ตอนที่ 345 ความตกใจของฉางเซิง (ฟรี)
ตอนที่ 345 ความตกใจของฉางเซิง
หลังจากทำความเข้าใจแล้ว ซูหยางก็ตัดสินใจเข้าสู่สมรภูมิเอกะเนตร
แต่ก่อนที่จะเข้าไป เขาต้องควบแน่นรากกฎ และเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพลังแห่งกฎเต๋า
ตอนนี้เขามีเจตจำนงทองคำ 600 ดวงอยู่ในมือ ซึ่งสามารถควบแน่นรากกฎได้ 600 เส้น
อย่างแรกคือ ต้องเพิ่มพลังให้กับกฎพิเศษก่อน
[ คำสาปแห่งโชคชะตา ]
[ ลิดรอนโชคชะตา ]
[ ขโมยสมบัติ ]
พลังแห่งกฎเต๋าทั้งสามนี้จะสามารถทำให้ผู้ที่ฆ่าเขาต้องชดใช้ด้วยราคามหาศาล
นั้นจะทำให้แม้ว่าร่างโคลนจะถูกทำลายมันก็จะไม่เสียเปล่า
นอกจากนี้ เจตจำนงทองคำอีก 300 ดวง ซูหยางได้ใช้ควบแน่นรากฎของกฎวิญญาณ กฎอัคคี และกฎเผาผลาญ
ด้วยการหลอมรวมกฎทั้งสาม มันจะทำให้วิชาดาบเพลิงดาราของเขาทรงพลังมากยิ่งขึ้น!
กฎวิญญาณมีพลังในการสังหารวิญญาณ แม้จะเป็นจ้าวแห่งเต๋า วิญญาณของหลายคนๆ ก็ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก
กฎอัคคีเพิ่มพลังโจมตี
กฎเผาผลาญก็เพื่อซ้อนทับให้พลังเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น
เสริมพลังให้กับดาบเพลิงตัดวิญญาณไปอีกระดับหนึ่ง
นี่คือ เส้นทางที่เขาปูเพื่อให้ไปถึงจุดหมายที่วางเอาไว้
พลังแห่งกฎเต๋าที่ทรงพลังที่สุด เขตแดนสามพันกฎ
แนวคิดนี้ดี แต่ยังไม่สามารถเป็นจริงได้ในตอนนี้
ด้วยการจ่ายเจตจำนงทองคำ 600 ดวง รากกฎ 600 เส้นก็ถูกควบแน่น
จากนี้ไป ยากที่จ้าวแห่งเต๋าขั้นต้นคนใดจะสังหารเขาได้
แม้แต่จ้าวแห่งเต๋าขั้นกลางก็ยังต้องมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก หากต้องการสังหารเขา
หลังควบแน่นรากกฎให้กับกฎแห่งคำสาป โชคชะตา และขโมยแล้ว
เขายังสามารถใช้พลังของมันด้วยตั้งใจของตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องรอให้ตายก่อน
แต่เขาสามารถใช้มันได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
แม้ว่าการหลอมรวมกฎที่ไม่ค่อยเข้ากันจะไม่ทำให้พลังโดยรวมเพิ่มขึ้นมากนัก
แต่วิธีการเหล่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาอยู่ยงคงกระพันในหมู่จ้าวแห่งเต๋าขั้นต้น
และจ้าวแห่งเต๋าขั้นกลางก็จะไม่สามารถฆ่าเขาได้ง่ายๆ
หลังจากที่ทุกอย่างพร้อมแล้ว ซูหยางก็ไปถึงใจกลางเมือง ผ่านวังวนอันมืดมิด และก้าวเข้าสู่สมรภูมิโดยตรง
ในขณะนั้น ฉางเซิงก็รับรู้ได้ และออกจากญาณ
"แย่แล้ว!"
“เด็กนั่นคิดอะไรอยู่กันแน่? เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อตรวจสอบสถานการณ์เท่านั้นหรือ?”
“เขาเพิ่งทะลวงผ่าน ยังไม่ได้สร้างพลังแห่งกฎเต๋าของตัวเอง ย่อมไม่มีทางรับมือกับอันตรายภายในนั้นได้”
“เขาอยากตายหรือยังไงกัน”
ฉางเซิงนั้นเป็นจ้าวแห่งเต๋าขั้นกลางเท่านั้น จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบอกได้ว่าซูหยางเป็นเพียงร่างโคลน
เว้นแต่เขาจะพยายามตรวจสอบอย่างละเอียด
แต่เพราะอยู่ฝ่ายเดียวกัน การทำเช่นนั้นดูไร้มารยาทเกินไป
เขาจึงส่งข้อความถึงซูหยางในทันที โดยขอให้ซูหยางกลับมาโดยเร็ว และอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม
แต่เขาได้รับคำตอบจากซูหยางอย่างรวดเร็วว่า
ตัวเขาที่อยู่ที่นี่เป็นเพียงร่างโคลน และไม่สำคัญว่าจะตายหรือไม่ เขาแค่อยากเห็นสถานการณ์ภายในสมรภูมิด้วยตาของตัวเอง
“ร่างโคลน?”
“นี่เป็นไปได้ยังไง? หากเป็นเพียงร่างโคลน ข้าจะไม่เห็นความแตกต่างได้อย่างไร”
"เว้นเสียแต่ว่า"
ทันใดนั้น ฉางเซิงก็นึกถึงบางสิ่งบางอย่าง เขาขมวดคิ้ว และแอบคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้
“เว้นแต่ความแข็งแกร่งของร่างโคลนของเขาจะเทียบเท่ากับจ้าวแห่งเต๋าด้วยเช่นกัน”
“แต่มันเป็นไปได้ด้วยหรือ?”
แม้ว่าฉางเซิงจะไม่ค่อยเชื่อนัก แต่ข้อเท็จจริงก็บอกเขาว่าเป็นไปไม่ได้ที่ซูหยางจะโกหก
ในช่วงเวลาหนึ่ง ฉางเซิงพยายามตรวจสอบ
โชคดี ไม่นานเขาก็ยืนยันได้ว่านั่นคือ ร่างโคลนของซูหยางจริงๆ
แต่สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกมึนงงมากยิ่งขึ้น
แม้ว่าจะมีทรัพยากรเพียงพอ และด้วยความช่วยเหลือของหอตรัสรู้ ผู้ที่ทะลวงผ่านเป็นจ้าวแห่งเต๋าได้ที่เร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาถึง 1,150 ปี
นั้นเพราะการทะลวงผ่านไม่ใช่เรื่องง่าย ปราชญ์ขั้นสูงสุด และจ้าวแห่งเต๋าขั้นต้นไม่อาจเทียบกันได้เลย
อย่างไรก็ตาม ซูหยางประสบความสำเร็จในเวลาเพียงสองเดือน?
เดี๋ยว!
ทันใดนั้นฉางเซิงก็สะดุ้ง และนึกถึงอะไรบางอย่าง
ด้วยความเร็วของจ้าวแห่งเต๋าขั้นต้นการเดินทางมาถึงที่นี่จากวิหารโกลาหลจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองเดือน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ซูหยางบรรลุความก้าวหน้าได้ในวันเดียวกับที่เขาได้รับทรัพยากร?
นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
แม้ว่าเขาจะได้เห็นอัจฉริยะมานับไม่ถ้วน และเอาชนะคนเหล่านั้นมาได้มากมาย แต่เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ยากจะสงบสติอารมณ์ได้
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ
ลมหายใจถี่รัว และหนักหน่วง
นอกจากนี้ ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญ
ซูหยางยังมีร่างโคลนที่มีความแข็งแกร่งระดับจ้าวแห่งเต๋าขั้นต้นอีกด้วย
เขาทำได้อย่างไร?
“ข้าอาจจะไม่ได้สร้างร่างโคลนนี้ขึ้นมาด้วยตัวเอง”
“สำหรับคนที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ รางวัลจากเจ้าวังเทียนเล่ยจะต้องมากมายมหาศาลอย่างแน่นอน บางทีร่างโคลนนี้อาจเป็นหนึ่งในรางวัลที่เขาได้รับ”
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ฉางเซิงดูเหมือนจะค้นพบความจริงของเรื่องนี้แล้ว
คำอธิบายนี้เท่านั้นที่สมเหตุสมผล
…
ไม่ว่าฉางเซิงกำลังคิดอะไรอยู่
เขาไม่ได้หยุดซูหยางอีก
ซูหยางจึงก้าวเข้าไปในสมรภูมิเอกะเนตรได้สำเร็จ
สมรภูมิแห่งนี้ไม่เล็กเลย
ภายในเป็นพื้นที่อิสระ แต่ภายนอกดูเหมือนวังวนขนาดเล็ก
เมื่อซูหยางเข้ามาจริงๆ เขาก็สัมผัสได้ว่าจริงๆ แล้วมันไม่ต่างจากโลกภายนอกมากนัก
จากข้อมูลที่เขาได้รับ
สมรภูมิเอกะเนตรแบ่งออกเป็นสามเขต
เขตป่า เขตทะเลทราย และเขตที่ราบ
สภาพแวดล้อมทั้งสามก่อตัวเป็นโลกขนาดมหึมา
ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมเมื่อกำแพงกั้นระหว่างสองแดนถูกทำลาย สภาพแวดล้อมพิเศษเช่นนี้จึงปรากฎขึ้น?
บางทีมันอาจเป็นผลกระทบจากพลังงาน
ซูหยางไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ และไม่จำเป็นต้องหาคำตอบ
ทุกความลับที่ซุ่มซ่อนเอาไว้จะชัดเจนขึ้นเอง เมื่อเขาค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น
หลังผ่านวังวนเข้ามา และเขาก็ปรากฎตัวในเขตป่า
นี่เป็นจุดแรกที่ผู้ฝึกฝนมักจะปรากฎตัวเมื่อเข้ามา
ข้างหลังเขามีวังวนสีดำ
ถ้าอยากกลับก็แค่ผ่านวังวนนี้ไป
หลังจากเข้าสู่สมรภูมิเอกะเนตรอย่างเป็นทางการแล้ว สิ่งที่เขาต้องทำต่อไปคือ ค้นหาทรัพยากรแล้วรวบรวมพวกมัน
หลังจากเข้ามาในนี้ ซูหยางสัมผัสได้ว่าความสามารถในการรับรู้ของเขาถูกยับยั้งลงหลายเท่า และความแข็งแกร่งส่วนหนึ่งของเขาก็ถูกระงับเช่นกัน
สาเหตุก็คือ มิติในที่แห่งนี้แข็งแกร่งกว่าภายนอก
ในสมรภูมิที่พลังงานของทั้งสองแดนผสานกัน แม้แต่สมรภูมิที่อ่อนแอที่สุดก็ยังมีพลังปราบปรามมหาศาล
ความสามารถในการรับรู้อยู่ที่ประมาณสามหมื่นลี้ และระยะทำลายล้างของเจตจำนงดาบอยู่ที่สามแสนลี้
เมื่อถูกปราบปราม ความแข็งแกร่งก็ลดลงไม่น้อย
รวมถึงขอบเขตที่กำจัดมากขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกฝนคนอื่นๆ ก็ประสบกับปัญหานี้เช่นกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ และไม่มีใครได้รับสิทธิ์พิเศษ
งั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร
สมรภูมิเอกะเนตรนั้นใหญ่โตมาก ดังนั้นแน่นอนว่าเขาไม่สามารถมองหาทรัพยากรไปทั่วเหมือนแมลวงวันหัวขาดได้
แต่ก็ยังมีวิธีอยู่
วิธีการเหล่านี้ถูกระบุไว้ในข้อมูลที่ฉางเซิงมอบให้เขา
ตัวอย่างเช่น พื้นที่หลักใจกลางป่า โอเอซิสในทะเลทราย หรือแอ่งน้ำพิเศษในที่ราบ
พลังงานในพื้นที่ทั้งสามแห่งนี้ผันผวนเป็นอย่างมาก ความน่าจะเป็นที่จะพบทรัพยากรจึงเพิ่มมากขึ้น
แน่นอนว่า นอกเหนือจากทั้งสามที่นี้แล้ว ทรัพยากรยังอาจปรากฎในที่อื่นด้วย
เพียงว่าในสามที่นี้ ทรัพยากรจะปรากฎขึ้นในทุกวันอย่างแน่นอน และเป็นสถานที่ๆ ผู้ฝึกฝนมารวมตัวกันเพื่อต่อสู้แย่งชิง
ซูหยางมองไปที่ต้นไม้ใหญ่เบื้องล่าง
ในเมื่อเขาอยู่ที่นี่แล้วก็ควรมุ่งไปที่จุดชุมนุมของเหล่าผู้ฝึกฝนก่อน
หลังจากตัดสินใจแล้ว ซูหยางก็ออกเดินทาง
ที่นี่ เขาทำได้เพียงบินเท่านั้น ผู้ฝึกฝนคนอื่นๆ ก็ต้องทำเหมือนกัน
เมื่อความเร็วของเขาถูกระงับ ตามพิกัดที่ได้รับจากฉางเซิง เขาจะใช้เวลาสองชั่วโมงเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย
อย่างไรก็ตาม ในข้อมูลมีบันทึกไว้ว่าสำหรับจ้าวขั้นต้นไม่ว่าจะรีบเร่งแค่ไหนก็ต้องใช้เวลาถึงหกชั่วโมง
ประโยชน์ของการเลือกเส้นทางที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาเริ่มปรากฎให้เห็นแล้ว
นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เขายังไม่ได้เริ่มพัฒนาความแข็งแกร่งเลยด้วยซ้ำ
เขาเพิ่งผสานกฎส่วนหนึ่ง และเมื่อพิจารณาจากข้อมูลแล้ว ความแข็งแกร่งของเขาใกล้เคียงกับรจ้าวแห่งเต๋าขั้นกลาง
สำหรับจ้าวแห่งเต๋าขั้นกลาง การเดินทางไปถึงจุดหมายเดียวกัน พวกเขาต้องใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง
ข้อเท็จจริงนี้แสดงให้เห็นว่าเขาด้อยกว่าจ้าวแห่งเต๋าขั้นกลางอยู่ระดับหนึ่ง