บทที่ 59 เจ้ากับข้ามาต่อสู้กัน
“จื่อซิง!”
“ชิงหว่าน!”
ทันทีที่ หลัวเฉิงและอีกสองคนกลับขึ้นมาบนหอคอยสูง หลัวหมิงซานพร้อมทั้งคนอื่นๆ จากตระกูลหลัวก็วิ่งไปดูพวกเขาในทันที
เมื่อเห็นอาการบาดเจ็บของหลัวจื่อซิงและหลัวชิงหว่าน ผู้คนโดยรอบที่อยู่ใกล้เคียงต่างแสดงสีหน้าประหลาดใจไม่แพ้กัน ในหัวของพวกเขาต่างคาดเดาไปว่าเกิดสิ่งใดขึ้นในหุบเขาจันทร์เสี้ยว
“เฉิงเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นในนั้น?”
ใบหน้าของหลัวหมิงซานเข้มขึ้นทันที
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เขาสามารถบอกได้ทันทีว่าอาการบาดเจ็บของหลัวชิงหว่านและหลัวจื่อซิง ไม่ได้เกิดจากสัตว์อสูร
หลัวเฉิงเหลือบมองไปทางตระกูลหลิน แล้วส่ายศีรษะกล่าวว่า “ท่านปู่ เรารีบรักษาอาการบาดเจ็บของพวกเขากันก่อนเถอะ”
“ได้!”
หลัวหมิงซานรีบจัดการให้หลัวชิงหว่านและหลัวจื่อซิงได้รับการรักษาในทันที
ระหว่างนั้นเอง บนหอคอยสูงก็มีเสียงโห่ร้องดังขึ้นอีกครั้งว่ามีคนกลับมาแล้ว!
“นั่นมัน คนของตระกูลหลิน!”
“พวกเจ้าดูสิ สถานการณ์ของทางฝั่งตระกูลหลินก็ย่ำแย่ไม่ต่างจากตระกูลหลัวเลย”
หลังได้เห็นสภาพของคนตระกูลหลินออกมาจากหุบเขาจันทร์เสี้ยว ใบหน้าของพวกเขาก็บิดเบี้ยวด้วยความประหลาดใจ
ในสายตาของพวกเขากำลังประสบเห็นว่า หลินอวิ๋นหิ้วสมาชิกตระกูลหลินอีกสองคน ไว้ในมือแต่ละข้าง และทั้งเสื้อคลุมของเขาก็แปดเปื้อนไปด้วยคราบเลือดเช่นเดียวกัน
หลินชางหลางผู้นำตระกูลหลิน ที่ก่อนหน้าเคยมีท่าทางสำราญใจ จู่ๆ ก็ผงาดลุกขึ้นยืนพร้อมด้วยขมวดคิ้ว “หรือว่าพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บจากสัตว์อสูร”
ท่ามกลางความโกลาหลบนหอคอยสูงนี้ ทันใดนั้น ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง
ทหารยามคนหนึ่งของตระกูลฉี รีบวิ่งขึ้นมาบนหอคอยสูงแล้วรายงานต่อฉีฟู่ซ่งผู้นำตระกูลฉี
“ท่านผู้นำตระกูล คุณหนูใหญ่ขอให้ข้าบอกท่านว่า นางขอสละสิทธิ์ในการแข่งขันล่าสัตว์ครั้งนี้”
“อะไรนะ!”
ฉีฟู่ซ่งตกใจมากจนรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ถามว่า “ขอสละสิทธิ์ในการแข่งขันล่าสัตว์ครั้งนี้ คุณหนูใหญ่กล่าวเช่นนี้จริงหรือ”
“ขอรับ”
ทหารยามของตระกูลฉีลังเลอยู่ครู่ จากนั้นกล่าวว่า “คุณหนูใหญ่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนฉีเฟ่ยและคนอื่นๆ ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติ ตอนนี้พวกเขาได้กลับตระกูลไปแล้วขอรับ”
ฉีฟู่ซ่งรู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาดอย่างกะทันหัน แล้วกล่าวน้ำเสียงทุ้มลึก “นี่มันเกิดอะไรขึ้น!”
ทหารยามตระกูลฉีส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “คุณหนูใหญ่ไม่ได้บอกเหตุการณ์อย่างละเอียด นางแค่ต้องการให้ผู้นำตระกูลรีบกลับไปโดยเร็วที่สุดขอรับ”
ตอนนี้ จิตใจของฉีถิงบอบช้ำอย่างมาก และใบหน้าของนางก็ถูกหลัวเฉิงตบจนบวม ด้วยเหตุนี้นางจะมีหน้าแข่งขันล่าสัตว์ต่อไปอีกได้อย่างไร นางจึงออกจากหุบเขาจันทร์เสี้ยวโดยอาศัยเส้นทางอีกด้านหนึ่ง
“รีบไปสิ”
ฉีฟู่ซ่งตวาดเสียงด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราดแล้วรีบจากไปพร้อมกับผู้คนของตระกูลฉีทันที
ฉากนี้พานให้ผู้คนตกตะลึงยิ่งนัก
ไฉนในงานชุมนุมล่าสัตว์ครั้งนี้ สมาชิกทุกคนในสามตระกูลหลักล้วนได้รับบาดเจ็บสาหัสกันทั้งสิ้น!
ตระกูลฉีสละสิทธิ์ในการแข่งขันล่าสัตว์ เรื่องเช่นนี้ไม่เคยปรากฏมีมาก่อน!
ในเวลานี้ หลินอวิ๋นก็ได้ขึ้นมาบนหอคอยสูงแล้วเช่นกัน
“หลินอวิ๋น”
หลินชางหลางเดินเข้าไปหาเขาด้วยใบหน้าสับสน และสังเกตเห็นว่าสองพี่น้องหลินเฉิงได้รับบาดเจ็บสาหัส สีหน้าเขาพลันเข้มขึ้นแล้วเอ่ยถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น!”
การแข่งขันล่าสัตว์ครั้งนี้สองพี่น้องตระกูลหลินได้รับบาดเจ็บสาหัส จะไม่ให้เขาประหลาดใจได้อย่างไร
เดิมทีเขาคิดว่าทุกอย่างคงราบรื่นไปได้ตามแผนแล้ว และอันดับหนึ่งในการแข่งขันล่าสัตว์ครั้งนี้ก็ควรจะอยู่ในมือของตระกูลหลินแล้วแท้ๆ
ทว่า ภาพที่เขาปรากฏเห็นตรงหน้านี้ มันเป็นเรื่องที่เขาไม่เคยคิดถึงมาก่อน
“ไอ้คนไร้ค่าหลัวเฉิง!”
ใบหน้าของหลินอวิ๋นแดงก่ำ เขามองยังหลัวเฉิงด้วยสายตาที่โกรธเกรี้ยว กลิ่นอายของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหาร ก่อนตะโกนเสียงดังท่ามกลางฝูงชนจำนวนมาก
“เจ้าคนไร้ค่าหลัวเฉิงช่างโชคดีนักที่หนีข้าได้ ดูเหมือนว่าการแข่งครั้งนี้เจ้าไม่ได้มีเจตนาจะล่าสัตว์อสูร ดังนั้นไม่ต้องพูดพล่ามให้มากความ เจ้ากับข้ามาต่อสู้กัน ผู้ที่ชนะจะได้เป็นอันดับหนึ่งในการแข่งขันล่าสัตว์ครั้งนี้ เจ้าเห็นเป็นเช่นไร”
เสียงตะโกนดังอย่างกะทันหันของหลินอวิ๋น ทำให้ผู้คนโดยรอบต่างตกตะลึงทันที จากนั้นทุกสายตาของพวกเขาล้วนจับจ้องไปยังหลัวเฉิง
“เจ้าเองก็โชคดีใช่น้อย!”
หลัวเฉิงแสดงรอยยิ้มเยือกเย็นแล้วกล่าวน้ำเสียงเย็นชา “ในเมื่อเจ้าต้องการต่อสู้ ข้าก็จะสู้กับเจ้า!”
ในใจเขาอยากล้างแค้นให้หลัวจื่อซิงและหลัวชิงหว่านอยู่แล้ว
แม้นหลินอวิ๋นจะไม่ตามหาเขา แต่เขาก็จะตามหาหลินอวิ๋นอยู่ดี!
เมื่อได้ยินว่าหลัวเฉิงเห็นด้วยกับความคิดนั้น คนหอคอยสูงก็ตกอยู่ในความโกลาหลทันที
หลินอวิ๋นเป็นผู้ที่ได้ยอมรับจากตระกูลหลิน ว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของผู้ฝึกฝนวัยเยาว์ และมีวิญญาณยุทธ์หกดาวพยัคฆ์หางแมงป่อง
อีกทั้งยังได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาระดับเก้าเมื่อนานมาแล้ว มาตรว่าตอนนี้เขาคงอยู่ห่างจากขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์เพียงครึ่งก้าวเท่านั้น
ส่วนหลัวเฉิงวิญญาณยุทธ์ของเขายังไม่ถือกำเนิดออกมาด้วยซ้ำ ทั้งยังถูกยอมรับจากผู้คนว่าเป็นขยะอันดับหนึ่งในเมืองฉีซานอีกต่างหาก
พวกเขาทั้งสองก็จะต่อสู้กันจริงๆ งั้นหรือ ยิ่งไปกว่านั้นหลัวเฉิงไฉนจึงกล้ายอมรับการท้าทายนี้