บทที่ 60 เดิมพันด้วยการล่มสลายของสองตระกูล
หลังผ่านไปพักหนึ่ง ในความคิดของคนส่วนใหญ่ต่างก็มองว่าหลัวเชิงนั้นเสียสติไปแล้ว
หลัวเฉิงไม่กล่าววาจาไร้สาระอีก เขาเดินตรงไปที่กลางหอคอยสูงทันที
บนหอคอยสูง นอกเหนือจากสามารถยืนชมโดยรอบได้แล้ว ยังมีพื้นที่เปิดโล่งตรงกลางซึ่งกว้างราวสามร้อยฉื่อ
“ดูท่าเจ้าจะมั่นใจมาก!”
เมื่อเห็นว่าหลัวเฉิงไม่ได้หวาดหวั่นต่อเขาเลย หลินอวิ๋นเหยียดยิ้มเย็นชาแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้ามั่นใจขนาดนี้ เช่นนั้นเรามาเดิมพันกันไปเลยว่าอย่างไร หากเจ้าแพ้ในการต่อสู้ เมืองฉีซาน เมืองหนานเฉิงฟาง ทั้งหมดจะตกเป็นของตระกูลหลินของข้า!”
ในที่สุด สุนัขจิ้งจอกก็ยอมเผยหางออกมา!
หลัวเฉิงเลิกคิ้วแล้วกล่าวน้ำเสียงเย้ยหยัน “หากเจ้าเป็นฝ่ายแพ้เล่า”
“หากข้าแพ้งั้นหรือ”
ดูเหมือนว่า หลินอวิ๋นเพิ่งเคยได้ยินเรื่องตลกครั้งใหญ่สุดในชีวิต เขาคิดไม่ออกเลยว่าตนจะแพ้ได้อย่างไร
“หากข้าแพ้ เมืองหนานเฉิงฟางทั้งหมดของตระกูลหลิน จะถูกส่งมอบให้กับตระกูลหลัว!”
“ตกลง” หลัวเฉิงพยักหน้าเห็นด้วยโดยไม่ลังเล
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ทุกคนโดยรอบหอคอยสูงก็พลันสะดุ้งตกใจ
พวกเขาทั้งหมดล้วนรู้ดีว่า เมืองหนานเฉิงฟางเป็นรากฐานของตระกูลหลัวและตระกูลหลิน
ทั้งสองคนนี้จะเอารากฐานของตระกูลตนมาเดิมพันจริงงั้นหรือ
แม้แต่ หลินชางหลางเองก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้น ความปีติยินดีก็ฉายแววในดวงตาของเขา หากเขาสามารถยึดเมืองหนานเฉิงฟางได้ ตระกูลหลัวจะต้องล่มสลายอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นตระกูลหลินก็จะกลายเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองฉีซาน
สำหรับเรื่องที่จะพ่ายแพ้นั้น หลินชางหลางไม่เคยนึกถึงมันเลยแม้แต่น้อย
จากความแข็งแกร่งของหลินอวิ๋นในตอนนี้ มันมากพอที่จะเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นหลอมกายาได้ทั้งหมด
การดวลกันครั้งนี้ ตระกูลหลัวเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างมาก แล้วไฉนเขาจะไม่เห็นด้วยเล่า
“หลัวหมิงซาน ในเมื่อเด็กทั้งสองตกลงกันเช่นนั้น แล้วเจ้าล่ะว่าอย่างไร” หลินชางหลางมองยังหลัวหมิงซาน เขาต้องการให้อีกฝ่ายยอมรับต่อหน้าธารกำนัล เพื่อหลีกเลี่ยงการตระบัดสัตย์ในภายหลัง!
หลัวหมิงซานขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าของเขาเผยให้เห็นความลังเล
การเดิมพันครั้งนี้ค่อนข้างเสี่ยงมาก เรียกได้ว่านี่เป็นการเอาตระกูลหลัวทั้งหมดมาเดิมพันเลยทีเดียว
“ท่านพ่อ ลืมมันซะ อย่างแย่ที่สุดเราก็แค่มอบอันดับหนึ่งในการแข่งขันล่าสัตว์ให้ตระกูลหลินไปก็เท่านั้น” หลัวเหิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าววาจาโน้มน้าวหลัวหมิงซานทันที
แม้นการยอมรับความพ่ายแพ้จะเสียศักดิ์ศรีของตระกูลอย่างมาก แต่หากต้องสูญเสียเมืองหนานเฉิงฟางก็เท่ากับว่าตระกูลหลัวไม่เหลือสิ่งใดอีกแล้ว
สมาชิกของตระกูลหลัวคนอื่นๆ ก็ต่างมีสีหน้าวิตกกังวลไม่แพ้กัน
เนื่องจาก เมืองหนานเฉิงฟางเป็นรากฐานของตระกูลที่มีความสำคัญมากจริงๆ
“ท่านผู้นำ…”
หลัวชิงหว่านซึ่งฟื้นตัวได้บ้างแล้ว จู่ๆ นางก็กระซิบข้างหูของหลัวหมิงซาน
ทันใดนั้น ประกายแสงก็สว่างวาบในดวงตาของหลัวหมิงซาน เขาจ้องหลินชางหลางแล้วตะโกนเสียงดังลั่น
“ย่อมได้! ตระกูลหลัวของเรา ขอยอมรับการเดิมพันครั้งนี้!”
หลัวหง หลัวเหิง และคนอื่นๆ ตกตะลึงทันที พวกเขาไม่คิดเลยว่าหลัวหมิงซานจะกล้าเสี่ยงขนาดนี้
โอ้สวรรค์!
สิ้นเสียงของหลัวหมิงซาน ใบหน้าของผู้คนโดยรอบหอคอยสูงก็แสดงถึงความตกใจในทันที
การต่อสู้ครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการดวลระหว่างหลัวเฉิงและหลินอวิ๋นเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการล่มสลายของทั้งสองตระกูลด้วย เรื่องนี้จะเปลี่ยนสถานการณ์ของเมืองฉีซานไปตลอดกาล
ในเวลานั้นเอง องค์ชายแปดจินหมินก็เดินเข้าไปหาหลินอวิ๋น ขณะที่ดวงตาจ้องยังหลัวเฉิง
“หลินอวิ๋น ช่วยสอนบทเรียนให้เขาแทนข้าที จะดีที่สุดหากมันไม่ฟื้นกลับขึ้นมาอีก!”
หลินอวิ๋นแสดงสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าเมื่อใดกันที่หลัวเฉิงไปทำให้องค์ชายแปดขุ่นเคือง อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นเรื่องที่เขาคิดจะทำอยู่แล้ว
“องค์ชายแปดไม่ต้องเป็นกังวล นับจากวันนี้ไป เขาจะกลายเป็นคนไร้ค่าอย่างแท้จริง!”
จินหมินพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นวางของสองสิ่งในมือหลินอวิ๋นอย่างลับๆ นั่นคือป้ายหยกและโอสถหนึ่งเม็ด
“องค์ชายแปด นี่คือ…”
เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือ หลินอวิ๋นก็แสดงสีหน้าสับสน
จินหมินกล่าวว่า “นี่คือป้ายหยกประจำตัวข้า ด้วยป้ายหยกนี้ เจ้าจะกลายเป็นศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักซวนหยวนได้ในอนาคต”
สำนักซวนหยวน!
ใบหน้าของหลินอวิ๋นเปี่ยมไปด้วยความดีใจเป็นที่สุด จากนั้นกล่าวด้วยท่าทางกระตือรือร้น “ขอบคุณท่านมากศิษย์พี่”
จินหมินพยักหน้าเล็กน้อย หลินอวิ๋นปลุกวิญญาณยุทธ์ระดับหกดาว เขาจึงมีคุณสมบัติมากพอจะเป็นศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักซวนหยวน เพียงแค่เขาสั่งสอนหลัวเฉิงเพื่อเป็นการตอบแทนก็พอ
“ส่วนโอสถเม็ดนี้ เรียกว่าโอสถสลายโลหิต มันสามารถเพิ่มพลังยุทธ์ให้เจ้าได้หนึ่งระดับ ซึ่งมันช่วยให้เจ้าทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ได้ระยะหนึ่ง”
หลินอวิ๋นเหยียดยิ้มอำมหิตแล้วกล่าวว่า “เขาเป็นแค่ขยะเท่านั้น แม้นมิต้องใช้โอสถเม็ดนี้ ข้าก็สามารถขยี้เขาได้ด้วยมือเดียว”
“เผื่อไว้ก่อน ย่อมเป็นการดีกว่า”
จินหมินส่ายศีรษะเล็กน้อย จากนั้นมองยังอวิ๋นเหมิงลี่ที่นั่งอยู่ในระยะไกล แล้วกล่าวน้ำเสียงเยือกเย็นกับหลินอวิ๋น
“จงจำไว้ให้ดี อย่าได้ปรานีมันเด็ดขาด”