บทที่ 625: ถนนของซูโม่(ฟรี)
บทที่ 625: ถนนของซูโม่(ฟรี)
หมู่บ้านชิงอันเพิ่งต้อนรับหนุ่มรูปงามมาใหม่
ยุคสมัยนี้ หมู่บ้านห่างไกลอย่างนี้หาได้พบเจอคนนอกเสียเท่าไหร่ ยิ่งเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาสะสวย บอบบางราวกับหยกแกะสลักเช่นนี้ ยิ่งเป็นที่แปลกตา
ไม่กี่วันมานี้ บรรดาสาวๆ ในหมู่บ้านต่างพากันกระซิบกระซาบเรื่องราวของบุรุษผู้นี้อยู่เนืองๆ
“คุณชายคะ ดิฉันช่วยซักดีไหม เห็นว่ามีไม่กี่ชิ้น”
สตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยปากขึ้น เธอนั่งซักผ้าอยู่ริมแม่น้ำ สายตาก็จับจ้องไปที่ชายหนุ่มรูปงามผู้สวมใส่เสื้อผ้าป่านหยาบๆ กำลังนั่งย่อซักเสื้อผ้าสีขาวอย่างทุลักทุเลอยู่ไม่ไกล
“ไม่เป็นไร ขอบคุณครับ ผมซักเองได้”
ซูโม่ใช้แขนเสื้อเช็ดหยดน้ำที่กระเด็นมาโดนใบหน้า พลางยิ้มให้สตรีผู้นั้น เผยให้เห็นฟันขาวสะอาดราวกับไข่มุก ดวงตาดำขลับเป็นประกายไร้เดียงสา
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ใช้วิชาอาคมใดๆ
ในยามนี้ ซูโม่ดูไม่ต่างจากเด็กหนุ่มชาวบ้านทั่วไป แม้จะไร้ซึ่งรัศมีของผู้ฝึกตน แต่กลับมีชีวิตชีวาแบบมนุษย์ปุถุชน
แม้สายน้ำในฤดูหนาวจะเย็นยะเยือก แต่สตรีเหล่านั้นกลับรู้สึกถึงไออุ่นอย่างประหลาด
เมื่อเห็นซูโม่เก็บเสื้อผ้าและเดินจากไปพร้อมกับกะละมังไม้ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะจับกลุ่มคุยกัน
"โอ๊ย ดูผิวพรรณสิ นุ่มนวลราวกับหยก นิ้วมือเรียวสวยปราณีตยิ่งกว่าหญิงสาวเสียอีก”
“ใช่ๆ ไม่แปลกใจเลยที่ผู้ใหญ่บ้านบอกว่า คุณชายซูต้องเป็นคุณชายจากตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงแน่ๆ”
“แต่คุณชายสูงศักดิ์เช่นนี้ ทำไมถึงมาลำบากอยู่ที่นี่นะ”
“ใครจะไปรู้ล่ะ ฉันได้ยินมาว่า พวกคนร่ำรวยในเมืองหลวง มักแย่งชิงมรดกกันอย่างดุเดือด บางที...”
เหล่าสตรีต่างก็พากันจินตนาการถึงเรื่องราวการแย่งชิงอำนาจในครอบครัวชนชั้นสูงกันอย่างสนุกปาก
ซูโม่เดินไปตามถนนขรุขระ มือประคองกะละมังไม้อย่างมั่นคง ชาวบ้านทักทายเขาระหว่างทาง ซูโม่ก็ยิ้มรับอย่างเป็นมิตร
การบรรลุธรรมนั้นจำเป็นต้องใช้เวลา
เช่นเดียวกับการฝึกฝน เมื่อก้าวข้ามระดับขึ้นไป ก็ต้องใช้เวลาเสริมรากฐาน ปรับสมดุลพลังปราณ
ด้วยเหตุนี้ ซูโม่จึงเลือกหมู่บ้านเล็กๆ อันห่างไกลแห่งนี้ ปิดบังพลังวิเศษทั้งหมด ใช้ชีวิตราวกับคนธรรมดา เรียนรู้การซักผ้า ทำอาหาร ปลูกผัก และพรวนดิน
ดูเหมือนเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่าง แต่ก็อธิบายไม่ถูก รู้สึกเพียงแต่โลกตรงหน้าชัดเจนขึ้น
ราวกับว่าโลกที่ผ่านมามีหมอกบางๆ ปกคลุมอยู่ และแล้ววันหนึ่ง หมอกนั้นก็จางหายไป เผยให้เห็นโลกที่แท้จริงเบื้องหน้า
ภูเขาก็ยังคงเป็นภูเขา น้ำก็ยังคงเป็นน้ำ
บ้านที่ซูโม่เลือกพักอาศัยตั้งอยู่สุดหมู่บ้าน บนเนินเขาที่มองเห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกล
เดิมทีหมู่บ้านแห่งนี้ก็มีประชากรเบาบางอยู่แล้ว ประกอบกับซูโม่มีรูปโฉมงดงาม อีกทั้งยังมีน้ำใจไมตรี จึงไม่มีใครปฏิเสธการมาเยือนของเขา
ซูโม่นำเสื้อผ้าไปตากบนราว ก่อนจะหันไปก่อไฟ หุงข้าว และทำอาหารในครัว
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ทำสิ่งเหล่านี้
บนภูเขาเหมาซานมีศิษย์รับใช้คอยดูแลเรื่องต่างๆ แม้กระทั่งหลังจากลงจากเขามา เขาก็ยังมีวิชาอัญเชิญวิญญาณกระดาษคอยรับใช้
แม้จะเป็นครั้งแรกแต่อาหารที่เขาทำก็ถือว่าไม่เลว ร่างกายของเขาผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี แม้จะไม่ได้ใช้วิชาอาคม แต่ความว่องไวและไหวพริบก็เหนือกว่าคนทั่วไปอยู่มาก
ซูโม่ตักข้าวสวยใส่ชามใบใหญ่ ราดแกงร้อนๆ ลงไปจนชุ่มโชก
เขายกชามข้าวขึ้นมา แล้วกระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังคาบ้านอย่างแผ่วเบา นั่งลงข้างๆ เพลิดเพลินกับมื้ออาหารพร้อมกับชมทิวทัศน์ขุนเขาและแม่น้ำเบื้องหน้า
เวลาเช่นนี้ เป็นเวลาอาหารกลางวันพอดี...
ควันไฟลอยโขมงจากปล่องไฟทุกหลังคา บ้านเรือนต่างอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของข้าวฟ่างสุก เด็กๆ วิ่งเล่นออกจากบ้าน มุ่งหน้าไปยังทุ่งนา เพื่อร้องเรียกผู้ชายที่กำลังทำงานอยู่ให้กลับบ้านมากินข้าว
สตรีหลายคนทยอยเดินกลับจากแม่น้ำ มือประคองกะละมัง พวกเธอพูดคุยหัวเราะอย่างออกรส
เหล่าชายชราที่ปากทางหมู่บ้านยังคงนั่งเล่นหมากรุกอย่างใจเย็น ไม่ได้เร่งรีบแต่อย่างใด
มองไกลออกไปจะเห็นเมืองที่แสนคึกคัก รถม้าและผู้คนพลุกพล่านราวกับสายน้ำ
ซูโม่กลืนข้าวคำสุดท้ายลงคอ วางชามเปล่าไว้ข้างตัว
ทันใดนั้น เขาก็เผยรอยยิ้มออกมา “ท่านอาจารย์ ข้า...คิดออกแล้ว!”
“ความเข้าใจของข้า...หนทางแห่งเต๋าของข้า”
“ออกจากโลก...เข้าสู่โลก...นี่แหละ สิ่งที่ใจข้าปรารถนา นี่แหละคือเต๋าของข้า”
“เต๋าของข้า ไม่ได้อยู่บนสรวงสวรรค์ ไม่ได้อยู่ในปรโลก และไม่ได้อยู่ท่ามกลางดวงดาวอันไกลโพ้น”
“เต๋าของข้า อยู่ท่ามกลางโลกมนุษย์นี่เอง!”
ซูโม่มีความคิดเกี่ยวกับคำว่า “อมตะ” แตกต่างจากคนอื่นๆ ในยุคนี้
ยกตัวอย่างเช่น เหล่าผู้อาวุโสในสำนักฝึกตนหลายคน ใช้ชีวิตบำเพ็ญเพียรอยู่แต่บนเขา ไม่เคยคิดที่จะลงจากเขาไปสัมผัสโลกภายนอก
เพราะสำหรับพวกเขา “การเป็นเซียน” คือเป้าหมายสูงสุดในชีวิต
แต่ซูโม่ไม่คิดเช่นนั้น ในความคิดของเขา แม้สุดท้ายจะบรรลุวิถีแห่งเต๋า หลอมรวมจิต วิญญาณ และพลัง แต่แบบนั้นก็ไม่ใช่เซียน เป็นเพียงหินไร้ความรู้สึก
เซียนแบบนั้นจะมีประโยชน์อะไร?
ในความคิดของเขา เซียนควรมีชีวิตอมตะและมีอิสระ โดยคำว่า “อิสระ” สำคัญกว่า “อมตะ” เสียอีก
ท่องเที่ยวไปทั่วทุกสารทิศ ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี
หากสนใจเรื่องเงินทอง ก็เป็นพ่อค้า
หากปรารถนาจะปกป้องผู้คน ก็สร้างวัด สังหารปีศาจ
หากพบหญิงสาวที่พึงใจ ก็แต่งงาน ใช้ชีวิตร่วมกัน หากร้อยปีไม่เพียงพอ ก็สอนวิชาฝึกตนให้ อยู่เคียงข้างกันตลอดไป
หากเหนื่อยล้า ก็หาสถานที่ที่สวยงามสงบสุข ปลีกวิเวก ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก
วันใดที่ต้องการสัมผัสโลกอีกครั้ง ก็แค่กลับมา อาจจะได้พบกับคนรู้จัก แม้พวกเขาจะแก่ชรา ผมหงอก ฟันฟางหลุดร่วง แต่ตัวเองยังคงเยาว์วัย
เขาไม่ใช่ผู้มาเยือนในโลกมนุษย์ แต่เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้
นี่คือหนทางแห่งเต๋าของซูโม่ “เต๋าแห่งโลกมนุษย์”
บรรลุเซียนท่ามกลางโลกียวิสัย และยังคงอยู่ในโลกียวิสัยนี้
ครอบครองดวงดาวทั้งจักรวาล จะสุขสรรค์เท่ามีชีวิตอมตะ ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีในโลกมนุษย์ได้อย่างไร ?
เฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงของโลก ผ่านร้อนผ่านหนาว น่าสนใจกว่าการจ้องมองก้อนหินเป็นพันๆ ปีเป็นไหนๆ
เมื่อคิดได้ดังนั้น ซูโม่ก็ยกชามข้าว กระโดดลงจากหลังคา ปัดฝุ่นที่กางเกง แล้วเดินไปล้างจาน
ไม่มีความยินดีหรือการเปลี่ยนแปลงใดๆ หลังจากที่เข้าใจหนทางแห่งเต๋า เหมือนกับแค่คิดว่า คืนนี้จะกินอะไร พรุ่งนี้จะใส่อะไร เรียบง่ายและเป็นธรรมชาติ
แต่กลับมีเส้นทางที่สดใสรอเขาอยู่เบื้องหน้า
เมื่อก้าวไปถึงจุดสิ้นสุด เขาก็จะเป็นเซียน!