บทที่ 49 ใหญ่กว่าสอง
นักเรียนที่เข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมดหนึ่งพันแปดร้อยคน ลานแข่งขันถูกแบ่งออกเป็นทั้งหมดสามสิบเวที และในแต่ละเวทีจะมีผู้เข้าร่วมการแข่งขันทั้งสิ้นเวทีละหกสิบคน ตอนนี้ก็เริ่มมีคนที่ถูกคัดออกไปแล้ว
หลูมู่หยานที่ชนะการแข่งขันในรอบแรกถูกจับสลากอีกครั้งในรอบสามสิบคน ครั้งนี้นางได้หมายเลขแปดในการแข่งขัน รอบที่ผ่านมาการต่อสู้ของนางทำให้หลายคนที่ได้เห็นตกตะลึง และบางคนก็เริ่มมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความริษยา
การแข่งขันในรอบนี้ไม่มีอะไรมากมายนัก เพราะคู่ต่อสู้ของหลูมู่หยานนั้นค่อนข้างอ่อนแอ อาจจะเป็นเพราะภาพลักษณ์ไร้ค่าของนางทำให้คู่ต่อสู้หรือคนอื่น ๆ ย่ามใจ ไม่แปลกหากคนที่ได้เห็นฝีมือของนางจะรู้สึกประหลาดใจ และคิดไม่ถึง
กู่ยันรันยืนอยู่ไม่ไกลจากเวทีการประลองของหลูมู่หยาน เมื่อนางเห็นว่าหลูมู่หยานสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้รอบแรกได้อย่างง่ายดาย ดวงตาของนางก็เริ่มฉายความกังวลออกมาให้เห็น
เช่นเดียวกับฉีอี้ซวนที่ลอบมองหลูมู่หยานมาตั้งแต่ที่เขาจบการแข่งขันด้วยการคว้าชัยชนะได้ จากนั้นเขาเริ่มมุ่งสังเกตไปที่เวทีที่ยี่สิบ ซึ่งเป็นเวทีประจำของหลูมู่หยาน
เมื่อได้เห็นการต่อสู้ของหลูมู่หยานในลานแข่งขัน และยิ่งได้เห็นผมยาวสวยที่พริ้วไสวไปตามแรงลมพร้อมกับรูปลักษณ์ที่งดงาม หัวใจก็ของเขาก็เริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ และมันเต้นระรัวเหมือนกลองที่พร้อมจะกระโจนออกจากร่างกายของเขาอย่างช่วยไม่ได้ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้นก็ตาม
หลังจากที่หลูมู่หยานจับสลากอีกครั้ง นางก็เลือกที่จะเมินต่อความคิดเห็นของผู้คนด้านล่าง ก่อนจะเดินไปที่ที่นั่งของนางเพื่อสังเกตการต่อสู้บนเวที
ระดับการต่อสู้ในคลาสภาคพื้นนั้นดุเดือดน้อยกว่าคลาสกลางวันอยู่มาก มีเพียงแค่บางเกมเท่านั้นที่จะสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมากได้
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ผู้ตัดสินประกาศเริ่มยกที่สองของการแข่งขันในรอบที่แปด
สำหรับการต่อสู้ในครั้งนี้ ไม่ได้มีความน่าตื่นเต้นอะไร ไม่ช้าหลูมู่หยานก็สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ของนางได้อย่างง่ายได้ ทำให้การแข่งขันยุติลง
ก่อนที่จะต้องจับสลากต่อไปจนกว่าจะถึงการแข่งขันสุดท้ายของเวทีที่ยี่สิบหก
หลูมู่หยานยังคงกระโดดขึ้นไปที่เวทีการแข่งขันเพียงเขย่งเท้าเบา ๆ คราวนี้คนที่นางจะต้องต่อสู้ด้วยก็คืออี้นู๋ สาวสวยในชุดสีชมพู นักเรียนที่อยู่ในเขตเดียวกับหลูมู่หยาน ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในชั้น และเป็นนักดาบที่ได้รับความเคารพมากที่สุดอีกด้วย
ความสัมพันธ์ของหลูมู่หยานและอี้นู๋ไม่ค่อยดีนัก รวมไปถึงเหลียงซีก็มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นต่อกัน และตัวของอี้นู๋ก็มักจะพูดไม่ดีกับหลูมู่หยานลับหลัง แล้วยังเป็นผู้ติดตามของกู่ยันรัน แถมยังเป็นคนที่ทำให้นางต้องอับอาย และเป็นคนที่จะฆ่านางอีกด้วย
“หลูมู่หยาน ข้าไม่ใช่คนเดิมที่เคยเอาชนะเจ้ามาก่อน” อี้นู๋เอ่ยด้วยวาจากถากถาง “ให้ข้ายุติการแข่งขันเถอะ”
หลูมู่หยานกอดอกพร้อมกับแสยะยิ้มออกมา ทว่าดวงตาของนางกลับไม่ได้ยิ้มตาม กลับกันยังเต็มไปด้วยความเรียบนิ่งและเย็นชา
ผู้หญิงคนนี้มีความมั่นใจมากแค่ไหนกันที่พูดกับนางแบบนี้?
จบการแข่งขัน? เหอะ พูดอะไรตลก
อย่างไรก็ตาม ถือว่าอี้นู๋มาได้ทันเวลา เพราะหลูมู่หยานยังต้องการคิดบัญชีย้อนหลังกับผู้หญิงคนนี้
“เดี๋ยวก็จะได้รู้ว่าใครจะเป็นคนจบมัน”
หลูมู่หยานไม่ได้พูดอะไรตอบออกไป นางมองไปยังผู้ตัดสินประจำเวทีการแข่งกันก่อนจะเอ่ยว่า
“เอาเลย”
เมื่อเห็นว่าทั้งคู่พร้อมแล้ว ผู้ตัดสินจึงได้เริ่มประกาศให้การแข่งขันเริ่มต้นขึ้น
ยิ่งอี้นู๋เห็นว่าหลูมู่หยานเมินเฉยมากเท่าไหร่ ความรู้สึกคับแค้นใจก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ยัยขยะไร้ค่าคนนี้มีสิทธิ์เมินนางด้วยหรือ? วันนี้นางจะทำให้หลูมู่หยานได้เห็นว่า ขยะแบบนางไม่มีทางทำให้ฉีอี้ซวนสนใจได้
ใช่!
อีกหนึ่งเหตุผลที่อี้นู๋มักจะเห็นหลูมู่หยานเป็นเป้าหมาย นั่นก็เป็นเพราะหลูมู่หยานมักชื่นชมฉีอี้ซวนอย่างออกหน้าออกตา นางไม่เคยเห็นสตรีคนใดที่ทำแบบนี้มาก่อน หลูมู่หยานเข้าหาฉีอี้ซวนผ่านตระกูลของนางเอง และในสายตาของอี้นู๋ หลูมู่หยานเป็นเพียงสิ่งที่น่ารังเกียจเท่านั้น
“ความสำเร็จสู่ความตาย” อี้นู๋หยิบดาบยาวสีเงินเล่มสวยออกมาจากแหวนจักรวาล พร้อมกับอัดพลังชีวิตเข้าไป ก่อนที่นางจะเริ่มวาดแขนในอากาศ ตอนนี้ดาบสีเงินกลับเต็มไปด้วยน้ำแข็งพร้อมที่จะโจมตีคู่ต่อสู่ของนางอย่างหลูมู่หยาน
หลูมู่หยานสัมผัสได้ถึงรัศมีดาบสีน้ำเงินผ่านการบังคับของปรมาจารย์ดาบระดับสูง และดูเหมือนว่าทักษะการใช้ดาบของอี้นู๋จะได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ทว่าก็ยังอ่อนเกินไป
ความแข็งแกร่งระดับนี้ยังไม่มากพอที่หลูมู่หยานจะชักดาบขึ้นมา นางรีบผูกตราสองสามอันบนหน้าอกของนางอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เฉียนเฉียนหยูจะถูกส่งออกไปผ่านมือของนาง หลังจากนั้นกลุ่มของเปลวไฟสีแดงที่มีพลังงานไฟพุ่งออกมาเผชิญหน้ากับรัศมีดาบสีน้ำเงิน
“ชิชิ!” ในเวลาเพียงพริบตา พลังงานของดาบสีน้ำเงินก็จมอยู่ในกองเพลิง ก่อนจะมีเสียงหัวเราะเบา ๆ หลายครั้งลอยอยู่ในอากาศ
“อะไรกัน?” อี้นู๋ไม่เคยคิดว่าหลูมู่หยานจะมีวิธีจัดการเช่นนี้ นางเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้ในใจ ทว่าใบหน้าของนางกลับดูหนักใจ ขยะชิ้นนี้สามารถทำให้นางใช้แรงทั้งหมดที่มีได้
“หลูมู่หยาน เจ้าทำให้ข้าต้องใช้ทักษะนี้ โชคดีนะ” อี้นู๋ตะคอกเสียงดัง ก่อนที่จะแกว่งดาบเล่มยาวสีเงินในอากาศอีกครั้ง ทันใดนั้นเองพลังงานจากดาบก็แผ่กระจายรวมกันแน่นขนัดจนกลายเป็นกลีบสีฟ้า ก่อนจะพุ่งตรงไปยังหลูมู่หยาน
“พลังดาบแข็งนี้แกร่งมาก!” หยุนหลันเอ่ยกระซิบจากอัฒจันทร์ เรียวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันก่อนจะหันศีรษะไปมองหยุนจินแล้วถามว่า “นางเป็นสมาชิกในครอบครัวหรือไม่?”
การรวบรวมพลังดาบซีครั้งหนึ่งเคยเป็นท่าไม้ตายของอี้เจียเมื่อไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมา และคาดว่าน่าจะติดอันดับหนึ่งในสิบของตระกูลดาบวิญญาณ เพราะแบบนั้นเหมือนเป็นการยั่วยุทำให้พลังที่ยิ่งใหญ่เริ่มขุ่นเคือง ทำให้ตระกูลถูกบดขยี้อย่างน่าสังเวช
ต่อมาหลังจากนั้นด้วยความที่สมาชิกของตระกูลในรุ่นหลังนั้นค่อนข้างด้อยกว่ารุ่นแรก ๆ ทำให้จำนวนสมาชิกในตระกูลเริ่มลดลงเรื่อย ๆ และตอนนี้ตระกูลอี้เจียก็ไม่ได้อยู่ในอันดับใดของอณาจักรหยานโจวอีกแล้ว
รวมไปถึงความสามารถของการรวบรวมพลังดาบซีก็หายไปเมื่อร้อยปีก่อน นั่นยิ่งทำให้เกิดความสงสัยขึ้นไปอีกว่าสตรีผู้นั้นจะใช้มันในการต่อสู้ครั้งนี้หรือ
“อืม นางชื่ออี้นู๋ เป็นหลานสาวของตระกูลอี้คนปัจจุบัน และเป็นศิษย์ของตระกูลที่มีความสามารถดีที่สุด นั่นเลยทำให้นางถูกส่งไปเรียนที่สถาบันจักรพรรดิ”
ตอนนี้แววตาของหยุนจินเริ่มมีความกังวล “ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่านางจะใช้พลังดาบในการแข็งตัว ไม่แปลกใจที่นางเคยพูดไว้ว่านางต้องการที่จะเป็นที่หนึ่งในกลุ่มท้องถิ่น ข้าว่าตอนนี้นางทำได้ ไพ่ไม้ตายสุด ๆ”
หยุนจินคิดว่าจะลองเข้ารับการคัดเลือกของราชวงศ์ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันระดับวิทยาลัยเพื่อชิงตำแหน่งทดลอง
“หยานเอ๋อร์รับมือได้” ดวงตาของหลูมู่ไป๋เต็มไปด้วยความแน่วแน่ ต่างกับหยุนหลันและหยุนจินที่ยังคงเป็นกังวล
เช่นเดียวกันกับหลูมู่ถิง เมื่อเขาเห็นน้องสาวของเขาอยู่บนเวทีการต่อสู้เขาไม่คิดว่าสตรีผู้นั้นจะชนะได้ “หยานเอ๋อร์จะชนะ”
เสี่ยวเซียงและหยุนหลัวมองหน้ากันไปมา พี่น้องตระกูลหลูทั้งสองเอาความมั่นใจนี้มาจากไหน? เจียนฉี หนิงซือก็บอกไปแล้วว่าความสามารถของอี้เจียนั้นเป็นสิ่งที่พิเศษ
“ข้าก็เชื่อในตัวมู่หยานเหมือนกัน” หยุนหลันเม้มริมฝีปาก จ้องมองไปที่เวทีการแข่งขันอย่างไม่วางตา
หยุนจินไม่ได้พูดอะไร แต่มือที่จับแน่นของเขาเผยให้เห็นว่าตอนนี้ใจของเขาเริ่มไม่สงบ
หลูมู่หยานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทักษะดาบของผู้หญิงคนนี้ไม่เลว แต่คนที่ใช้มันกลับอ่อนแอเกินไป แม้แต่กุญแจสู่ทักษะดาบเองก็ไร้ประโยชน์ แถมกลับใช้อย่างมั่นใจ นางหยิ่งเกินไป และทหารที่หยิ่งยโสจะต้องสูญเสีย
หลูมู่หยานเปลี่ยนพลังวิญญาณส่วนหนึ่งในร่างกายให้เป็นพลังธาตุไฟ โดยยังคงรวมตราธรรมชาติสองสามดวงบนหน้าอก ก่อนที่จะเริ่มสะบัดนิ้วหยกให้มันค่อย ๆ เบ่งบานอย่างสดใสเหมือนดอกบัวเพลิงที่เบ่งบานจากปลายนิ้วของนาง
ดอกบัวเพลิงที่ลอยอยู่เบื้องหน้าหลูมู่หยานนั้นพราวและสะดุดตายิ่งกว่ากลีบดอกสีน้ำเงิน เมื่อดอกบัวเพลิงปรากฏ อุณหภูมิรอบ ๆ เวทีการแข่งขันก็สูงขึ้นซึ่งทำให้ผู้คนตกใจ
“อะไรกัน?” หร่วนหยางที่นั่งอยู่บนแท่นสูง ลุกขึ้นยืนโดยวางมือไว้บนที่วางแขนของเก้าอี้ ก่อนจะจ้องมองไปที่หลูมู่หยาน
“ต้นกล้าชั้นดี!” จากนั้นเขาก็ตบต้นขาของเขา ก่อนจะมองไปทางหร่วนหลี่ “มีเพียงฐานการบ่มเพาะของปรมาจารย์ดาบผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้นที่สามารถเข้าใจคุณลักษณะของธาตุไฟได้ถึงระดับนี้ สิ่งนี้เกิดมาเพื่อเล่นแร่แปรธาตุ ข้าต้องการสาวน้อยนางนี้”
หร่วนหลี่หลุบสายตาที่ตกตะลึงของเขาลง เด็กหญิงจากตระกูลหลูสามารถทำให้เขาประหลาดใจได้ตลอดเวลา ทว่าเมื่อนึกถึงสิ่งที่หลูมู่หยานเคยกล่าว นั่นก็คือปรมาจารย์ที่สะกัดยาวิญญาณให้นาง หร่วนหลี่ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกไปว่า “คนอื่นรับนางเป็นลูกศิษย์ไปแล้ว เจ้าช้าไปหนึ่งก้าว หร่วนหยาง”
หร่วนหยางตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน เมื่อนางมีปรมจารย์อยู่แล้ว เกรงว่าจะเป็นเรื่องยากที่เขาจะเป็นอีกคน ช่างเป็นอะไรที่น่าเสียดายยิ่งนัก ที่นักเล่นแร่แปรธาตุคนอื่นขุดต้นกล้าที่ดีเช่นนี้ไปก่อน
ผู้อาวุโสท่านใดมีดวงตาที่เฉียบคมเช่นนี้กัน?
“เฮ้อ!” หร่วนหยางถอนหายใจ แต่ความอิจฉาที่มองไปทางหลูมู่หยานไม่ได้จางหายไปไหน ต้นกล้าที่เต็มไปด้วยความสามารถเช่นนี้ช่างหาได้ยากเหลือเกิน แต่เขาจะไม่ยอม ถ้ายังไม่ได้ลองมัน