจัง
ชูเหลียงโบกมือ "ท่านมิจำเป็นต้องตอบแทนข้ามากมาย ขอเพียงแค่ปลาดีๆ เพียงสักตัวก็เพียงพอแล้ว"
"เอ่อ..." เมื่อคุณเฉินอธิบาย สีหน้าของเขาก็กระสับกระส่าย "ข้า.. ข้าไม่กล้าไปที่แม่น้ำบอมแบ็กอีกแล้ว แต่คุณภาพของปลาจากที่อื่นเองก็ไม่ค่อยดีนักเสียด้วย... "
"คุณเฉิน วางใจเถิด ข้าจะไปดูที่แม่น้ำนั่นเอง ถ้าผึ้งพิษนั่นยังก่อกวนอยู่ข้าจะช่วยไล่พวกมันออกไปเอง" ชูเหลียงกล่าว
"โถพ่อหนุ่ม น้ำใจของท่านช่างมากล้นยิ่งนัก.."
คุณเฉินซาบซึ้งทันทีจนบรรยายเป็นคําพูดไม่ได้และพยายามลุกขึ้นมาเพื่อขอบคุณ
"พักผ่อนก่อนเถิดขอรับ ไม่ต้องกังวล" ชูเหลียงกล่าว จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและจากไป "ไว้ข้าจะกลับมาใหม่นะขอรับ"
พอพูดจบ เขาก็ออกจากตลาดปลาและออกจากเมืองหยุนหัวเพื่อตรงไปที่ริมฝั่งแม่น้ำบอมแบ็กทันที..
...
หลังจากเดินไปได้สักสองสามลี้ ชูเหลียงก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำ ที่ซึ่งนกร้องและดอกไม้หอมอบอวลไปทั่วอากาศ ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของฤดูใบไม้ผลิ มีหญ้าเขียวชอุ่ม นกร้องประสานเสียง และดอกหญ้าที่พลิ้วไหวตามปกติ คงจะนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่นี่ แต่ช่วงนี้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ริมฝั่งแม่น้ำแห่งนี้เลย
ทั้งหมดเป็นเพราะผึ้งพิษเหล่านี้
ชูเหลียงเอื้อมมือออกไปและพบผึ้งพิษสีดําอย่างรวดเร็วซึ่งมีขนาดตัวยาวประมาณครึ่งส่วนของนิ้วของเขา มันบินไปมาตามพุ่มดอกไม้และดูเหมือนจะดุร้ายมาก
เขาเข้าไปใกล้ผึ้งตัวนั้นประมาณหนึ่ง ผึ้งพิษก็ตื่นตัวและบินปรี่มาหาเขาทันที
ผึ้งพิษตัวนี้แสดงความก้าวร้าวอย่างรุนแรง ถึงกระนั้น ชูเหลียงก็ไม่กลัวผึ้งตัวนี้
เขาใช้กระบี่บินและตัดมันออกเป็นสองส่วนอย่างรวดเร็ว เมื่อผึ้งตกลงพื้นของเหลวสีดําหยดลงใส่พื้นดินและส่งเสียงฟู่ซึ่งบ่งบอกได้ถึงความอันตรายอย่างชัดเจน
หากชูเหลียงยอมให้ผึ้งเหล่านี้อาละวาดต่อไป ผู้คนโดยรอบก็อาจจะเสี่ยงอันตราย ผึ้งเหล่านี้ต้องถูกกำจัดออกไป
ทันใดนั้นชูเหลียงก็เกิดความคิดดีๆ
เขาเปิดใช้รอยประทับร้อยกระบี่ และเงากระบี่นับร้อยก็พุ่งผ่านไปมา ตามสิ่งสัมผัสเขาตรวจพบผ่านสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขา ด้วยการใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาในการสังเกตสภาพแวดล้อม เขาสามารถกำจัดผึ้งพิษได้มากกว่ายี่สิบตัว
ปีศาจที่อ่อนแอมากเหล่านี้ทําให้ชูเหลียงรู้สึกคิดถึงและทําให้เขานึกถึงช่วงเวลาที่เขาจัดการกับปีศาจตะเกียง
เมื่อเขามีเวลาเขาควรจะกลับไปไล่ล่าพวกปีศาจตะเกียงพวกนั้น ด้วยรอยประทับร้อยกระบี่ของเขามันคงจะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นมากเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้กําจัดพวกผึ้งพิษทั้งหมด เขาทิ้งผึ้งพิษตัวหนึ่งที่กำลังบินไปในทิศทางตรงกันข้าม
เห็นได้ชัดว่ามันพยายามหนี
ชูเหลียงตั้งใจเพราะเขาจะตามมันไปหาตําแหน่งของรังผึ้งและกําจัดพวกมันให้หมดเพื่อให้แน่ใจว่าผึ้งเหล่านี้จะไม่ปรากฏมาอีกต่อไป
หลังจากไล่ล่ามาได้ระยะหนึ่ง ชูเหลียงก็มาถึงหุบเขาเขียวชอุ่มที่มีผึ้งพิษหลายตัวทํารังอยู่ อาจเป็นเพราะดอกในบริเวณนี้นั้นขาดแคลน มันจึงส่งผลให้ผึ้งพิษจำนวนมากต้องขยายอาณาเขตของมันออกไป
เมื่อเห็นชูเหลียงเดินเข้ามาใกล้ ฝูงผึ้งพิษก็แห่กันออกมาทันที แต่มันก็ถูกชูเหลียงจัดการไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ผึ้งพิษบางตัวสามารถแอบเข้าไปในช่องว่างของภูเขาและหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ชูเหลียงจ้องมองที่ช่องว่างลึกนั้น มันดูเหมือนจะลึกเข้าไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในใจของเขามีความสงสัยเล็กน้อย สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาไม่สามารถไปถึงจุดตำสุดภายในรอยลึกได้เลย และถ้าผึ้งพิษเหล่านี้มาจากที่นั่นมันก็คงจะเป็นงานยากมากที่จะกําจัดพวกมันให้สิ้นซาก
เมื่อไม่สามารถคาดเดาบางสิ่งที่ไกลเกินเอื้อมได้ มันย่อมตามมาด้วยความลำบากใจ
แม้แต่วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังต้องถอนหายใจ
และเมื่อไม่มีใครอยู่รอบๆ ชูเหลียงจึงนั่งลงในทุ่งและตัดสินใจที่จะให้รางวัลตัวเองก่อน
ทันทีที่เขาเข้าไปในเจดีย์ขาว ภายในนั้นก็เป็นไปอย่างคึกคัก
ร่างเงาเล็กๆ ของผึ้งพิษแน่นขนัดไปหลายสิบกรงทีเดียว
แม้มันจะกินพื้นที่ไปหลายสิบกรง แต่ในมุมมองของชูเหลียงเจดีย์สีขาวแห่งนี้ยังมีพื้นที่เพียงพอสําหรับปีศาจอีกนับพัน
จากนั้นเขาก็กดสัมผัสที่คำว่าชำระล้าง
ครืน..
แสงสีขาวลอยออกมาหาชูเหลียง และเมื่อเขาเอื้อมมือไปจับจึงพบว่ามันเป็นแท่งทรงกระบอกไม้ไผ่ยาว
[ชาเยื่อน้ำผึ้ง: หวาน หอม อร่อย]
ชูเหลียงเงียบไปทัยที
แม้เขาจะรู้ว่าผึ้งพิษเหล่านี้จะอ่อนแอมาก แต่เจดีย์ขาวก็ไม่จำเป็นต้องให้รางวัลไร้ค่าเช่นนี้..
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้พบกับสิ่งมีชีวิตที่ด้อยกว่าปีศาจตะเกียง
นี่มันมากเกินไปแล้ว
ขนาดคําอธิบายยังสั้นเพียงแค่สามคําเท่านั้น
เขาเปิดแท่นกระบอกไม้ไผ่และดื่มมันเข้าไป มันหวานและอร่อยมากจริงๆ และยังมีรสชาติของชาผลไม้เล็กน้อย โดยรวมแล้วรสชาติของมันสดชื่นอย่างเป็นธรรมชาติมากทีเดียว
ในอีกมุมหนึ่ง เขาไม่เคยได้ลิ้มรสเครื่องดื่มที่น่ารื่นรมย์แบบนี้มานานแล้ว
แต่มันก็เท่านั้น เขาเป็นผู้บ่มเพาะ
ไม่ว่าจะอร่อยเพียงใด.. มันจะมีประโยชน์อย่างไรเล่า
...
ชูเหลียงพักอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน หลังจากมั่นใจว่าไม่มีผึ้งพิษเหลืออยู่ในบริเวณใกล้เคียง เขาก็เริ่มเดินทางกลับไปที่ฉูซาน
ลมแรงบนภูเขาพัดกระหน่ำ ทะเลเมฆม้วนตัวหมุนวน อย่างไรก็ตาม ฉูซานยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับหลายหมื่นปีที่ผ่านมา
หลังจากมาถึงกระท่อมไม้ ชูเหลียงสังเกตเห็นนกกระเรียนกระดาษขนาดเล็กหลายตัววางอย่างเรียบร้อยบนโต๊ะใต้หลังคา นกกระเรียนกระดาษเหล่านี้เป็นวิธีการสื่อสารระยะสั้นที่พบได้ทั่วไปในฉูซาน
ตราบเท่าที่คนคนหนึ่งทิ้งรอยพลังศักศักดิ์สิทธิ์ไว้ให้คนอื่น หากคนคนนั้นต้องการติดต่อก็สามารถส่งกระเรียนกระดาษไปให้คนที่ทิ้งรอยพลังไว้ได้ อย่างไรก็ตาม วิธีการสื่อสารแบบนี้ถูกจำกัดอยู่แค่เขตแดนแห่งฉูซานเท่านั้น
ชูเหลียงได้ทิ้งรอยพลังศักดิ์สิทธิ์ไว้ในใจของคนไม่กี่คนเท่านั้น อาจารย์ของเขา หลินเป่ย และเจียงเยว่ไป๋ ดังนั้นเขาจึงประหลาดใจที่เห็นนกกระเรียนกระดาษจํานวนมาก
เขาเปิดนกกระเรียนกระดาษตัวแรกและเห็นว่าเป็นเจียงเยว่ไป๋ส่งมา
ในวันที่เขาออกจากฉูซาน เขาส่งจดหมายถึงเจียงเยว่ไป๋เพื่อแจ้งให้เธอทราบว่าเขาไม่สามารถไปเรียนกับเธอได้เพราะเขามีเรื่องด่วนที่ต้องจัดการ
คําตอบของเธอง่ายมาก: ระวังด้วย เดินทางปลอดภัย
เป็นคำตอบง่ายๆ เพียงสองประโยค
หลังจากอ่านจดหมายฉบับแรกอย่างละเอียดแล้วเขาก็เก็บมันไป
จากนั้นเขาก็ได้เปิดกระเรียนกระดาษตัวที่สอง มันเขียนโดยหลินเป่ย
ในจดหมาย หลินเป่ยกล่าวว่าเขากําลังเตรียมที่จะเข้าสู่ขั้นตอนกลางของการตระหนักรู้ทางจิตวิญญาณ
“ครั้งนี้ด้วยความมุ่งมั่นเพื่อให้ประสบความสำเร็จ วันนี้เป็นวันแรกที่ข้าเก็บตัวบ่มเพาะ ข้าหวังว่าจะไปถึรัดับเดียวกับท่านได้ แล้วเจอกัน”
จดหมายของหลินเป้ยยาวมาก แต่เนื้อหาขาดสาระสําคัญ ชูเหลียงจึงมองแล้วโยนทิ้งไป
เขาเปิดกระเรียนกระดาษตัวที่ 3 ซึ่งเป็นของหลินเป่ยเช่นกัน
จดหมายเขียนว่า “วันแรกของการเก็บตัวบ่มเพาะ ข้ารู้สึกมีชีวิตชีวามาก”
ชูเหลียงเปิดกระเรียนกระดาษตัวที่สี่ มันเป็นของหลินเป่ยอีกเช่นกัน
โดยในจดหมายระบุว่า “เป็นวันแรกของเก็บตัวบ่มเพาะอีกครั้ง คราวนี้ข้าจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน”
กระเรียนกระดาษตัวที่ห้าก็เป็นของหลินเป่ย
ในจดหมายเขียนว่า “ยังคงเป็นวันแรกของการเก็บตัวบ่มเพาะ ความสําเร็จเป็นสิ่งจําเป็น”
"..."
ชูเลี่ยงนับจดหมาย จดหมายแต่ละฉบับอาจจะห่างกัน 1 วัน
ความเป็นตัวเองของชายของหนุ่มคนนี้ยังคงแข็งแกร่งเช่นเคย
ชูเหลียงหยิบพู่กันหยิบขึ้นมาทันทีและเริ่มเขียนจดหมายตอบกลับ
จดหมายของเขาถึงเจียงเยว่ไป๋ยาวมาก เขาอธิบายประสบการณ์ของเขาในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาและแสดงความขอบคุณต่อทักษะกระบี่ที่เธอสอน เขาเน้นว่าการเดินทางของเขาคงจะไม่ราบรื่นเพียงนี้หากไม่ใช่เพราะเธอได้สอนตราประทับร้อยกระบี่ให้เขา
ชูเหลียงพูดความจริงทั้งหมดและเขียนด้วยใจจริง และในตอนท้ายเขาก็ได้ถามอย่างสุภาพว่าเธอจะมีเวลาสอนทักษะศักดิ์สิทธิ์ให้เขาอีกเมื่อใด
ส่วนจดหมายถึงหลินเป่ยนั้นเรียบง่ายกว่ามาก
หลังจากได้อ่านสถานการณ์ของท่าน ข้าขอสนับสนุนอย่างเต็มที่ และข้ามีเพียงคำแนะนำเดียว
ตัดต้นตอของปัญหาเสีย